Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Talk a Walk
•
ติดตาม
10 ส.ค. 2023 เวลา 17:12 • ท่องเที่ยว
ยอดผาตัด
เดินเท้า 8 ชั่วโมงขึ้นผาตัด แว่วเสียงกระซิบจากจิตวิญญาณชาวม้ง
มีคนกล่าวว่า “ภาษาเป็นประตูสู่วัฒนธรรม” ชีวิตความเป็นอยู่ ปรัชญา แนวคิดของผู้คนล้วนแฝงฝังอยู่ในคำพูด ตัวอักษร สำนวน สุภาษิต บทกวี หรือวรรณกรรม [1]
2
เพจ Talk a Walk นี้เป็นการเล่าเรื่องราวการเดินทางที่ผมเข้าไปสัมผัสผ่านภาษาและวัฒนธรรมของท้องถิ่นแบบเบา ๆ พอให้รู้จักกัน ในตอนแรกนี้ผมจะพาทุกคนเดินทางไปยัง “ผาตัด” ทางขึ้นที่เราเลือกอยู่ใกล้กับตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ชุมชนชาติพันธุ์ม้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีหลักฐานว่ามีการตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้มาไม่น้อยกว่า 100 ปี [2]
1
ชื่อผาตัดอาจยังเป็นชื่อที่รู้จักกันเฉพาะกลุ่มในบรรดานักเดินป่า วิ่งเทรล หรือออฟโรด แต่สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปแล้วอาจคุ้นเคยกับชื่อผาซ่อนแก้ว ซึ่งเป็นฉากหลังของวัดดังชื่อเดียวกัน ใช่แล้วครับมันคือลานด้านบนของผาซ่อนแก้วที่มีลักษณะเป็นที่ราบ มองลงมาจะเห็นพื้นที่หลายส่วนของอำเภอเขาค้อในมุมกว้างแบบพาโนรามา
3
ผาตัดคือลานด้านบนยอดเขาที่เป็นฉากหลังของวัดผาซ่อนแก้ว
ด้วยพื้นที่แถบนี้เกี่ยวพันลึกซึ้งกับวิถีความเป็นอยู่ของพี่น้องชาติพันธุ์ม้ง ผมจึงอยากเล่าเรื่องราวของการเดินทางครั้งนี้โดยแทรกแซมด้วยภาษาของพวกเขา ภาษาม้งเป็นภาษาคำโดดเหมือนภาษาไทยแต่จัดอยู่ในคนละตระกูล คือแต่ละคำมีความหมายในตัวเอง ไม่มีการผันคำตามเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น เวลา จำนวน หรือเพศ ใช้กันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบางส่วนของจีน [3]
แม้จะมีหลายสำนวน หลากหลายกลุ่มชน แต่ชาวม้งต่างเผ่าก็สื่อสารกันได้ด้วยภาษานี้ ส่วนอักษรที่ใช้แทนการออกเสียง แต่เดิมใช้ระบบที่เรียกกันว่าปั้วจี่ม้ง “อักษรครอบครัว” [4] แต่ปัจจุบันนิยมใช้อักษรโรมัน และมีหน่วยเสียงที่ซับซ้อนกว่าภาษาไทยมาก ในโพสต์นี้ผมจะใช้อักษรไทยเพื่อให้อ่านง่าย ๆ แต่ก็อาจแทนเสียงที่ไม่ตรงกับสำเนียงจริงเท่าไหร่ ไม่ว่ากันนะครับ หรือถ้ามีส่วนไหนผิดพลาดก็คอมเมนต์บอกกันได้เลยครับผม [5]
ชาวม้งในประเทศต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
🟥🟥🟥 ญ้อจอง: สวัสดี 🟥🟥🟥
เรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน หลังนอนซมและกักตัวอยู่ที่เขาค้อเพราะพิษ CoVid-19 จนเกือบครบกำหนดกักตัว 10 วัน ก็ได้รับข้อความ “มะรืนขึ้นผาตัดมั้ย” จากทีมงานแถบชลบุรี ผมลังเลอยู่พักหนึ่งเพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรสำหรับเดินป่าติดตัวมาเลย แต่สุดท้ายก็ตอบว่า “ไปสิ” คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะป้องกันภาวะ long CoVid แหละนะ
1
หลายคนที่เคยเดินขึ้นผาตัดมาแล้วอาจสงสัยว่า คนบ้าอะไรเดินตั้ง 8 ชั่วโมง เขาเดินกันแค่ 2-3 ชั่วโมงเอง เดี๋ยวมีเฉลยตอนท้ายครับ ถ้าใครใจร้อน จะข้ามไปอ่านเฉลยเลยก็ได้ ถ้าไม่เสียดายสิ่งที่ “หล่นหายระหว่างทาง” และเรื่องลี้ลับชวนค้นหาที่ผมจะเล่าต่อไปนี้
🟥🟥🟥 เสินฉู: ตื่นเช้า 🟥🟥🟥
เช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2565 วันหยุดแห่งชาติ ตรงกับ 15 ค่ำเดือน 9 ปีขาล ทีมงานจากชลบุรีสองคนผู้มีนามเรียกขาน “ผจ.” และ “ผู้ใหญ่” ก็มาถึงตำบลแคมป์สนตั้งแต่เช้า ระหว่างไปเตรียมเสบียงที่ตลาดห้วยไผ่ เราแวะไปดูจุดหมายปลายทางที่ร้านอาหาร/กาแฟ “ตั๊กม๊อ” ใกล้วัดผาซ่อนแก้ว นั่นแหละจุดที่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้ เราจะไปยืนอยู่ตรงนั้น
เป้าหมายที่เรากำลังจะเดินไป มุมมองจากใกล้ ๆ วัดผาซ่อนแก้ว
หลังกินกาแฟ ซื้อเสบียงและกินข้าวเช้ากันแล้ว เราก็ไปเตรียมตัวกันที่ “สวนให้ความรักไฮโดรโปนิกส์” “บอม” เจ้าของสวนอธิบายเส้นทางอย่างกระชับ “เดินไปเจอสามแยกแล้วเลี้ยวขวา แล้วก็ไปตามทางเรื่อย ๆ เดินไม่ยาก”
จากนั้นพาเราไปที่จุดปล่อยตัว ห่างจากสวนเข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร ผมผู้ได้รับบรีฟมาว่าทางเดินสะดวก 2-3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แถมพื้นที่ก็เป็นที่โล่งก็อยู่ใกล้ชุมชน คิดว่าเดี๋ยวค่อยเปิด Google Map เอาก็ได้ จึงเตรียมตัวมาแบบเดินเล่นหน้าบ้าน แม้แต่ถุงเท้าก็ไม่ใส่ และอย่างที่เล่าไปแล้วว่าอุปกรณ์ไม่พร้อมสักอย่าง ทำให้ต้องผูก ๆ มัด ๆ สัมภาระกันอย่างทุลักทุเล
หลังโบกมือลากับบอมที่จุดปล่อยตัว เราก็เดินไปตามทางลูกรังที่เฉอะแฉะจากน้ำฝนที่กระหน่ำมาเมื่อวาน โชคดีที่พายุ “มู่หลาน” ได้อ่อนกำลังลงและเบี่ยงทิศทางขึ้นเหนือไปยังประเทศลาวแล้ว ส่วนวันที่เดินทางนี้ ถึงพยากรณ์อากาศยังบอกว่าฝนจะตกหนัก แต่จากการประเมินข้อมูลหลาย ๆ ทาง เรามั่นใจว่าจะไม่ตกหนักจนถึงกับเดินทางไม่ได้
1
เตรียมเสบียงจากตลาดห้วยไผ่ และออกตัวด้วยความสดชื่นนน
เดินมาไม่นานเราก็เจอกับทางสามแพร่ง จึงปรึกษากันว่าจะใช่สามแยกที่บอมบอกไว้รึเปล่า แต่ดูแล้วเหมือนทางเบี่ยงเข้าไร่ของชาวบ้านมากกว่า จึงเลือกตรงไป ถึงตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วว่า ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต เราเดินตามทางลูกรังที่เต็มไปด้วยรอยล้อรถไถ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นกล้วยป่าและหญ้าไม้กวาด เส้นทางขึ้นลงเดินหลายลูกจนมาถึงทางแยกที่เราเลี้ยวขวาขึ้นเนินชันพร้อมเสียงกระหืดหอบจากร่างกายที่ผ่านการนอนเฉย ๆ มาเกือบสองอาทิตย์ของผม เหนื่อยชิบ แต่ … ดูวิวนี่สิ
เนินแรกก็หืดจับ แต่ก็ชื่นใจ
🟥🟥🟥 พ่งจือ: เพื่อน 🟥🟥🟥
หอบหนักขนาดนี้ ก็ได้เวลาแวะกินน้ำกันสักหน่อย แต่น้ำสองขวดของผู้ใหญ่หายไป ถ้าหล่นหายระหว่างทางคนที่เดินตามมาก็น่าจะเห็นได้ไม่ยาก ก็น่าจะหล่นบนกระบะรถของบอมตอนขับมาส่งที่จุดปล่อยตัวแหละนะ สะเทือนใช่เล่น แต่น้ำน้อยเราก็แบ่งกันกิน หายเหนื่อยแล้วเราก็ไปกันต่อ
เดินขึ้นเนินชันขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบถึงยอด ผมเดินตามไปทีหลังเห็น ผจ.กำลังคุยกับพี่ชายบนรถไถ สอบถามเส้นทางว่าทางนี้ขึ้นผาตัดได้มั้ย คำตอบที่ได้คือ “ก็เห็นมีคนขึ้นอยู่นะครับ ขึ้นได้แหละ ไปตามทางเลย” คำตอบนี้ทำให้ความไม่มั่นใจของเราเพิ่มขึ้นว่าเรามาถูกทางแล้ว
รถไถในไร่บอกอะไรกับเรา? … ใช่แล้ว มันคือสัญญาณของการเริ่มรอบเพาะปลูกใหม่นั่นเอง เราเดินผ่านท้องไร่ที่ฉาบทับด้วยเถ้าถ่านสีดำของเศษซากวัสดุในฤดูกาลที่แล้ว แทรกแซมด้วยใบอ่อนสีเขียวนวลของหญ้าคา ท่ามกลางละอองฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างละมุน พร้อมกับสายลมเย็นผิวผ่านผิวหนังที่ชุ่มเหงื่อ มีทิวเขาไกลโพ้นเป็นฉากหลัง บางครั้งภาวะรับรู้โดยไม่ต้องคิดก็มาในรูปแบบที่แสนธรรมดา
2
รถไถกับท้องไร่บนเขาสูง ท่ามกลางละอองฝนโปรยปราย
เพลินอยู่กับทิวทัศน์ สายฝนและสายลมอยู่สักพักก็ถึงจุดที่ต้องตัดสินใจอีกครั้งเมื่อเจอสามแยก ตั้งแต่ขึ้นมาบนยอดเนิน สัญญาณอินเตอร์เน็ตใช้ได้บางจุด ทำให้อัพเดทแผนที่ในมือถือได้เรื่อย ๆ แต่จุดนี้ไม่มั่นใจว่าจะไปทางไหน ผจ. จึงอาสาเดินไปสำรวจทางที่แยกไป และได้ข้อสรุปคือเราตรงไปต่อ
1
แล้วเราก็พบกับไร่อะไรสักอย่างที่ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นคะน้าหรือไม่ก็ผักกาด เราถามไถ่เจ้าของไร่ที่กำลังสาละวนอยู่กับอุปกรณ์การเกษตรของเขา ก็ได้คำตอบ และไม่ลืมที่จะถามทางขึ้นไปยังผาตัด “เลยไร่ไปมีทางขึ้น” พี่เจ้าของไร่ตอบ และเราก็พักกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ ทุกคนช่วยผมดูหน่อยครับ นี่มันไร่อะไรกันแน่?
1
พืชไร่ชนิดหนึ่งบนเขาสูง และจุดพักกินข้าวเที่ยง
กินพอได้รองท้องแล้วก็ออกเดินต่อ ไม่นานผมก็โดนตะคริวกินซะแล้ว ขอบคุณ ผจ. ผู้ที่เตรียมพร้อมที่สุดในทริป สำหรับสเปรย์แก้ปวด มันคือยาวิเศษจริง ๆ แล้วเราก็เดินไปตามทางออกจากไร่ไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงทางเลี้ยวขึ้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียก หันไปฟัง เจ้าของไร่กำลังตะโกนบอกเราว่า “ผิดทางแล้ว ต้องผ่านป่ากล้วยยยยยยยยยย” เสียงแว่วข้ามเนินเขามา “โอเคครับ รับทราบ ขอบคุณครับ” คือเสียงขานตอบโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ซึ่งที่มีอยู่ตอนนี้ก็แทบจะใช้ไม่ได้แล้ว
[ ฟังเสียงประกอบการเดินทาง
https://bit.ly/8hours-s0
]
🟥🟥🟥 ด้าเนง : เรื่องเล่า 🟥🟥🟥
1
มีคนกล่าวว่า “น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก ภูเขาเป็นของม้ง” ภาพที่เห็นพวกเราเดินไปตามเนินเขาทำให้ผมนึกถึงคุณตาชาวม้งท่านหนึ่งที่เขาค้อ ผมเห็นแกเดินข้ามเขาหลายกิโลเมตรมาขายพืชผักมานับสิบปี ในภาพที่คุ้นเคยคือใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงวอล์ม สวมรองเท้าบูท บนหลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่สาน ภายในบรรจุสินค้ามาเต็มพิกัด
ภาพพี่น้องชาวม้งเดินข้ามเขาอย่างคล่องแคล่วคงเป็นภาพจำของใครหลายคน เช่นเดียวกับทุกอารยธรรม ที่ทักษะบางอย่างถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น อย่างการเดินข้ามเขานี้ มันไม่ง่ายเลยสำหรับคนพื้นราบอย่างผม
คุณตาชาวม้งที่ผมเห็นเดินข้ามเขาเอาพืชผักมาขาย มานับสิบปี
มีตำนานของชาวม้งเล่าถึงการสร้างโลกไว้ว่า โลกถูกสร้างขึ้นโดยมหาเทพแห่งกาลเวลา ที่พ่นลมหายใจใส่หยดน้ำขนาดยักษ์ แล้วหยดเลือดและน้ำมันของตนลงไป จากนั้นสร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ สร้าง ลม เมฆ และพืชพรรณธัญญาหาร จากนั้นสร้างมนุษย์สี่คู่ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวดำ ผิวคล้ำ แล้วจึงสร้างวิญญาณเพื่อนำพาชีวิต [6] สายฝน ป่ากล้วย ดงหนาม และทางชันข้างหน้าพวกเราก็คงถูกสร้างขึ้นมาในครั้งนั้น
เมื่อดูในแผนที่เห็นชัดว่าถนนอยู่ห่างจากเราไม่ถึง 100 เมตร แต่ข้างหน้าเราคือทางชันเกิน 45 องศา หรือ 100% เส้นทางเดินที่เราเดินตามมาหายไปเป็นช่วง ๆ จึงเลือกเดินตามร่องน้ำ มีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังอยู่ไม่ไกล ใช่แล้วเราต้องปีนขึ้นไปเพื่อไปถึงถนนที่เราได้ยินเสียงนั่น ทักษะการปีนป่ายจึงต้องถูกงัดออกมาใช้ในตอนนี้
มีกังหันลมสีสดอันน้อยตกอยู่ ทำให้เรามั่นใจว่าเคยมีคนเดินผ่านมาไม่นานนี้แน่ ๆ เราตะเกียกตะกาย เกาะเกี่ยวเถาว์วัลย์เส้นน้อย กำกอหญ้าที่มีแต่รากฝอยเพื่อพยุงตัว บ้างก็โดนหนามเกี่ยว บ้างก็โดนหญ้าบาด ผมรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมในรองเท้ามาสักพัก แต่ก็ไม่มีเวลาถอดออกดู จนในที่สุดเราก็มาถึงพื้นราบด้านบนที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าคาสูงท่วมหัว
เดินเข้าป่ารกและทางชัน ฝ่าขวากหนาม ปีนร่องน้ำไปตามเสียง
ดงหญ้าคาสูงนี้ พอมีร่องรอยทางเดินให้มองเห็นบ้าง เราเดินผ่านดงหญ้าคม จนมาถึงถนนลูกรัง ทั้งแสบทั้งคันและโล่งใจ ผมถอดรองเท้าออกดู เจอเม็ดกรวดที่พื้นรองเท้า และตอนนี้ฝ่าเท้าขวาด้านในของผมเป็นแผลจากการเสียดสีแล้ว แถมยังมีอาการตึงที่ข้อเล็กน้อย เป็นสัญญาณว่าอาจอักเสบตามมา
ผจ. ช่วยชีวิตผมอีกครั้งด้วยการล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่ผมมองว่ามันคือกระเป๋าโดราเอมอนแล้วตอนนี้ เขาหยิบถุงเท้าออกมา สายตาผมเหมือนเห็นแสงประกายพร้อมเสียงบรรยาย “ถุงเท้ารัดข้อ” ไหน ๆ มันก็จะเปื้อนเลือดที่ซิบออกจากเท้าผมแล้ว ผมขอเลยก็แล้วกัน ฮ่า ๆ จัดการเท้าของผมและพักพอหายเหนื่อยเราก็ไปกันต่อตามทางลูกรังที่แห้งแข็ง ผ่านประตูรั้วเข้าสู่ป่าชุมชน
ทางลูกรังที่เชื่อมต่อมาจากบ้านเข็กน้อย
ตอนนี้เริ่มใจชื้นแล้ว เพราะพบกับเจ้าของเสียงรถที่เราได้ยินจากข้างล่าง รถมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่นที่น่าจะได้รับการดัดแปลงมาเพื่อขับบนทางดินลื่น ขรุขระ และลาดชัน ขับแซงเราไปหลายคัน เราพักกินข้าวและน้ำกันอีกครั้งหนึ่งก่อนจะพบกับเรื่องประหลาดที่เราที่คาใจเราตลอดการเดินทางคือ
เราผ่านทุ่งโล่งที่มีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่สองหลังและคอกสัตว์ มันเหมือนหมู่บ้านร้างในทุ่งกว้างบนเขา มีร่องรอยของคนอยู่อาศัย มีมูลสัตว์กระจายทั่วไปให้เราใช้สกิลการหลบหลีก แต่ไม่เจอคนหรือสัตว์เลี้ยงแม้แต่ตัวเดียว เราลงความเห็นกันว่าคงเคยมีคนอยู่
บ้านพักและคอกสัตว์ปริศนา
เราออกจากสถานที่ที่เหมือนจะเป็นอดีตฟาร์มเลี้ยงสัตว์นั้น ข้ามลำธารตื้นเฉอะแฉะ ผ่านถนนโคลนยาวหลายกิโลเมตรที่เหมือนจะเป็นทางน้ำไหลมากกว่า ตามทางมีมูลสัตว์เป็นระยะ แต่ก็ไม่เห็นตัวหรือได้ยินเสียงของมันเช่นเคย จนมาถึงโค้งที่มีโคลนหนาท่วมแข้ง ก็ต้องหากิ่งไม้มาวางตามข้างทางเพื่อเดินเลียบไปได้ เสียงน้ำจากลำธารน้อยไหลข้ามถนนไปตกอีกฟาก ก็ทำให้เพลินดีเหมือนกัน ทั้งที่สถานการณ์ไม่น่าภิรมย์เอาซะเลย
น้อง ๆ นักบิดหลายคนขับสวนกลับมาก่อนถึงโค้งนี้ แล้วบอกเราว่าไปต่อไม่ได้ เราเดินมาก็เจอรถมอเตอร์ไซค์จอดทิ้งไว้หนึ่งคันพร้อมรองเท้า ไม่รู้เจ้าของไปไหน ผ่านโค้งนั้นมาก็ถึงจุดที่เป็นเป้าหมายของเรา เพราะจุดนี้ใกล้ผาตัดมากแล้ว นั่นคือ “เนิน VIP” ในตำนาน เรียกได้ว่าโล่งใจแล้วครับ
แต่ … ชื่อนี้ไม่ได้จับฉลากมานะครับ เราได้รับการต้อนรับระดับ VIP จริง ๆ มีน้อง ๆ นักบิด 3-4 คัน กำลังพยายามพารถขึ้นไป แต่โคลนที่เหลวเละบนทางชันไม่อนุญาตให้ทำแบบนั้น แม้แต่ผมที่เดินเท้ายังล้มแล้วล้มอีก เพราะตอนนี้เชือกที่มัดสัมภาระมาแบบมั่ว ๆ ได้หลุดออกหมดแล้ว และผมต้องใช้มือหนึ่งถือของ ทำให้เสียหลักหลายครั้ง
เราใช้เวลาไปกับเนินนี้ค่อนข้างนาน เพราะต้องลุ้นให้มอเตอร์ไซค์เขาลองขับขึ้นไปก่อน แต่จนแล้วจนรอดเราก็ไปถึงยอดเนิน ทิ้งเหล่านักบิดไว้เบื้องหลัง เห็นว่ากันว่า ถอดใจและจะขับกลับลงไปแล้ว เส้นทางที่ผ่านมาทำให้ผมนึกถึงโอวาทที่มหาเทพแห่งกาลเวลาได้ให้ไว้หลังสร้างสรรพสิ่งแล้ว นั่นคือ
1
แผ่นดินสูงเพียงใด สายธารย่อมไหลไปหล่อเลี้ยง
ขณะนี้เราอยู่ที่ระดับความสูงกว่า 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ก็มีลำธารไหลมาให้เราได้ชะล้างคราบโคลนที่เปรอะเปื้อนตามรองเท้าและเสื้อผ้าได้
พืชพรรณงอกเงยในที่ใด แผ่นดินมิอาจทัดทาน
ไม่ว่าจะเป็นบนแผ่นหิน ซอกหิน หรือที่ชุ่มน้ำ ตลอดเส้นทางล้วนเต็มไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด
“โอ๊ยยยยย” ผมร้องด้วยความเจ็บปวด ทันที่ที่ถึงยอดเนิน จากตะคริวที่สะบักข้างซ้าย จนต้องรีบปลดสัมภาระออกจากหลัง เพื่อลดความตึงของกล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณนั้น สเปรย์ขวดเดิมถูกฉีดพ่นตัวยากระหน่ำลงบนจุดเกิดเหตุ หลังจากนวดและนั่งพักสักครู่ก็เดินทางต่อ ผู้ใหญ่และ ผจ. รีบแบกสัมภาระแทนผม เพราะฟ้าเริ่มมืด กลัวว่าจะเดินและตั้งเต็นท์ลำบาก โดยมีผมเดินกะเผลกตามไปอย่างช้า ๆ
สภาพเส้นทางเริ่มย่ำแย่เมื่อออกจากฟาร์มร้างมาไม่ไกลไปจนถึงเนิน VIP
🟥🟥🟥 ข่องพลี: ของขวัญ 🟥🟥🟥
เราก็เดินตามทางลูกรังที่เป็นหินแข็ง มีร่มไม้โปร่งตลอดทาง จนเห็นแสงสว่างของท้องฟ้าที่สุดราวป่าทึบ ใต้ร่มไม้หนานี้มีน้ำท่วมขังเป็นหย่อม ๆ ใกล้หน้าผามีร่องรอยของคนมาค้างแรม มีเปลญวนผูกเอาไว้ แต่ไม่มีคน เรื่องราวตลอดเส้นทางทำให้เรามั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่าที่นี่ “มีแค่เรา” จริง ๆ
1
มหาเทพแห่งกาลเวลาอาจกำลังสนุกกับการให้เราได้ใช้เวลากับความยากลำบาก เพื่อจะมอบของขวัญให้เราทีหลัง เพราะเมื่อเดินสุดชายป่า ก็เผยให้เห็นวิวจากหน้าผาที่น่าประทับใจ
ภาพแรกที่เรามองเห็นเมื่อไปถึงสุดชายป่าทึบ
[ฟังเสียงประกอบ
https://bit.ly/8hours-s4
]
เดินเลียบขอบหน้าผาที่บดบังด้วยพุ่มไม้หนาไปสักพัก เราก็พบลานหญ้ากว้าง สิริเวลารวม 8 ชั่วโมงพอดี หมอกเริ่มลงหนาแล้ว ริมหน้าผาอีกฝั่งมีลมปะทะแรง เราจึงเลือกตั้งแคมป์กันที่ลานด้านใน ที่มีมูลสัตว์ปริศนากระจายอยู่น้อยกว่าบริเวณอื่น จัดแจงที่หลับที่นอนแล้ว ก็ถึงเวลาดินเนอร์ มีเสียงจากจุดที่เราเจอเปลตอนหัวค่ำ เจ้าของแคมป์คงกลับมากันแล้ว และคงมีเพียงพวกเราที่ร่วมกินอาหารค่ำด้วยกันบนยอดผาตัดแห่งนี้ โดยไม่รู้จักกัน ทำให้นึกถึงโอวาทของมหาเทพฯ ที่ว่า
มนุษย์กินสิ่งใด สรรพสิ่งล้วนเป็นใจ
ตั้งแคมป์และดินเนอร์กัน อาหารที่เราพกมาเป็นแบบง่าย ๆ ในภาษาม้ง กินข้าว พูดว่า “น่อหมอ” กินน้ำ ว่า “เฮาเด้” เราจะกินอะไรไม่มีใครมาขวาง
คืนนี้จันทร์นวล ชวนให้คิดถึงนวลนาง พระจันทร์เต็มดวง สายลมพัดมาเอื่อย ๆ เป็นระยะ ๆ พอ ๆ กับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ตอนแรกว่าจะนอนเต็นท์เดียวกับ ผจ. แต่อากาศเย็นสบายแบบนี้ ไม่มียุง แถมดูท่าทีไม่มีฝนตก ผมจึงนอนใต้ทาร์ปพร้อมถุงนอน พร้อมวิวที่เหมือนเป็นของขวัญสำหรับคืนแสนพิเศษนี้
1
ของขวัญให้คุณ
ผมตื่นเช้า ชงกาแฟทรีอินวันร้อน ๆ ท่ามกลางสายหมอกหนาที่กำลังถูกรุกไล่ด้วยแสงแดดอุ่น แล้วเดินไปสำรวจหน้าผาที่เมื่อคืนเราไม่เลือกเป็นที่ตั้งแคมป์ ผมค่อย ๆ เดินฝ่าหมอกหนาไป ทัศนวิสัยไม่เกิน 15 เมตร แว่วเสียงระฆังเหง่งหง่างกังวาลมาจากระยะไกล พลางสงสัยว่า ถ้าเสียงมาจากวัดผาซ่อนแก้ว มันไม่น่าจะมาถึงจุดนี้ได้ คิดว่าน่าจะมีสำนักสงฆ์ หรือหมู่บ้านอยู่ใกล้ ๆ มากกว่า เหมือนเขามีงานรื่นเริงกัน หรือไม่ก็เสียงตามสายตอนเช้า
ท่ามกลางความสับสนในความคิด และความไม่ชัดเจนของสายตา สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดขึ้นต่อหน้าผม ผมผงะและสตั๊น เพราะมีสายตาคู่หนึ่งจ้องเขม็งมาที่ผม จนถึงกับร้องท่อนหนึ่งของเพลงร็อคสุดฮิตแห่งยุค 90 ออกไปว่า
"โคโรโวเก้ !!" [ฟังเพลง
https://bit.ly/8hours-s1
]
ใช่แล้วผมเจอ “วัวป่าในตำนาน” เจ้าของมูลที่เขลอะมาตามทาง และเมื่อลมปะทะหน้าเขากรรโชกขึ้นมาไล่หมอกให้จางไปเพียงชั่วครู่ ก็เผยให้เห็นว่าไม่ได้มีแค่มันตัวเดียว แต่คือฝูงวัวที่ติดอุปกรณ์ติดตามตำแหน่งที่เรียกว่ากระดิ่งที่คอ กระจายกันแทะเล็มอาหารเช้าชุ่มหยดน้ำที่เพิ่งกลั่นมาใหม่เมื่อเช้านี้
สรรพสัตว์แทะเล็มใบหญ้า ธรรมชาติก็ห้ามมิได้
วัวป่าในตำนานแทะเล็มใบหญ้าอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมเสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งที่คอ ไม่มีใครห้ามมันได้
และสิ่งสุดท้ายที่มหาเทพฯ ต้องการจะสื่อก็คงเป็น
ยามสิ้นชีวี วิญญาณละทิ้งร่าง ผู้ใดก็มิอาจเหนี่ยวรั้งไว้
[ฟังเสียงประกอบ
https://bit.ly/8hours-s3
]
ผู้ใหญ่เดินมาพอดี ก็พากันเดินไปยังจุดชมผิวผาตัด ซึ่งน่าจะไม่เกิน 1 กม. ระหว่างทางก็ต้องหยุดชะงักเป็นบางช่วง เพราะไม่รู้ว่าจะไปทำให้วัวมันโกรธรึเปล่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มันขวางทางเดินแคบ ๆ อยู่ จนเราต้องเป็นฝ่ายแหวกพุ่มไม้ข้างทางดั้นด้นผ่านไป ฮ่า ๆ
ระหว่างทางเดินไปจุดชมวิวยอดผาตัด
แล้วเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางจริง ๆ ของทริปนี้ ผจ. เดินตามมาสมทบทีหลัง แต่ทัศนวิสัยไม่ดีนัก หมอกลงจัด และพัดมาบังวิวตลอดเวลา ผมหาจังหวะถ่ายรูปได้มาบางช็อต จนมือถือแบตหมด ช็อตที่หาโอกาสถ่ายได้ยากยิ่งคือวิววัดผาซ่อนแก้วจากมุมนี้ก็ถูกถ่ายไว้ได้โดยกล้องของผู้ใหญ่ ผู้ที่เดินไปยังปลายทางเดินแคบ ๆ ที่ยื่นออกไป ส่วนผมขอรอตรงลานพักที่กว้างกว่าอย่างสั่น ๆ
1
จุดชมวิวยอดผาตัด
🟥🟥🟥 หยั่วเก๊: ผิดพลาด 🟥🟥🟥
ราว 9:30 เราเดินกลับมายังจุดกางเต็นท์ ตอนที่กำลังวุ่นกับการเก็บสัมภาระที่ไม่รู้ว่าตอนมาเอามาได้ยังไง กินไปก็เยอะ ทำไมยัดลงไม่เหมือนเดิม อยู่ ๆ ก็มีกลุ่มคน 4 คน เดินผ่านมา ทุกคนมาในชุดวิ่งเทรลพร้อมไม้เท้าอะลูมิเนียม เนื้อตัวใสสะอาด ไม่มีคราบโคลนเลอะเทอะเลยสักนิด สอบถามได้ความว่าขึ้นมากันตั้งแต่ 7 โมง ฮะ!? ……………………………
อ่านมาถึงตรงนี้ หลาย ๆ คน คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่า พวกเรา หลงทางงงงง!!!!! หลงไปตั้งแต่ไม่ถึงสองกิโลเมตรแรก นี่คือสาเหตุที่เราใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง ในขณะที่คนอื่นเขาใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมง ฮ่า ๆๆๆๆ
"อย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ อายเขา" ผมกำชับทีมงาน แต่ไม่กี่ขั่วโมงต่อมาผมเองนี่แหละที่ฝอยฟุ้งเป็นวักเป็นเวรถึงเรื่องราวสุดทรหดและ "น่าอับอาย" แถมอีกปีต่อมาก็เขียนบล็อกที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่นี่แหละ ฮ่า ๆๆๆ
4
วิวบริเวณตั้งแคมป์ก่อนเดินทางกลับ
"ชีวิตใครไม่เคยผิดพลาดบ้าง" ประโยคนี้อาจเหมือนคำปลอบประโลมใจให้เรารู้สึกอายน้อยลงบ้าง แต่มันก็เป็นคำถามที่น้อยคนจะกล้าตอบว่า "ชีวิตข้านี่แหละ" เพราะหลังจากนั้นเขาจะถูกถากถาง ขุดคุ้ยประวัติ และอาจสูญเสียเครดิตที่เพียรสร้างสมมาตลอดชีวิต
เราเดินย่ำบนเส้นทางเปื้อนโคลนสายเก่า ไม่มีความยากลำบากใดนอกเหนือไปจากประสบการณ์ที่เราพบเจอเมื่อวาน ความกังวลใจย่อมมีแก่คนไม่รู้ เราเดินกลับด้วยความสบายใจ โคลนก็เริ่มเซตตัวหนึบ ๆ ทุกอย่างคลี่คลาย ปริศนาที่เราสงสัยถูกเฉลยด้วยเจ้าของวัวป่าในตำนานพวกนั้นที่กำลังเดินสวนมา เจ้าของบ้านและคอกวัวที่เราคิดว่าร้างนั่นเอง
"ลุงครับ วัวมันปีนไปริมหน้าผาแบบนั้นมันไม่พลาดบ้างเหรอครับ" ผมผู้ไม่กล้าเดินไปยังขอบหน้าผา ถามด้วยความสงสัย "โอ้ยประจำ บางทีตกไปไม่ตาย ต้องยิงซ้ำ ไม่ให้มันทรมาน" แม้จะน่าหดหู่แต่ก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมานิดหนึ่งว่า ที่ไม่ไปตรงนั้นอะคิดถูกแล้ว วัวดูมั่น ๆ มันยังพลาด ฮ่า ๆ
คุยกันสักพัก แกก็ขอตัวแล้วเดินจ้ำ ๆ ไปบนพื้นโคลนลื่น ๆ อย่างคล่องแคล่ว "เดี๋ยวไปดูมันก่อน เหมือนฝนจะตก ต้องต้อนมันกลับคอก"
เส้นทางช่วงเนิน VIP ยังคงมีร่องรอยของเมื่อวาน ที่แทบจะไม่ได้ถ่าย เพราะกำลังล้มลุกคลุกคลาน และเจ็บปวด
แล้วมันก็ตกลงมาจริง ๆ … [เปิดดนตรีประกอบ
https://bit.ly/8hours-s2
]
เราอาศัยกิ่งก้านใบของต้นไม้ต้นเล็ก ๆ หลบฝนและพักดื่มน้ำที่หมดพอดี เพราะความรู้ทางฟิสิกส์เตือนเราว่าต้องหลีกเลี่ยงต้นไม้ใหญ่ที่เป็นเสาล่อฟ้าชั้นเยี่ยม แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ที่หลบฝนอยู่ดี
เสียงเครื่องยนต์ กับเสียงโคลนสาดกระเซ็นดึงดูดให้เราเดินเร็วยิ่งขึ้น แล้วก็พบว่า รถกระบะออฟโรดสองคัน กำลังเจอปัญหารถติดหล่มและกำลังลากพ่วงเพื่อดึงอีกคันขึ้น เราลุ้นและพูดคุยกับพวกเขาอยู่พักหนึ่ง ก่อนอำลา ให้กำลังใจ และรับน้ำดื่มที่น้องชายผู้รับหน้าที่ขย่มกระบะยื่นให้ ประสาคนเดินทางด้วยกัน
นั่งพัก และเห็นเพื่อนนักเดินทางติดหล่มอยู่ข้างหน้า
เราผ่านโค้งโคลนเละเมื่อวาน และผ่านมันมาได้อย่างง่ายดาย ผมล้างตัวที่ลำธารน้อยเพิ่มความสดชื่น มีวัวเดินตามทางเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เลยงงกันว่ามันมาจากไหน ก็นึกถึงลุงที่บอกว่าจะไปต้อนวัวกลับคอก แสดงว่าน่าจะมีเส้นทางที่วัวเดินลงมาจากยอดเขาได้โดยไม่ผ่านทางที่เราผ่านมา และก็น่าจะเป็นทางที่นักวิ่งเทรลเมื่อเช้าใช้กัน และก็น่าจะเป็นเส้นทางที่เราควรใช้ตั้งแต่เมื่อวาน ฮ่า ๆ
แผลที่เท้าผมยังอยู่ในสภาพดีอยู่เพราะผมล้างมันด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทั้งก่อนนอน และก่อนออกเดินทาง ดูเหมือนแผลจะเริ่มสมานโดยคอลลาเจนใช้ถุงเท้าที่ ผจ. บริจาคให้อย่างจำใจเป็นเสมือนเนื้อเยื่อบุผิว ทำให้ผมเดินได้ค่อนข้างสะดวก
1
แวะล้างตัว และเติมน้ำตาล
เราผ่านประตูรั้วออกมา แต่ไม่มีวันที่เราจะเลี้ยวผ่านพงหญ้ากลับไปทางเดิม เราเลือกเส้นทางตรงไปยังเนินรับแขก แล้วให้บอมมารับออกไปทางบ้านเข็กน้อย เส้นทางช่วงนี้เป็นลูกรังแข็ง จึงเดินได้ง่าย เมื่อถึงเนินรับแขก สิงห์นักบิดกลุ่มใหญ่กำลังพยายามขับรถขึ้นทางชันที่สึกเป็นร่องลึก หลายคันเสียหลักล้ม ก็ช่วยกันพยุงขึ้น ลุ้นและพูดคุยกันสักพักก็อำลากัน
3
ทีมนักบิดขึ้นเนินรับแขกได้สำเร็จ
สิ่งที่เพื่อน ๆ ออฟโรดและมอเตอร์ไซค์วิบากได้เผชิญ ถือเป็นความผิดพลาดเหมือนที่เราเดินผิดทางไหม? หรือเป็นแค่โจทย์ปัญหาหนึ่งในการเดินทางที่ไม่อยากเจอ แต่ก็พร้อมรับมือและแก้ปัญหาไปด้วยกัน คงเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันในทีมว่ารับได้ระดับไหน
เรารอบอมมารับที่ทางขึ้นเนินรับแขก นั่งพัก และทบทวนสิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เมื่อวานเงียบ ๆ ในมุมส่วนตัว ผจ. เปิดเพลง “เที่ยวละไม” วนอยู่หลายครั้ง เพราะว่าผมร้องมันระหว่างทาง และก็ทำเหมือนเพลงว่าคือ “เอาตูดแช่น้ำแล้วเดินต่อไป” ที่ผมเคยทำตอนออกไปวิ่งเล่นตามไร่นาสวนกับเพื่อน ๆ ตอนอายุ 7 ขวบ [ฟังเพลง
https://bit.ly/8hours-s5
]
รอรถมารับที่เนินรับแขก
🟥🟥🟥 อัวเจ่า: ขอบคุณ 🟥🟥🟥
ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาด หรือปัญหาที่คาดไม่ถึง การที่เราผ่านมันมาได้ ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ด้วยตัวเราเพียงลำพังหรอก ลองทบทวนคิดถึงชีวิตของเราที่ผ่านมาดูก็ได้ แล้วเราจะได้ข้อสรุปว่า ไม่ว่าเราจะเอ่ยออกไปหรือไม่ ใจของเราก็ควรขอบคุณทุก ๆ คนที่ผ่านเข้ามา ขอบคุณทุก ๆ สถานการณ์ ที่เกื้อหนุนให้เรามาถึงจุดที่เรียกว่าความสำเร็จ ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรรู้สึกผิด ถ้าจะสบถด่าทอคนที่ทำให้ชีวิตเราฉิบหาย อย่างที่ผมทำประจำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้
★
ขอบคุณสายน้ำที่ช่วยชะล้างโคลนตมและชะโลมคลายความร้อนเร่าของร่างกาย
★
ขอบคุณพืชพรรณที่ให้ร่มเงาและความสดชื่น
★
ขอบคุณนักเดินทางสำหรับการแบ่งปันทั้งน้ำดื่มและประสบการณ์เดินทาง
★
ขอบคุณ ผจ. และ ผู้ใหญ่ ที่ช่วยเหลือ และเสียสละตลอดการเดินทาง
★
ขอบคุณบอม "สวนให้ความรักไฮโดรโปนิกส์" สำหรับการรับส่ง และ … คำแนะนำเส้นทางเดิน … เอ่อ … ขอสบถนิดนึงนะ 😂😂😂
2
นั่งรถกลับไปทางบ้านเข็กน้อยบนทางที่ไม่ราบรื่นนัก ระบมซ้ำซ้อนกันเลยทีเดียว
ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้านที่มีทางออกเชื่อมไปยังทางหลวงหมายเลข 12 และอย่างที่เล่าไว้ตั้งแต่ต้นว่า เข็กน้อยนี้ถือเป็นชุนชนชาติพันธุ์ม้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีประเพณีที่น่าสนใจคือ ปีใหม่ม้ง หรือภาษาม้งเรียกว่า “น้อเป๊ะเจ่า” จัดขึ้นในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ของทุกปี ซึ่งอยู่ในช่วงปลายเดือนธันวาคม งานนี้จัดกันยาว 7 ถึง 9 วัน [7] ใครสนใจ รอฟังประกาศของทางตำบลเข็กน้อยหรือของจังหวัดเพชรบูรณ์ในแต่ละปีได้เลยครับ
เมื่อถึงหมู่บ้านก็เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางแล้ว
และดูเหมือนว่าภูเขาก็กำลังอำลาเราด้วยสายรุ้ง
สายรุ้งระหว่างทางขากลับ
●
อ้างอิง
[1] savvyglobetrotter, “Unlock the Cultural Benefits of Learning a Local Language While Traveling”, เว็บไซต์
TheSavvyGlobetrotter.com
, สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566,
https://bit.ly/8hours-1
[2] วิศัลย์ โฆษิตานนท์, “ชนเผ่าม้ง บ้านเข็กน้อย”, เว็บไซต์
wisonk.wordpress.com
, สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566,
https://bit.ly/8hours-2
[3] เกศินี ศรีรัตน์, “บทบาทของผ้าปักต่อวิถีชีวิติชาวม้งบ้านหนองหอย ต. แม่แรม อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่”, 2553, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,
https://bit.ly/8hours-3
[4] ยุทธภูมิ นามวงศ์, “ภาษาชนชาติพันธุ์ม้ง”, เว็บไซต์
youtube.com
, สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566,
https://bit.ly/8hours-4
[5] Wikipedia, “ภาษาม้ง”, เว็บไซต์
wikiwand.com
, สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566, สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566,
https://bit.ly/8hours-5
[6] 3Hm, “เล่าเรื่องตำนานม้ง ตอนที่ 2 ตำนานการสร้างโลก”, เว็บไซต์
youtube.com
, สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566,
https://bit.ly/8hours-6
[7] Museumthailand,“ประเพณีปีใหม่ม้ง”, เว็บไซต์
museumthailand.com
, สืบค้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2566,
https://bit.ly/8hours-7
ท่องเที่ยว
ลาออกไปเช็กอิน
เรื่องเล่า
35 บันทึก
45
5
65
35
45
5
65
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย