11 ส.ค. 2023 เวลา 23:54 • ท่องเที่ยว
St. Magdalena

จัดเต็ม 3 วัน Santa Magdalena หมู่บ้านสวยราวเทพนิยาย แห่ง Dolomite อิตาลีเหนือ

ทริปหอยทากของการเดินทางท่องเที่ยวแบบเนิบเนิบช้าช้า ( Slow Life )ของผู้เขียน โดยใช้เวลาอย่างเต็มที่และเต็มอิ่มในทุกจุด ทุกแห่งหน ตามใจปรารถนา ของทริปขับรถเที่ยวเอง 3 ประเทศยุโรปโรแมนติกแสนสวยได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย และอิตาลี
3 ประเทศโรแมนติก
ซึ่งได้เคยพาไปเที่ยว Hallstatt แห่งออสเตรีย แบบเต็มอิ่มกันมาแล้วนั้น
Hallstatt
ในวันนี้เราจะมาจัดเต็ม 3 วัน 2 คืนกันอีกครั้ง ในการค้างอ้างแรมที่หมู่บ้านแสนสวย แห่งภูมิภาคเทือกเขา Dolomite ของอิตาลีตอนเหนือ
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในเรื่องความสวยงามชนิดเกินกว่าจะหาคำมาบรรยาย จนกระทั่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พศ. 2552
ในแถบ Dolomite ซึ่งในระยะหลังเป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างมากของนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วยเช่นกันนั้น
บรรยากาศ Dolomite
เนื่องจากมีทัศนียภาพและบรรยากาศที่โดดเด่น โดยเกิดจากการหลอมรวมจุดเด่นเจ้าไว้ด้วยกัน ของทั้ง 4 ประเทศที่สุดสวยแบบโรแมนติกในฝันคือ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ออสเตรีย และอิตาลี
1
ภาพและบรรยากาศแสนสวยของทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างใหญ่แบบทุ่งอัลไพน์ เทือกเขาแอลป์ที่สูงตระหง่านสวยงาม โบสถ์ที่มีเอกลักษณ์ ฟาร์มปศุสัตว์ที่น่ารัก โรงนา และหมู่บ้านชนบทของยุโรป ล้วนสวยงามจับใจสำหรับผู้คนจากทั่วโลก
บรรยากาศประทับใจไม่รู้ลืม
ถ้ากล่าวเฉพาะ Dolomite ของอิตาลี นอกจากจะมีความสวยงามดังกล่าวทั้งหมดแล้ว ยังมีส่วนเพิ่มเติมสุดยอดขึ้นมาคือ ยอดเขาหินปูนสีเทาขาวโดดเด่น ตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียวสดใส ซึ่งจะเปลี่ยนสีไปตามระดับความเข้มของแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงเวลาของแต่ละวันอีกด้วย
1
โดยไฮไลท์สูงสุด จะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ที่แสงทองของดวงตะวัน จะส่องไปกระทบกับยอดเขาหินปูน แล้วเปลี่ยนจากเทาขาวเป็นเหลืองออกน้ำตาล จนไปสู่สีส้มเข้มเกือบแดง และไม่ใช่เป็นเพียงบางยอดเขา หากแต่เป็นทั้งเทือกเขาทุกยอดเลยทีเดียว
2
เขาที่เปลี่ยนสีในตอนค่ำ
เราเลือกเดินทางมาเยือนในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต่อฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี ถือเป็นการวางแผนขั้นแรกสุด เพื่อให้ได้สภาพอากาศและอุณหภูมิที่ดีมากสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว คือ 10-20 องศาเซลเซียส ไม่หนาวมากจนเกินไป และไม่รู้สึกร้อนมาก ทำให้สามารถเดินเที่ยวอย่างไร ก็จะไม่มีเหงื่อออก และไม่รู้สึกเพลียหรืออ่อนล้าแต่อย่างใด
นอกจากนั้นยังนับเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าส่วนใหญ่จะเป็นสีฟ้าปนน้ำเงินคราม สว่างสดใสทั้งวัน และมักจะไม่ค่อยมีเมฆหมอกหรือฝน
ทำให้ภาพที่ออกมานั้นสวยงามสว่างไสวราวกับภาพวาดของจิตรกรเอก มากกว่าจะเป็นภาพที่ถ่ายจากกล้องถ่ายรูป
1
สวยงามราวภาพวาด
ดอกหญ้า ดอกไม้ป่านานาชนิด ต่างก็แข่งขันกันชูช่อออกดอกบานสะพรั่งกันไปทั่ว กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา สวยงามสุดจะพรรณนา
เราจึงเลือกที่จะเดินทางมาเยือน Santa Magdalena หมู่บ้านสุดโรแมนติก ซึ่งสวยแบบเทพนิยายในฝันของ Dolomite ในช่วงเดือนมิถุนายน 2566 เพื่อให้ได้บรรยากาศทุกอย่างดังกล่าวข้างต้น
ดอกหญ้า ดอกไม้ป่า บานสะพรั่ง ดาษดา
แต่การเดินทางท่องเที่ยวที่ดี โดยเฉพาะการมาขับรถเที่ยวกันเอง จำเป็นที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดสมบูรณ์มากเพียงพอ
เพื่อที่เมื่อถึงเวลาไปเที่ยวจริงๆ จะได้อินทั้งกับภาพที่ปรากฏต่อหน้า และการมีเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ มาสนับสนุนร่วมด้วย
ดอกหญ้า ดอกไม้ป่า มากมาย
นอกจากนั้น ถ้ามีการวางแผนจัดการที่ดี ก็จะทำให้เราสามารถประหยัดเวลาในการเดินทาง หรือในการเข้าสู่จุดเช็คอินหรือจุดชมวิวต่างๆ
1
เหลือเวลามากพอ ที่จะซึมซับทุกบรรยากาศและทุกอารมณ์แบบไม่เร่งรีบ สามารถเก็บความประทับใจไว้ในความทรงจำอย่างไม่รู้ลืม
เราจึงวางแผนกำหนดช่วงเวลาให้เหมาะสม มากถึง 3 วัน 2 คืน ในการพักอพาร์ตเมนต์แห่งเดียว จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนที่พัก และไม่เป็นภาระในการต้องขนกระเป๋าทุกวัน
ที่พักที่เราหาได้ในครั้งนี้ เกิดจากการศึกษาและวางแผนที่ดี ร่วมกับโชคช่วย หรือจะเรียกว่าเก่งบวกเฮงก็ได้
ทำให้เราได้ที่พัก ที่อาจจะถือว่าสุดยอดมากแห่งหนึ่งในย่านนี้
ที่พักของเรา MagdalenaBlick
เพราะจะไม่สามารถจะจองที่พักแบบทิ้งไว้เฉยเฉยล่วงหน้าได้ เมื่อไม่สะดวกก็มายกเลิกทีหลัง เหมือนที่พักหลายแห่งยอมให้กระทำกัน
แต่ที่พักแห่งนี้ จะต้องจ่ายเงินล่วงหน้าเต็มจำนวนทันที และจะไม่มีการคืนเงินให้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดใดทั้งสิ้น โดยมีเงื่อนไขเข้มเพิ่มอีกด้วยคือ ต้องพักอย่างน้อยสองคืนติดกันขึ้นไป
ทำให้ทัวร์หรือนักท่องเที่ยวทั่วไป ไม่สามารถจะมาพักที่พักแห่งนี้ได้
แต่จากการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำให้เราตัดสินใจจะจ่ายเงินเต็มจำนวนทันที เพราะพบว่าสถานที่พักแห่งนี้ดีมากๆ
1
อีกมุมมองของที่พักในฝัน
วิวจากที่พักสวยสุดยอดมาก อยู่ไม่ไกลจากจุดเช็คอินมหาชนที่เป็นเดอะมัสต์ (The Must) และยังสามารถเข้าถึงตำแหน่งของการถ่ายภาพจุดมหาชนได้อย่างสะดวกสบายมากอีกด้วย
1
ที่พักซึ่งเป็นอพาร์ตเม้นต์ของชาวบ้านในชนบทแท้แท้แห่งนี้คือ MagdalenaBlick สวยงามขนาดว่าแม้จ่ายคืนละหมื่นบาทก็ยังต้องถือว่าคุ้มค่ามาก
แต่เราโชคดี สามารถจองได้ที่ราคาคืนละ 5700 บาทต่อห้องชุดสองชั้น ขนาดใหญ่ถึง 100 ตารางเมตร มีสองห้องนอน
ห้องนอนชั้นล่าง
โดยชั้นล่างมีหนึ่งห้องนอน นอนได้ 2 คน มีห้องใต้หลังคาขนาดใหญ่นอนได้มากถึง 4 คน มีช่องชมวิวจากหลังคาด้วย และมีห้องน้ำให้ทั้งสองชั้น
บันไดขึ้นสู่ห้องใต้หลังคา
สามารถพักได้มากถึง 6 คน ถ้าคิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนแล้ว เพียงคนละ 950 บาท ถูกมากๆเลย สำหรับเราไป 2 คน คนละ 2000 กว่าบาท ก็ยังถือว่าไม่แพง
2
ห้องทานอาหาร
ที่พักแห่งนี้ มีห้องรับแขกที่กว้างขวาง นั่งเล่นได้อย่างสดวกสบาย มีห้องครัวที่มีอุปกรณ์ครบครันในการทำอาหาร ชนิดไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลย โต๊ะทานอาหารใหญ่โตนั่งพร้อมกันได้หลายคน
และแน่นอน ระเบียงข้างนอกสำหรับนั่งเล่น เป็นมุมที่สวยงามมากๆ นั่งชมวิวหมู่บ้านแบบเต็มตา และอากาศก็ดีมาก สะอาดบริสุทธิ์ สดชื่นเย็นสบาย จะนั่งคุยกันเล่นเล่น หรือนั่งทานอาหารก็ได้อารมณ์ฟินมาก
2
ระเบียงบ้าน มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั้งหมู่บ้าน
นอกจากนั้นยังมีที่จอดรถให้ฟรี สะดวกสบายมากเพราะอยู่ติดกับห้องพักเลย วิวของที่จอดรถก็เป็นธรรมชาติที่สวยสดงดงาม
ที่จอดรถแสนสดวกและแสนสวย
เมื่อได้จองที่พักเรียบร้อยแล้ว เราก็มาวางแผนกำหนดเวลาและเส้นทางการท่องเที่ยวกัน โดยเมื่อลงเครื่องที่มิวนิกแล้ว ก็ขับรถเที่ยวมาเรื่อยเรื่อย ช้าช้า ตามแบบสไตล์ทริปหอยทากที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา
ได้แวะชมปราสาทนอยชวานสไตน์ และจุดอื่นๆเป็นลำดับมา ซึมซับทุกที่ที่ขับรถผ่าน เลือกถนนสายรอง (Back road) ให้มากที่สุด ตรงไหนเห็นว่าสวย เป็นอันต้องหาทางจอดรถ ลงไปเดินชื่นชมบรรยากาศชนบทของยุโรปที่งดงามมาก ถ่ายรูปกันทุกจุดไป
1
ปราสาทนอยชวานสไตน์
จนเมื่อเดินทางข้ามแดนจากออสเตรียมายังอิตาลีตอนเหนือ เราก็เริ่มผ่อนคลายในการขับรถอย่างมาก ใช้แผนที่ของ Google แบบมั่นใจมากไปหน่อย คือมีการออกนอกเส้นทางเป็นระยะระยะ แวะไปถ่ายภาพที่เราเห็นว่าน่าจะสวย น่าจะแวะ หลายครั้งหลายหนด้วยกัน
บางครั้งเราก็ไม่เชื่อ Google เลือกใช้เส้นทางที่คิดว่าจะลัดเลาะไปออกอีกจุดหนึ่งได้รวดเร็วขึ้น ในที่สุดเราก็หลงเข้าไปในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งถนนเล็กมากๆ วิ่งไปนานพอสมควรแล้วก็เจอทางตัน ครับทางตันไปต่อไม่ได้ จะกลับรถออกมา ก็ทำได้ด้วยความยากลำบาก
แต่ในที่สุดก็สามารถกลับรถออกมาได้ เมื่อกลับออกมาแล้ว ถนนก็ยังคงเป็น Backroad แบบชนบทขนาดเล็ก
1
วิวชนบท ที่เราหลงทางเข้าไป
เราก็ได้พบกับบรรยากาศสุดสวยของชนบทอิตาลีตอนเหนือ เป็นทั้งทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้ดอกหญ้า และยังมีทุ่งข้าวสาลีหรือบาเล่ย์ที่เราไม่เคยมีโอกาสสัมผัสอย่างใกล้ชิดมาก่อน จึงจอดรถลงไปสัมผัสใกล้ชิด ทำให้เป็นโบนัสหรือกำไรชีวิตในการหลงทางครั้งนี้
เมื่อเราขับมาถึงที่พัก ก็ต้องบอกว่าชื่นใจมาก เพราะของจริงนั้น สวยงามยิ่งกว่าในภาพที่ก็ถือว่าสวยมากอยู่แล้ว
1
ที่พักในฝันของเรา
เปิดประตูเข้าไปด้านใน สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยมากมาก เจ้าของเตรียมไว้ให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งน้ำยาล้างจาน น้ำมันพืชในการปรุงอาหาร ก็ยังเตรียมไว้ให้พวกเราเลย
ส่วนกุญแจก็เตรียมไว้ให้ ไม่ต้องเสียเวลารอเช็คอิน มาถึงเมื่อไหร่ก็เข้าห้องได้เมื่อนั้น
ระหว่างทางที่จะเดินทางมาถึงโรงแรมในเขต Dolomite ถนนจะเล็กลงกว่าในออสเตรียและเยอรมนี มีความลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปตามภูเขา หน้าผาและหุบเขา แต่ถนนมีผิวการจราจรดีมาก วิวสองข้างทางสวยงามคุ้มค่าที่จะขับรถชมวิวไปเรื่อยเรื่อยตลอดเส้นทาง
1
ทางแคบที่สวยงาม
เมื่อเลี้ยวจากถนนชนบทขนาดเล็ก เข้ามาในซอยที่จะเข้าที่พัก ซึ่งเข้าไปประมาณ 500 เมตรนั้น ถนนก็แคบลงไปอีก ยังคิดอยู่ว่า ถ้ามีรถสวนมา จะทำอย่างไร แต่ตลอดสามวันที่เราพัก ไม่เคยเจอรถสวนเลยแม้แต่ครั้งเดียว สงบ เงียบมากมาก
เมื่อเข้าที่พัก ล้างหน้าล้างตาแล้ว แม้เป็นหอยทากที่เนิบนาบ หากแต่ขยันขันแข็ง เราก็รีบขับรถไปยังจุดเช็คอินมหาชนจุดแรกในตอนเย็นวันนั้นเลย
เราเลือกที่จะไป Church of St.John ก่อน เพราะได้ศึกษามาว่า การไปนั้นค่อนข้างง่าย ไม่ค่อยมีคนหลงทาง กล่าวคือเลือกโจทย์เลขง่ายขึ้นมาทำก่อนโจทย์เลขที่ยาก
โบสถ์ St.John
แต่ก็ได้รับคำเตือนมาก่อนล่วงหน้าว่าในบางจุด เราจะเข้าไปถ่ายรูปใกล้ใกล้ไม่ได้ เพราะชาวบ้านแถวนี้เค้าอยู่อาศัยกันจริงๆ
หลังจากที่ Dolomite มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมาก บางคนไม่มีความเกรงใจ ไม่เคารพความเป็นส่วนตัว
หวังแต่จะได้ภาพสวยถูกใจ ทำให้ไปบุกรุกหรือล่วงล้ำเข้าในทุ่งหญ้าหรือสวนส่วนบุคคล บางครั้งก็ไปเหยียบย่ำทำลายดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้าของชาวบ้านอีกด้วย จึงมีการติดป้ายในบางจุด ห้ามไม่ให้เข้าไปถ่ายรูป เมื่อเราทราบมาก่อนแล้ว เราก็เลี่ยงจุดเหล่านั้น
แล้วก็เลือกจุดจอดรถที่ดีที่สุดคือ จุดจอดรถสาธารณะ ที่ไม่รบกวนการจราจรของถนนที่แคบอยู่แล้ว ที่บางคนจอดรถบนไหล่ทางซึ่งค่อนข้างแคบ
ถนนสายเล็กน่ารัก
จุดที่เราจอดรถ อยู่ใกล้มาก เดินไปเพียงนิดเดียว ก็สามารถถ่ายรูปได้แล้ว
การจอดรถตามไหล่ทางของถนนแคบในชนบทนี่เอง เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านบางคนประสบปัญหาในการเดินทางสัญจรเป็นอย่างมาก
เราเดินเท้าออกจากที่จอดรถ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายมาก ประมาณ 10 องศาเศษ วันนี้แดดสวยมาก ท้องฟ้าสีฟ้าครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอก
ทำให้เราเดินทอดน่องอย่างสบายใจแสนสดชื่น และถ่ายรูปไปด้วยตลอดเส้นทางการเดินเท้า ที่มุ่งหน้าไปสู่โบสถ์เป้าหมายของเรา
1
ภาพจากจุดเช็คอินมหาชน
เมื่อมาถึงจุดถ่ายภาพที่สวยที่สุด มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่มากนัก ทำให้เราสามารถถ่ายภาพได้สะดวกและได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเกรงใจเรื่องการรอคิวกัน
แล้วเราก็ยังเดินไปถ่ายภาพ ณ จุดอื่นๆอีกหลายจุดในบริเวณนั้น เพื่อที่จะให้ถึงเวลาตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน จะได้มีโอกาสถ่ายภาพเขาหินปูนที่เปลี่ยนเป็นสีส้มออกแดงเข้ม
แต่เนื่องจากกำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อนพระอาทิตย์แถวนี้จะตกสามทุ่มเศษ ทำให้นักท่องเที่ยวที่มีอยู่จำนวนหนึ่งนั้น ต่างแยกย้ายกันกลับไปหมด เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะมีที่พักอยู่ในเมืองที่ไกลออกไป
1
เขาสีเทาขาว เปลี่ยนสีเป็นส้มแดงสด
จึงเหลือเราเพียงสองคน ทำให้ได้มีโอกาสถ่ายภาพเทือกเขา Dolomite ตามลำพัง ชนิดไม่มีผู้คนเลย
เมื่อได้ภาพเทือกเขาสีแดงส้มจัดจ้านที่งดงามมากจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็ขับรถมาอีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงที่พัก
1
แต่เราตัดสินใจว่า เราน่าจะขับรถไปสำรวจเส้นทางที่จะต้องไปถ่ายรูปยังจุดเช็กอินของวันพรุ่งนี้คือ Santa Magdalena เลยดีกว่า
เพราะที่ทราบมาก็คือ การเข้าถึงจุดที่จะถ่ายภาพได้สวยที่สุดนั้น ค่อนข้างจะยุ่งยาก มีนักท่องเที่ยวขับรถผิดและหลงทางกันมาแล้วหลายคน และแม้จะไปถึงถูกทาง แต่ก็ไปจอดในตำแหน่งที่ต้องเดินไกลมากๆอีกด้วย
โบสถ์ที่เห็นอยู่ว่าจะต้องไปให้ถึง
เราก็เลยใช้ทั้งแผนที่ ร่วมกับ Google ของมือถือ ช่วงแรกก็รู้สึกว่า ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรมากนัก ดูจะสามารถขยับเข้าใกล้โบสถ์เป้าหมายได้มากขึ้นเป็นลำดับ
แต่สุดท้ายก็พบว่า ที่รับทราบมานั้น เป็นความจริงทุกประการ คือมีไม้มาขวางกั้น ไม่สามารถจะเดินทางเข้าไปได้ นอกจากจะเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น
จึงถือว่าโชคดีมาก ที่เราได้มาสำรวจในเส้นทางวันนี้ไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อที่จะได้ไม่ผิดพลาดในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีเวลาไม่มากพอที่จะให้เราแก้ตัว
เราขับรถกลับมายังที่พัก แม้เป็นเวลา 2 ทุ่มเศษแล้ว แต่ฟ้ายังสว่างเหมือน 4-5 โมงเย็น คนใกล้ตัวได้ไปสอบถามชาวบ้านที่อยู่ใกล้ใกล้แถวนั้น
จึงทราบว่า เราสามารถที่จะเดินเท้าลัดเลาะไปยังโบสถ์ที่เป็นจุดเช็คอินมหาชนจากที่พักได้ด้วย แต่อาจจะเป็นเส้นทางคดเคี้ยวที่ขึ้นขึ้นลงลงอยู่สักหน่อย ไม่ใช่พื้นราบ เพราะแถวนี้เป็นหุบเขาและเนินเขา แต่ก็ไม่ได้ลำบากมากมายอะไรนัก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่ามีเส้นทางลับที่เดินได้เส้นนี้อยู่
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มเศษ แต่พระอาทิตย์จะตกสามทุ่มครึ่ง ก็เลยตกลงว่า ลุยเลยดีกว่า
ว่าแล้วก็เตรียมแจ๊คเก็ตบางเอาไว้กันหนาวตอนขากลับ เพราะอุณหภูมิขากลับประมาณ 10 องศาเซลเซียส ใส่รองเท้าผ้าใบให้ทะมัดทะแมงเดินได้สดวก
เมื่อเริ่มออกเดินเท้า เราเดินจากที่พัก ไปตามเส้นทางเดินเท้าแสนสวยในหมู่บ้านชนบทของอิตาลีตอนเหนือ
เส้นทางเดินเท้าที่ชาวบ้านแนะนำ
สวยทุกช่วง ตลอดระยะการเดินเที่ยวเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นดอกหญ้าดอกไม้ป่าสองข้างทาง บ้านของผู้คนที่สวยงามแตกต่างกันไป ทุ่งหญ้า วิวของภูเขา ตลอดจนโบสถ์เป้าหมายที่อยู่ห่างออกไป
เราเดินขึ้นขึ้นลงลง แต่ก็สบายตัวดีไม่มีเหงื่อออกเลย ในที่สุดก็มาถึงตัวโปสถ์ที่อยู่บนเนินเขาขนาดย่อม ที่งดงามจับใจมาก ในยามพระอาทิตย์อัสดง
มีทั้งตัวโบสถ์เอง ทั้งสุสาน และเก้าอี้นั่งชมวิว แต่เนื่องจากตอนไปถึงนั้น แสงกำลังจะหมด ทำให้เรายังไม่ได้เห็นภูเขาหินปูนเป็นสีส้มแดงเข้มแบบที่เราเห็นที่โบสถ์เซนต์จอห์น
บรรยากาศ เมื่อเราเดินไปถึง ตอนค่ำ
จึงตัดสินใจเดินกลับมายังที่พักก่อน กว่าจะถึงก็ราวสี่ทุ่ม มืดพอดี
เราเตรียมอาหารมื้อค่ำทานกันเองง่ายง่าย ด้วยข้าวสวยสำเร็จรูปที่เตรียมไปจากเมืองไทย แล้วก็ทำไข่เจียวหมูสับ ผัดผัก ซึ่งวัตถุดิบซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนที่จะเข้าที่พัก นอกจากนั้นยังมีแกงสำเร็จรูปอีกสองสามอย่าง ทานกันจนอิ่มแปล้
ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง แล้วเข้านอนชนิดมีความสุขใจเป็นอย่างยิ่ง
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่สอง เราเดินทางไปเที่ยวที่เมือง Ortisei มีโอกาสขึ้นเคเบิ้ลคาร์ด้วยจำนวนเที่ยวมากที่สุดในชีวิต คือในสองทิศทางเราขึ้นไปรวม 10 เที่ยวด้วยกัน โดยได้ซื้อบัตรแบบเหมาจ่ายรวมใบเดียว คุ้มค่ามากๆ
เคเบิลคาร์สีแดงสด
เคเบิ้ลคาร์ในแต่ละช่วง มีวิวที่สวยงามแตกต่างกันมากๆ คงจะได้มารีวิวแยกเป็นอีกทริปหนึ่ง
นอกจากนั้นยังได้มีโอกาสแวะทานอาหารกลางวันบนยอดเขาวิวพาโนรามา พร้อมกับชมวิวสุดอลังการของเทือกเขา Dolomite ที่สวยงามมาก ทำให้ภาพที่ปรากฏต่อสายตางดงามคุ้มค่า สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก
อาหารกลางวันบนยอดเขา ที่ Ortisei
เมื่อกลับมาถึงที่พักในช่วงบ่าย เราก็ลองพยายามขับรถไปจุดเช็คอินกันอีกครั้งแบบระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความผิดพลาดไปสู่จุดที่ห้ามเข้าของเมื่อวาน หวังว่าอาจจะฟลุ้ค ขับรถไปถึงบริเวณใกล้โบสถ์ได้สำเร็จ
ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย เรารู้สึกเหมือนว่าสามารถขับรถไปในเส้นทางที่แตกต่างจากเมื่อวานแล้ว แต่จุดจบแบบเดียวกันเลย คือเจอไม้กั้นอันเดิมเป๊ะ ห้ามเข้า เป็นอันว่าไม่ประสบความสำเร็จ
จึงขับรถกลับที่พัก ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก แล้วเดินเท้าไปตามเส้นทางที่ศึกษาไว้วันก่อนแล้ว
การเดินเท้าครั้งนี้ จึงคล่องแคล่วและสะดวกรวดเร็ว เพราะเรารู้จักเส้นทางเป็นอย่างดีแล้ว บางช่วงเราเลือกหลบไปสู่เส้นทางสายรอง แม้ระยะทางจะไกลเพิ่มขึ้นบ้าง แต่เส้นทางก็เดินสะดวกสบายมากขึ้น ไม่สูงชันจนเกินไป
St.Magdalena ณ จุดเช็คอิน
เมื่อมาถึงบริเวณโบสถ์ ก็พบว่ามีความสวยงามแตกต่างไปจากเมื่อวานที่เป็นยามพระอาทิตย์ตกดิน
เพราะในตอนนี้ แสงสีสดใสในช่วงบ่ายต่อเย็น ทำให้ภาพมีสีจัดจ้านและงดงามไปอีกแบบ
เราเดินเท้าต่อไปอีกนิดหนึ่งจากบริเวณตัวโบสถ์ เพื่อไปสู่จุดถ่ายภาพเช็กอินมหาชน ที่มองลงมาจะเห็นภาพเหมือนในโพสการ์ดหรือที่โพสกันในโซเชียลมีเดียคือ จะเห็นเทือกเขา Dolomite สูงเด่นเป็นสง่ายาวเหยียดและมีหลายยอด โดยมีตัวโบสถ์ที่โดดเด่นอยู่ต่ำลงมากว่าเทือกเขา แต่สูงกว่าทุ่งหญ้าเบื้องล่างเพราะอยู่บนเนินเขาขนาดย่อม
ได้มีโอกาสพบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยกลุ่มเล็กๆ ที่ได้แวะมาถ่ายรูป ทราบว่าหัวหน้าไกด์เป็นช่างภาพในตำนาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เคยทำนิตยสารถ่ายภาพมาก่อน
วันนี้เปลี่ยนมาทำทัวร์กลุ่มพิเศษเล็กๆ แบบ Exclusive กลุ่มละ 6-8 คน เพื่อให้ซึมซับบรรยากาศสวยงาม โดยไม่เน้นการช้อปปิ้งหรือเน้นเรื่องการทานอาหารเป็นสำคัญ
ทราบว่ากลุ่มจะต้องไปจอดรถแล้วเดินมาไกลพอสมควร
อาจารย์หัวหน้าไกด์ได้ถามเราว่า เราสองคนเดินทางมาอย่างไร จอดรถไว้ที่ไหน
พอเราตอบว่า เดินมาจากที่พัก
ทำให้อาจารย์มีใบหน้าที่งุนงงมาก จึงถามย้ำเราว่า เดินมาจากไหนนะครับ ?
เราจึงชี้ไปยังบ้านแสนสวยหลังโบสถ์ ที่พวกเรากำลังถ่ายภาพอยู่นั่นเอง
อาจารย์ทำหน้าประหลาดใจ และบอกว่าพักอยู่ใกล้ใกล้แค่นี้เองหรือ ?
เราบอกว่าใช่ครับ แค่นี้เอง พักที่บ้านดังกล่าวสองคืน ราคาคืนละ 5700 บาท แล้วยังสามารถเดินลัดเลาะมาตามเส้นทางแสนสวยของหมู่บ้านชนบทได้เลย
ท่านถึงกับอึ้ง ขอชื่อและข้อมูลที่จะสามารถติดต่อกับที่พักของเราไปในทันที
เทือกเขาหินปูนที่เปลี่ยนสี
เราถ่ายรูปไปเรื่อยเรื่อย จนสามารถเก็บภาพตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินตอนราวสองทุ่ม และอาจารย์ยังได้ช่วยถ่ายภาพที่สวยงามจำนวนสามภาพให้เราด้วย สวยประทับใจจริงๆ ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ภาพที่อาจารย์หัวหน้าไกด์ถ่ายให้
แล้วเราก็เดินกลับที่พักแบบอิ่มอกอิ่มใจ ผ่านเส้นทางเดินที่สวยงามเหมือนกับการเดินในหมู่บ้านโรแมนติกในฝัน เหมือนกับเดินในหมู่บ้านของหนังสือนิทานยังไงยังงั้น
กลับมานอนแบบสุขใจ สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
แล้วตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สาม ที่อากาศยังสดใส เป็นใจมากมาก
เตรียมอาหารเช้าเป็นมาม่าทรงเครื่อง ซึ่งมีทั้งไส้กรอก หมูสับ ไข่เจียว แนมด้วยผักสลัดและมะเขือเทศ
อาหารเช้า ปรุงเองแบบง่ายๆ
ตั้งใจจะแบ่งเป็นทั้งอาหารเช้า และเป็นอาหารกลางวันด้วย แต่สุดท้ายจบลงด้วย แบบไม่เหลือเป็นอาหารกลางวันครับ
หมู่บ้านแสนสวยในฝันของ Dolomite ตลอดสามวันสองคืน ที่มีการวางแผนมาอย่างดี ก็จบลงไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ตามแผนทุกประการ
ได้ภาพ ได้บรรยากาศ ได้ความรู้สึกครบเครื่องครบครัน สามารถจดจำได้ทุกจุด ทุกตำแหน่งที่เราใช้เวลาลงไปสัมผัส
หวังว่าคงจะได้กลับมาเยี่ยมอีกครั้งนะ Dolomite ที่แสนสวยของเรา ลาก่อน
หมายเหตุ : อ่านบทความสถานที่ท่องเที่ยว ที่อยู่ในทริปหอยทาก EP : ยุโรปโรแมนติกเพิ่มเติมได้ดังนี้
ปราสาทนอยชวานสไตน์
และสำหรับผู้ที่สนใจสถานที่พักในบทความนี้สามารถค้นหาด้วยคำว่า Magdalenablick Funes
หรือเข้าที่ https://www.magdalenablick.it/en/homepage-english/
โฆษณา