9 ส.ค. 2023 เวลา 19:43 • ท่องเที่ยว

เหลืออีกแค่ 10 วัน แถมยังไม่ได้ทำพาสปอร์ต จะจองตั๋วเครื่องบินได้มั้ยนะ !?

หลังจากเจ้าน้องที่หายหัวไปนาน ส่งข้อความมาชวนไปเที่ยวเป็นเพื่อน เราก็ไม่รอช้า รีบเปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่พึ่งเย็นตัวลงไม่นาน เสิร์ชหาสถานที่ท่องเที่ยวทันที 😄 คนกำลังเบื่ออยู่พอดี
กำลังจะกดนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ แต่แล้วก็ต้องชะงัก ปล่อยนิ้วค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
"เอ่อ ว่าแต่อยากไปเที่ยวที่ไหนอะ?"
คือเราก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัว อยากจะไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า เอาเข้าจริง เราไม่รู้ว่ารสนิยมการเที่ยวของน้องเป็นแบบไหน เพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง ห่างกันมานานหลายปี มันอาจจะมีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนครั้งพวกเรายังเป็นเด็ก ที่วันๆ เอาแต่เล่นวิ่งเล่น หรือไม่ก็ชวนกันกินขนม
"... กำลังพิมพ์ ..."
" . . . . . "
~ ข้อความถูกลบ ~
" . . . กำ ลัง พิม พ์ . . . "
" . . . "
คุณได้รับข้อความใหม่
.
.
ที่ไหนก็ได้ !!
คำว่า "ที่ไหนก็ได้" "อะไรก็ได้" "ยังไงก็ได้" ไอ้ประโยคที่ลงท้ายด้วย "ก็ได้" นี่ ได้ฟังทีไรใจหวิวทุกที เพราะมันไม่เคยง่ายอย่างที่พูดเลยจริงๆ
แถมสถานที่ที่อยากไปบนโลกใบนี้มีเป็นร้อยเป็นพัน กับเวลาที่เหลืออีกแค่ 10 วันเท่านั้น ถ้ามัวงมเข็มในมหาสมุทรอยู่อย่างนี้ คงไม่น่าจะได้ไป งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน
"ตั้งงบไว้เท่าไหร่?"
..
..
.. เงียบ 🍃
พอพูดเรื่องเงินก็เหมือนคุยกับสายลม บางเบาและจับต้องไม่ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
10,000 นึง
ไปต่างประเทศได้ป่าว?
เห็นข้อความแล้วได้แต่หัวเราะในใจ ทำไมจะไม่ได้เล่า แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว กับการที่เราจะออกไปผจญภัยในต่างแดน เปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นอีกนิด
ตอนแรกแอบเล็งไต้หวันเพราะยังไม่เคยไป เห็นว่าใกล้ๆ ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ใครๆ เขาก็ว่าชิว เที่ยวสบายเหมือนอยู่เมืองไทย ก็เลยอยากจะไปดูบ้าง
แต่พอได้ลองค้นหาเที่ยวบินดูแล้ว ด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิด ทำให้ค่าตั๋วทั้งขาไปและขากลับ รวมกันแล้วก็เกินครึ่งของงบประมาณที่ตั้งไว้ ไหนจะค่ากิน ค่าที่พักอีก ทริปไต้หวันจึงถูกเขี่ยตกไป
นั่งคิดไปคิดมา ถ้าแบ็คแพ็คไปคนเดียว จะไปลำบากลำบนยังไงก็ได้ แต่นี่เป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของแขกคนพิเศษ จะให้ไปสมบุกสมบันเหมือนตอนไปตัวคนเดียว มันก็ยังไงๆ อยู่นะ (เกิดอยากเป็นคนดีขึ้นมา)
ถ้างั้นเราเลือกในที่ที่เราเคยไปก่อนดีกว่า ด้วยงบเท่านี้ มีอยู่ที่หนึ่งที่เราคิดว่ามันก็ไม่เลว ใช้เงินได้แบบสบายไม่กังวล
งั้นก็ไปที่นี่แหละ
เวียดนาม
ประเทศเวียดนามในสายตาคนอื่นเป็นยังไงเราไม่รู้ แต่ในมุมมองของเรา เวียดนามเป็นประเทศที่ร่มรื่น เที่ยวง่าย และค่าใช้จ่ายไม่สูง
หลายคนบอกว่าคนที่นั่นขี้โกง ขับรถไม่เป็นระเบียบ บีบแตรเสียงดัง อืม ... ไม่รู้สิ เราจะเอาไม้บรรทัดของเรา ไปวัดคนทั้งโลก ดูจะเข้าข้างตัวเองไปหน่อย
คนดีคนเลว มีผสมปนเปกันไปในทุกประเทศ วิถีการใช้ชีวิตของคนในแต่ละชาติ ก็ล้วนมาจากเหตุปัจจัยความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม ให้คนนอกอย่างเราไปชี้วัดคงไม่เหมาะ
ดังนั้นทุกครั้งที่ออกเดินทาง เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นไปอย่างสนุกสนาน และมีความสุข เราจึงยึดหลักอย่างหนึ่งไว้ในใจเสมอ นั่นก็คือ
เปิดใจ
4 วัน 3 คืน ก็ใช่ว่าจะเที่ยวได้ทั่วประเทศ แต่เวียดนามเหนือ 'ฮานอย' ก็ไปเดินมาจนพรุนแล้วเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน
ไปเคาท์ดาวน์ฉลองปีใหม่ที่นั่น เดินดูคนเต้นลีลาศในสวนสาธารณะยามค่ำคืน เด็กน้อยมาเล่นสเก็ตบอร์ดกับพ่อแม่ รำไทเก๊กไปกับอาม่าอากง และยังได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยว ที่สวยงามอีกมากมาย
ส่วนเวียดนามใต้ 'โฮจิมินห์' อาจไม่ได้เที่ยวเป็นกิจจะลักษณะเพราะไปทำงาน แต่ไปที่นั่นก็ทำให้ได้รู้ว่า คนเวียดนามขยันมากจริงๆ (ยกนิ้วให้เลย 👍)
เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เราไปที่ที่ยังไม่เคยไปดีกว่า บทสรุปสุดท้ายจึงมาจบที่ ...
เวียดนามกลาง
เว้ ฮอยอัน ดานัง
เอาเป็นว่ามีประสบการณ์เที่ยวเวียดนามมาประมาณหนึ่ง คงไม่พาน้องรักไปตกระกำลำบาก จนถึงขั้นต้องตัดพี่ตัดน้องกันในทริปนี้
เราเลยเริ่มทำการค้นหาเที่ยวบิน ที่จะพาเราไปถึงยังจุดหมายปลายทาง ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม
รอบนี้เราเดินทางทั้งไปและกลับ กับสายการบินเวียดเจ็ทแอร์(Vietjetair) เพราะราคาคุ้มค่าที่สุดที่หาได้ในช่วงนั้นแล้ว แถมเจ้าหน้าที่บนเครื่องยังปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเยี่ยม 👍 (แต่เราจะยังไม่เล่าตอนนี้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ไว้ไปติดตามกันใน EP ถัดๆ ไปนะ)
น้ำหนักกระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้คนละ 7 กิโลกรัม 2 คนก็ 14 กิโลกรัม แค่นี้ก็เหลือเฟือสำหรับพวกเราสองคนแล้ว วันจริงเรารวมของทั้งสองคนใส่กระเป๋าเดียวกัน ถือขึ้นเครื่องไปแบบชิวๆ (นอกจากน้ำหนักกระเป๋าแล้ว อย่าลืมเช็คไซส์กระเป๋าก่อนล่ะ ว่าถือขึ้นเครื่องได้ไหม)
ส่วนใครสายช้อป สายพร็อพ อาจต้องมองหาบริการเสริม ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเอาไว้ เห็นบางช่วงก็มีจัดโปรอยู่นะ ลองเลือกดูดีๆ ประหยัดไปได้เยอะเลย
ภาพประกอบจาก : https://th.vietjetair.com/th/page/seat-selection
ส่วนที่นั่ง เราสามารถเลือกได้เองตั้งแต่ขั้นตอนการจองตั๋ว ชอบดูวิวก็เลือกที่นั่งริมหน้าต่าง ชอบลุกนั่งสะดวกก็เลือกที่นั่งติดทางเดิน อยากนั่งส่วนไหนของเครื่องบินก็เลือกได้เลย จะมีบางโซนที่เราต้องจ่ายเงินเพิ่ม แต่เท่าที่ดูก็เพิ่มไม่มากเมื่อเทียบกับความพึงพอใจที่ได้รับ
ถึงรู้ขนาดนั้น แต่เชื่อไหมว่าเราไม่ได้เลือกที่นั่งที่ตัวเองต้องการ เพราะมัวแต่จัดทริปวุ่นวายจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แถมเข้าใจไปเองว่าได้เลือกที่นั่งเอาไว้แล้ว วันจริงเลยเข้าไปเช็คอินอย่างสบายใจ สำนึกได้อีกทีก็ตอนเห็นที่นั่งของตัวเอง แยกกันอยู่คนละฝั่งทางเดิน ผลคือโดนเขม่นไปหนึ่งที ว่าไหนล่ะที่นั่งติดหน้าต่าง!!
ความจริงเราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตอนเช็คอินได้นะ ว่าต้องการที่นั่งตำแหน่งไหน หากมันมีที่ว่าง (**ย้ำว่าถ้ามันมีที่ว่างเหลืออยู่นะ) เจ้าหน้าที่ก็สามารถเลือกตำแหน่งที่เราต้องการให้ได้ แต่ทางที่ดีเราเลือกไปเองตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเลยจะแน่นอนกว่า
เวลาเกือบจะเที่ยงคืน ตอนนี้เราเลือกสายการบินได้แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการกรอกข้อมูล เพื่อทำการจอง
แต่ก็มีเรื่องให้ได้ตื่นเต้นอีกจนได้ ลำพังแค่กรอกชื่อ นามสกุล ให้ถูกต้องตามบัตรประชาชน หลังจากที่เพิ่งผ่านสมรภูมิเค้นสมองอย่างหนักมา สายตาล้าพร่ามัว การทำงานของสมองค่อนข้างรวน ได้แต่บอกตัวเองให้ท่องไว้ว่า
"อย่าพิมพ์ผิดนะ อย่าผิดนะ! อย่าผิดน้าาาาาาา!"
เพราะถ้าพิมพ์ข้อมูลในตั๋วผิดนี่เรื่องใหญ่ใช่ย่อย วันจริงเราคงไม่อยากวิ่งวุ่นแก้ปัญหา หรืออย่างแย่ที่สุด อาจต้องทิ้งตั๋วไปนั้นไป แล้วซื้อตั๋วใบใหม่เลยก็ได้
หลังจากทวนอยู่สองสามรอบจนมั่นใจ ถึงค่อยเลื่อนไปกรอกหัวข้อใหม่ และนั่นก็ถึงจุดไคลแม็กซ์ของบทนี้
กรุณากรอก
หมายเลขพาสปอร์ตของคุณ
ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย รีบลุกไปค้นหาพาสปอร์ตเล่มเก่า ภาวนาให้มันยังไม่หมดอายุ แต่ความหวังกับความเป็นจริงมักสวนทางกันเสมอ พาสปอร์ตเล่มเดิมหมดอายุไปเป็นที่เรียบร้อย 🥹 ส่วนอีกคนไม่ต้องพูดถึง เพราะยังไม่เคยทำพาสปอร์ตเลยสักครั้งเดียว
รีบเสิร์ชหาข้อมูลโดยด่วน มันต้องมีบ้างล่ะ คนที่เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน แล้วพวกเขาแก้ไขปัญหากันยังไง
ไปเจอข้อมูลแชร์อยู่ในบล็อกหนึ่ง เขาบอกว่าตัวเองนั้น ใส่หมายเลขบัตรประชาชนลงไป ในช่องหมายเลขพาสปอร์ต
"เอาวะ ลองทำตามวิธีนี้ก็แล้วกัน"
อย่างน้อยก็ขอทำการสั่งซื้อให้สำเร็จเรียบร้อย ให้ได้อีเมลตอบรับ เอามานอนกอดอุ่นใจไปสักหนึ่งคืน ส่วนปัญหาเอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมาคิดหาทางแก้ไขกันต่อ
มาย้อนคิดดูมันก็ค่อนข้างย้อนแย้งนะ ในขณะที่บอกตัวเองให้กรอกชื่อ หมายเลขบัตรประชาชนให้ถูกต้อง แต่กลับยอมเสี่ยง ใส่เลขบัตรประชาชนแทนเลขพาสปอร์ต นี่แหละนะ ที่เค้าเรียกว่ามนุษย์ 😄
และในที่สุด เราก็ได้ตั๋วเครื่องบินมาครอบครอง ขณะที่ยังไม่รู้เลยว่า จะกินนอนอย่างไร จะไปเที่ยวที่ไหนในเวียดนาม แต่เรื่องเหล่านี้ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับ
เราจะทำพาสปอร์ต
เสร็จทันภายใน 10 วันนี้มั้ย !?
ช่างเป็นค่ำคืนที่ยาวนาน หลังจากเปิดอ่านข้อความที่ส่งมานั่น
"หยุด 5 วันไปไหนดี"
"ไปเที่ยวเป็นเพื่อนหน่อย"
ในทางทฤษฎี ตอนนี้พวกเราพาตัวเองมาประชิดติดเขตชายแดนเวียดนามแล้ว เหลือขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่ง ก็จะสามารถข้ามเข้าไปในประเทศเวียดนามได้ นั่นก็คือการทําพาสปอร์ต
ส่วนวีซ่า ถ้าถือหนังสือเดินทางประเทศไทย สามารถเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเวียดนาม ได้ไม่เกิน 30 วัน ซึ่งมันดีตรงนี้แหละทุกคน อยากไปตอนไหนก็ไปได้ ใครอกหักอยากหลบไปเลียแผลใจตามลำพัง ไปเวียดนามก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว 😁
กลับมาต่อกันที่การทำพาสปอร์ต ถ้าหากอยากรู้ว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง สามารถเข้าไปเช็คข้อมูลจากเว็บไซต์ของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศได้เลย ภายในนั้นมีข้อมูลที่เราอยากรู้ครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
  • เอกสารที่ต้องใช้ในการทำพาสปอร์ต
  • ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการจัดส่ง
  • สถานที่ให้บริการหนังสือเดินทาง
  • วิธีการลงทะเบียนจองคิวออนไลน์
  • จองคิวทำหนังสือเดินทางออนไลน์
ส่วนเราโฟกัสอยู่อย่างเดียวคือ พาสปอร์ตของเราจะเสร็จทันภายใน 10 วันนี้ไหม ซึ่งในเว็บไซต์ก็ได้ระบุไว้ว่า การจัดส่งไปรษณีย์มายังต่างจังหวัด จะใช้เวลา 3-5 วันทำการ
ถ้ามีคำว่า 'วันทำการ' ก็หมายความว่าเสาร์อาทิตย์ไม่นับ งั้นเราก็เหลือเวลาให้ได้ลุ้นแค่ 7 วัน 😱 ไม่สิเราต้องหักวันไปทำพาสปอร์ตออกด้วย
"โอเคพรุ่งนี้วันจันทร์ ไปมันวันพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน"
จะไม่จองคิว
ออนไลน์เหรอ?
"โอ๊ย ไม่รู้แล้ว ลองไปดูก่อนก็แล้วกัน"
ก่อนปิดโน๊ตบุ๊คก็ไม่ลืมกำชับเพื่อนร่วมชะตากรรม ว่าให้รีบไปทำพาสปอร์ตโดยด่วน แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะได้อ่านข้อความเมื่อไหร่ เพราะนี่ก็ปาเข้าไปตีสองแล้ว
สถานที่ทำพาสปอร์ตตั้งอยู่ในห้าง เราไปถึงตั้งแต่ห้างยังไม่เปิด ในใจก็ลุ้นว่าเขาจะให้เราทำไหม เพราะไม่ได้จองออนไลน์มา ความจริงเข้าไปจองออนไลน์แล้ว แต่มีคิวให้อีกทีก็สามสี่วันข้างหน้า ซึ่งแน่นอนมันไม่ทัน
เดินใจตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ขนลุกเพราะอากาศมันเย็น หรือบรรยากาศในห้างมันสลัว ไม่มีคน จนเดินทะลุมาถึงหน้าสำนักงานถึงได้โล่งใจ ในที่สุดก็มีแสงไฟ และคนนั่งรออยู่จำนวนหนึ่ง
เจ้าหน้าที่เหมือนจะรู้ รีบผายมือให้ไปนั่งต่อแถว แล้วยื่นกระดาษเอสี่ให้กรอกข้อมูลรอ ใครไม่ได้เอาปากกามาก็สะกิดยืมเพื่อนข้างๆ ไป ส่วนเราดีนะพกมาสองแท่งเพราะลืมเอาออกจากกระเป๋า 😅 (ว่าแล้วปากกามันหายไปไหนหมด)
ถึงเวลาเปิดทำการ ปรากฏว่ามันมีช่องสำหรับทั้งคนที่จองคิวออนไลน์มา และไม่ได้จองคิวออนไลน์ สามารถทยอยกันเข้าไปต่อแถว เพื่อส่งเอกสารที่เตรียมมาให้เจ้าหน้าที่เช็ค
สรุปคือไม่ได้จองออนไลน์ก็ไปได้ แต่เราก็คิดนะว่าถ้าอยากได้คิวชัวร์ๆ จองออนไลน์ไปดีกว่า เพราะหลังจากเปิดทำการได้ไม่นาน คนก็หลั่งไหลมาทำพาสปอร์ตแบบมืดฟ้ามัวดิน หากเราไม่จองออนไลน์มาแล้วคิวเต็ม ก็เท่ากับเรามาเสียเที่ยว
ของขวัญปีใหม่ 2566
จากกระทรวงการต่างประเทศ
ตอนยื่นเอกสารเจ้าหน้าที่ก็จะถามว่า ต้องการทำหนังสือเดินทางเล่มกี่ปี ซึ่งมันก็จะมีแบบ 5 ปี กับ 10 ปี แต่ความพิเศษของการทำหนังสือเดินทางในปีนี้ก็คือ ค่าธรรมเนียมมีการปรับเปลี่ยน
  • เล่ม 5 ปี ค่าธรรมเนียม 1,000 บาท (จากปกติ 3,500 บาท)
  • เล่ม 10 ปี ค่าธรรมเนียม 1,500 บาท (จากปกติ 3,500 บาท)
ลดขนาดนี้ ก็น่าจะพอเดาออกนะว่าเราทำกี่ปี เล่าให้เพื่อนฟังก็โดนแซวกลับมาว่า
"ตลอด 10 ปี แกไม่คิดว่าตัวเองจะทำศัลยกรรมหน้าบ้างเหรอ"
เราก็ได้แต่คิดในใจว่า ไม่โว้ย !!... กลัวเจ็บ 😂
มิติใหม่
แห่งการทำพาสปอร์ต
บอกเลยว่าการทำพาสปอร์ตครั้งนี้ มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก ตั้งแต่สามารถสืบค้นข้อมูลเพื่อการเตรียมตัวได้จากเว็บไซต์ การจองคิวออนไลน์ ไปจนถึงการถ่ายรูปติดพาสปอร์ต
ที่เด็ดสุด ก็คือการถ่ายรูปติดพาสปอร์ตนี่แหละ 👍
ด้วยความที่เรามาเช้า ทำให้ได้คิวลำดับที่สิบต้นๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ตั้งแต่การยื่นเอกสาร รอคิวเข้าคอกกั้นเล็กๆ ที่มีเจ้าหน้าที่นั่งประจำอยู่
ไม่นานหน้าจอ LED ก็แสดงหมายเลขคิวของเรา พร้อมกับระบุหมายเลขห้อง ที่แค่เงยหน้ามองก็รู้แล้วว่าต้องเดินไปตรงไหน เพราะเลขห้องไม่ได้ติดอยู่ที่หน้าประตู แต่ปักอยู่บนขอบผนังกั้นห้อง ใครนะช่างออกแบบวิธีการนี้ ขนาดคุณป้าคิวก่อนหน้า แกยังเดินไปเองถูก
เข้าไปนั่งประจันหน้าอยู่กับคุณเจ้าหน้าที่ ลักษณะเป็นผู้หญิงวัยกลางคน หน้าตาเคร่งขรึม แอบคิดในใจว่าจะโดนเหวี่ยงวีนเหมือนที่เขาว่ากันไหมนะ ขึ้นชื่อว่าเป็นหน่วยงานราชการแล้วด้วย
แต่ผิดคาด เจ้าหน้าที่ให้บริการดีมาก พูดจาสุภาพ ขนาดคุณป้าที่อยู่ห้องข้างๆ กัน แกเตรียมเอกสารมาไม่ครบ ถามอะไรก็ตอบไม่ค่อยได้ เจ้าหน้าที่ก็ยังพยายามอธิบายอย่างใจเย็น บรรยากาศผ่อนคลายสุดๆ
หลังจากเจ้าหน้าที่ทวนข้อมูลในระบบเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาสำคัญ ว่าเราจะมีความมั่นใจแค่ไหน เวลายื่นพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง นั่นก็คือ
ถ่ายรูป
ติดพาสปอร์ต
การเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล การสแกนนิ้วเก็บลายนิ้วมือก็มีมาตั้งนานแล้ว แต่การสแกนม่านตาเราเพิ่งเคยได้ทำครั้งนี้เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นดีตอนที่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เครื่องสแกน ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครื่องมันทำงานเสร็จแล้ว
มาถึงขั้นตอนการถ่ายรูปติดพาสปอร์ต เรารู้สึกประหลาดใจ ตั้งแต่ตอนที่นั่งรอคิวอยู่ข้างนอกแล้ว เห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงถือแผ่นรีเฟล็กซ์เดินผ่านหน้าไป
(คนถ่ายภาพจะรู้จักแผ่นนี้ มันมีไว้สะท้อนแสง ลบเงา กรองแสงจ้า ทำให้ผิวหน้าเราเวลาถ่ายภาพออกมาดูเนียน ไม่แข็ง)
ใครจะไปคิดว่าสมัยนี้ สำนักงานหนังสือเดินทางจะจัดเตรียมอุปกรณ์ให้เราขนาดนี้ หน้ามันไม่ต้องห่วงมีแป้งให้ แสงตกตำแหน่งไม่ดีบนใบหน้ามีรีเฟล็กซ์ให้ กล้องเป็นกล้อง DSLR ยังจำได้เลยว่าตอนไปทำพาสปอร์ตเล่มก่อน กล้องยังเป็นแบบกลมๆ หมุนได้เหมือนกล้องวงจรปิดอยู่เลย
ถ้ารูปในพาสปอร์ตออกมาไม่ถูกใจ
ก็ต้องโทษตัวเองแล้วแหละ 😂
สรุปห้างเปิดได้ไม่ทันไร เราก็ทำพาสปอร์ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่รอลุ้นว่า พาสปอร์ตจะมาทันก่อนเดินทางหรือไม่ ตื่นเต้นจริงๆ เลยเชียว
🌻 ยังมีเรื่องเล่าระหว่างการเดินทางทริปนี้อีกเยอะเลย ติดตามอ่านได้ที่ซีรี่ย์นี้เลยน้า (จะพยายามปั่นบทความอย่างสุดความสามารถนะทุกคน😉)
🍄 ส่วนใครอยากเที่ยวไปกับเราผ่านคลิปวีดีโอ ก็ดูได้ที่นี่เลยนะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ 🥰 ถ้าชอบก็ฝากกดติดตาม กดเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ
ใครมีประสบการณ์ดี ต้องการร่วมแบ่งปัน สามารถพิมพ์ข้อความแชร์ให้กับเพื่อนๆ ได้เลยนะคะ
ขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ
**บทความนี้ลิขสิทธิ์เป็นของ Journey the Rabbit
โฆษณา