11 ส.ค. 2023 เวลา 06:34 • ไลฟ์สไตล์

#แม่เฮียง(#กิมไล้):แม่ผู้ประเสริฐของลูก

-----------------
#วันแม่แห่งชาติปีนี้(12 สค.66)เป็นวันครบรอบ 37 ปีที่แม่จากไป ถ้าแม่ยังอยู่ถึงตอนนี้ก็อายุ 103 ปีแล้ว จึงขอย้อนความทรงจำของผมที่มีต่อแม่ มาแลกเปลี่ยนกันครับ(ยาวหน่อย)
#แม่เฮียง ของเราเดิมชื่อ #กิมไล้ เป็นลูกของก๋ง(แม่เคยบอกชื่อก๋งแต่ผมจำไม่ได้) กับยายเชื่อม
ก๋งมีอาชีพทำทองคำ แม่เป็นลูกสาวคนเดียวของก๋งกับยายเชื่อม แม่เกิดได้ไม่นาน ก๋งก็เลิกกับยาย เรื่องนี้ผมไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นยายก็พาแม่ระเหเร่ร่อนไปอาศัยอยู่กับยายวุ้นน้องสาวของยายและตาปลั่ง(สามียายวุ้น) ตอนเรียนมัธยมผมเคยไปนอนบ้านยายวุ้นหลายครั้ง จำได้ว่าตาปลั่งทำกับข้าวอร่อย ทั้งยายวุ้นและตาปลั่งใจดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ท่านอยู่กันสองคนตายายและไม่มีลูก ทั้งสองท่านอายุยืนกว่ายายเชื่อม มาเสียชีวิตตอนผมเรียนวิทยาลัยครูแล้ว
ส่วนยายแท้ๆของผม มาอยู่กับยายวุ้นได้หลายปี ยายก็มีสามีใหม่ชื่อตาอิน เป็นคนเชื้อสายจีน และพาแม่ไปอยู่ด้วย ยายมีลูกชายกับตาอินคนหนึ่งชื่อน้าตี๋ พานทอง น้าตี่รักแม่มากเพราะเป็นพี่สาวคนเดียว เขาเรียกแม่ว่าเจ๊กิมไล้ตลอด ยายตายตอนไหนผมไม่มีข้อมูลชัดเจน พอแม่โตเป็นสาวจึงมาได้กับพ่อถนอม
 
ผมรู้สึกสงสารแม่จับใจ แม่ต้องประสบเคราะห์กรรม ต้องเร่ร่อนไปอยู่กับคนโน้นคนนี้มาตั้งแต่เด็ก
ส่วนก๋ง แม่เคยเล่าให้ฟังว่าท่านไม่ค่อยชอบลูกสาว(อาจไม่ชอบยายที่เป็นคนไทยด้วย) ยายกับแม่จึงเหมือนถูกทอดทิ้ง ก๋งไปมีครอบครัวใหม่เป็นคนจีนด้วยกัน เปิดร้านขายทอง มีลูกหลานหลายคน ดูแลกิจการสืบทอดกันมา ตอนแม่ยังอยู่ครอบครัวฝ่ายของก๋งยังไปมาหาสู่กันกับครอบครัวเรา แต่แม่ถือว่าตนยากจนและต่ำต้อยกว่าจึงไม่อยากไปสุงสิงกับเขาเท่าไหร่
ลึกๆแม่คงน้อยใจก๋งที่ทอดทิ้งแม่กับยายให้ตกระกำลำบาก แต่ก่อนก๋งจะตายเหมือนสำนึกผิด ได้สั่งให้ลูกหลานมาชวนแม่ไปทำทองด้วยกัน แต่แม่ก็ไม่สนใจเพราะตนไม่มีความรู้เรื่องทำทอง และเป็นชาวสวนชาวไร่ไปแล้ว
ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนเป็นเด็ก แม่เคยพาผมไปหาก๋งแต่ผมก็จำหน้าก๋งไม่ได้ แม่บอกว่าผมรูปร่างหน้าตาเหมือนก๋ง ตาชั้นเดียว ผอมสูงและหัวเข่าโปนคล้ายกัน แต่ครอบครัวเราไม่สนิทกับครอบครัวก๋ง ความสนิทสนมจริงๆมาอยู่ข้างญาติฝ่ายพ่อถนอมมากกว่า
เขียนถึงญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแม่แล้วดูซับซ้อนวกวน และผมก็ไม่มีข้อมูลมาเขียนเท่าไรด้วย ก็เขียนได้จากความทรงจำวัยเด็กที่แม่เล่าให้ฟังเท่านั้น จึงอาจหลงลืมเลอะเลือนไปบ้าง มาเขียนถึงความทรงจำที่มีต่อแม่เฮียงผู้ประเสริฐของลูกๆดีกว่า ผมเองใครๆก็ว่ารูปร่างหน้าตาเหมือนแม่ ที่ผอมกะหร่อง พี่น้องและชาวบ้านเรียกผมว่ากุ้งแห้งเยอรมัน พอมาเรียนหนังสือก็ถูกครูท่านหนึ่งเรียก"สตีปลีบ"ล้อเลียน "สตีปลีป" ชายงามนักกล้ามผู้โด่งดังสมัยนั้น ซึ่งแตกต่างจากพี่น้องคนอื่นๆที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ หน้าตาออกมาทางโทนพ่อกันทุกคน
แม่เป็นแม่ที่ประเสริฐของลูกๆจริงๆ แม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง อดทน ใจดี ขยันขันแข็ง ประหยัด อดออม รักครอบครัวที่สุด แม่มีลูกทั้งหมด 7 คนแต่ละคนอายุห่างกันแค่ 2-3 ปี สมัยนั้นยังไม่มีการคุมกำเนิด ครอบครัวไหนๆเขาก็มีลูกกันหลายคนทั้งนั้น เพื่อเอาไว้ใช้งาน การคลอดลูกสมัยนั้นก็ทำคลอดกันเองโดยหมอตำแย คลอดเสร็จก็ต้องอยู่ไฟให้มดลูกแห้ง
ผมจำการอยู่ไฟของแม่ตอนคลอดน้องคนเล็กได้ว่า แม่จะนอนบนแคร่ทำด้วยกระดานสองสามแผ่นเหนือระดับพื้นบ้านเล็กน้อย และมีกองไฟอยู่ข้างๆตัวใกล้กับบริเวณท้อง โดยพี่สาวคนโตจะคอยเตรียมที่นอนสำหรับการอยู่ไฟให้ และคอยดูแลไม่ให้กองไฟร้อนจนเกินไป ซึ่งจะต้องอยู่ไฟนานอย่างต่ำ 7-15 วัน จะไม่มีการออกมาจากเรือนอยู่ไฟเด็ดขาด
แต่แม่เล่าให้ฟังภายหลังว่าการคลอดแต่ละครั้งแม่อยู่ไฟไม่เกินสัปดาห์ เพราะต้องไปทำสวน เก็บของไปขาย คอยดูแลบ้านช่อง ให้นมลูกและอาหารการกินของทุกคนในบ้าน แม่ต้องทำอย่างนี้ถึง 7 รอบ น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มดลูกแม่ไม่สมบูรณ์และเสียชีวิีตในบั้นปลาย
พูดถึงเรื่องการทำสวน ซึ่งเป็นงานจุกจิกและละเอียดอ่อนที่ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา กว่าผลไม้แต่ละต้นจะเติบโต ผลิดอกออกผลให้บริโภคหรือจำหน่ายได้ พ่อกับแม่ต้องนำลูกๆดูแลทะนุถนอม คอยกำจัดวัชพืช รดน้ำ พรวนดินตลอดเวลา ยังดีที่สมัยนั้นไม่มีโรคพืชหรือแมลงรบกวนให้เราต้องฉีดยาเสี่ยงชีวิตทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภคเหมือนปัจจุบัน ปุ๋ยที่ใช้ก็แทบจะไม่ต้องคำนึงถึงเพราะดินเกิดจากการทับถมตามธรรมชาติ จึงอุดมสมูรณ์อยู่แล้ว อย่างดีก็แค่ใส่ปุ๋ยคอกเท่านั้น
งานหนักสำหรับการทำสวนของบ้านเราคือการกำจัดวัชพืช และการเก็บพืชผลไปขาย วัชพืชที่พวกเราต้องคอยกำจัดตลอดเวลามีมากมายหลายประเภท วิธีกำจัดวัชพืชนั้น แถวบ้านผมเขาเรียกว่า “การทำรุ่น” ก็คือ ใช้เสียมขุดที่ราก และใช้มือถอนวัชพืชให้หลุดออกมาทั้งรากทั้งโคนเรียกว่า ทำลายอย่างถอนรากถอนโคน ยิ่งกว่าฉีดยาฆ่าวัชพืชในปัจจุบันเชียวล่ะ
แต่ถึงกระนั้นเพียงเวลาไม่ถึงเดือนวัชพืชก็เจริญงอกงามเติบโตขึ้นมาอีก ทำลายเท่าไรก็ไม่มีวันหมด โดยเฉพาะหญ้าขนชนิดหนึ่ง ที่ชาวบ้านให้สมญานามว่า “หญ้าคอมมิวนิสต์” เป็นหญ้าที่แพร่พันธุ์รวดเร็วเหลือเกิน
หญ้าคาเป็นวัชพืชอีกชนิดหนึ่งที่ทำลายยาก เพราะมีรากและหน่อซอกซอนไปทั่ว ขนาดใช้จอบขุดที่เรียกว่า “ฟื้นดิน” ดึงรากออกมาทีละรากก็ยังกำจัดไม่หมด แต่หญ้าคาก็มีประโยชน์ใช้มุงหลังคาบ้านให้ร่มเย็น ดีกว่ามุงด้วยสังกะสี หรือกระเบื้องเสียอีก เข้าทำนองที่ว่า
“ในความชั่วย่อมมีความดีแฝงอยู่เสมอ” ซึ่งเป็นสัจธรรมที่ให้แง่คิดที่ลึกซึ้ง คนที่ช่วยพ่อแม่ทำงานตอนนั้นก็มีพี่หนาน พี่แดงและผมเท่านั้น ส่วนพี่วงษ์และพี่ติ่งก็ไปเรียนหนังสืออยู่ต่างจังหวัด น้องอีกสองคนก็ยังเล็กช่วยงานสวนยังไม่ได้ พ่อกับแม่จึงต้องนำทำงานสวนทุกอย่าง
ซึ่งที่จริงแม่จะเป็นคนนำพวกเราทำงานมากกว่าพ่อ เพราะพ่อมักมีธุระช่วยเหลือชาวบ้านที่มาหาให้ดูหมอดูบ้าง หรือเพื่อนๆมาเยี่ยมแล้วคุยกันเพลินจนลืมงานที่สวนไปบ่อยๆ ซึ่งพวกเราก็ชอบให้มีวันที่พ่อไม่อยู่ จะได้สบายไม่ต้องถูกเคี่ยวเข็ญให้ทำงานหนัก เพราะแม่เป็นคนใจดี พอพวกเราเริ่มงอแงว่าเหนื่อย หยุดเถอะ แม่ก็จะต่อรองให้ทำต่ออีกนิดแล้วในที่สุดก็ใจอ่อนให้เราหยุดพักได้ แต่ก็ขอให้ไปช่วยทำงานที่บ้านต่อ ซึ่งเราก็เต็มใจ
แม่จะตื่นนอนก่อนตีสี่ ทุกวัน ลุกมาจัดเตรียมจัดหาบผักผลไม้เพื่อเอาไปขายที่ตลาดในเมือง พอตีสี่ก็จะปลุกพวกเราที่เป็นเวรหาบของไปขายกับแม่ ซึ่งผมจะโดนเป็นประจำกว่าใคร เพราะเป็นเส้นทางเดียวกับที่จะไปโรงเรียน เสียงแม่ปลุกที่ผมฟังจนคุ้นหู
"ดาวประกายขึ้นแล้วไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันรถเที่ยวแรก”
แม่ตะโกนจากนอกชาน เตือนให้ผมรีบล้างหน้าแต่งตัว แม่จะอาศัยดาวประกายหรือดาวประกายพรึก เป็นเครื่องบอกเวลาในการหาบผักผลไม้ออกจากบ้านไปขายที่ตลาดในเมือง “ดาวประกายพรึก” ก็คือ “ดาวรุ่ง” หรือ “ดาวพระศุกร์” ที่มองเห็นได้ในเวลาตั้งแต่ตีสี่กว่า ๆ และเวลาหัวค่ำ
ผมแต่งชุดนักเรียนเตรียมกระเป๋าหนังสือและรองเท้า ถุงเท้าวางไว้บนหาบตะกร้าอย่างเร่งรีบ แล้วหาบของนำหน้าแม่ โดยถือตะเกียงรั้วคนละใบเดินลัดเลาะไปตามคันนาที่ลดเลี้ยวและขาดเป็นบางตอน เสี่ยงต่องูเงี้ยวเขี้ยวขอ จนถึงถนนใหญ่ระยะทางราวกิโลเมตรเศษเห็นจะได้ ทันรถโดยสารเที่ยวแรกที่จอดรอรับแม่ค้าในหมู่บ้านพอดี
เราก้าวขึ้นไปบนรถที่มีผักผลไม้เต็มหลังคารถ ช่องทางเดินขึ้นรถมีไม้คานวางเรียงราย รถโดยสารคันเก่าวิ่งโขยกจากถนนใหญ่มาถึงตัวเมืองก็ราว 10 กิโลเมตร ยังไม่ทันสว่างดี พ่อค้าแม่ค้าและผู้ซื้อจากที่ต่าง ๆ เต็มไปหมด แม่ต้องรีบหาที่วางของขายเอาเองเพราะเทศบาลไม่อนุญาตให้จองที่อย่างถาวร จะจองได้ก็เฉพาะในแผงลอยที่เทศบาลจัดสร้างขึ้นให้เช่าเท่านั้น ที่แม่ต้องรีบมาแต่เช้าก็ด้วยเหตุนี้ ถ้าวันไหนมาสายก็ต้องไปขออาศัยแทรกกับคนอื่นที่พอรู้จัก หากได้ทำเลไม่ดีก็ขายของไม่ค่อยได้
บ่อยครั้งที่ผมเห็นพ่อค้าแม่ค้าทะเลาะกันเพราะแย่งที่ขายของ บางทีถึงกับรำไม้คานเข้าฟาดฟันกันก็มี แต่แม่ผมไม่เคยมีเรื่องทำนองนี้สักครั้ง พอแม่ได้ที่ขายของแล้ว ผมก็ไปโรงเรียนต่อ
แม่ขายของเสร็จก็ซื้อของกินของใช้เลือกที่ราคาไม่แพงนัก หาบกลับบ้าน เงินที่เหลือก็เก็บหอมรอมริบ ประหยัดเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนลูกและใช้ในครัวเรือน ก็พอมีพอกินพอใช้ไม่ให้อดกันเท่านั้นไม่ได้ร่ำรวยอะไร คงเหมือนเกษตรกรทั่วๆไป
ชีวิตของแม่ก็วนเวียนอยู่เช่นนี้ ลำบากมาทั้งชีวิต ไม่เคยได้ไปเที่ยวเตร่ พักผ่อนหย่อนใจที่ไหนเลย ครั้งหนึ่งตอนผมได้มาเป็นครูใหม่ๆ โรงเรียนจัดทัศนศึกษาที่จังหวัดเพชรบุรี ผมขออนุญาตพาแม่ไปด้วย แม่ได้เห็นทะเลครั้งแรกที่หาดเจ้าสำราญ ดูแม่ตื่นเต้นมาก แม่หลุดปากออกมา ทำให้ผมสะท้อนใจมาจนทุกวันนี้
"สงสารพ่อเอ็งนะที่ตายเสียก่อนไม่ทันได้เห็นทะเล"
จึงเป็นข้อเตือนใจลูกหลานทั้งหลายว่า ถ้าอยากทำอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ก็ต้องรีบทำเสียแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
แม่จากพวกเราไปเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2529(ตรงกับวันแม่แห่งชาติ) อายุ 66 ปี ด้วยโรคมะเร็งในมดลูก
วันนี้ครบ 37 ปีพอดีที่แม่จากไป อยากบอกว่ารักและคิดถึงแม่มากที่สุดครับ
โฆษณา