13 ส.ค. 2023 เวลา 01:54 • ปรัชญา
เวลาเราพูด ว่าสิ่งนั่นศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ เบื้ยงหลังที่ว่า ศักดิ์สิทธิ์ นั้นคืออะไร เป็นมาอย่างไรกัน เรามีความสามารถ ที่จะไปดูในสิ่งที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นมาอย่างไร มันเกิดมาจากอะไรได้บ้าง หรือว่า เรามีแค่หูฟังมา จดจำมา แต่ก็ไม่รู้ว่า ที่จริงนั่นเป็นอย่างไร
เราไม่ได้ไปหลบหลู่ในสิ่งเหล่านี้ ที่เค้าก็มีคู่อยู่กับโลก มีให้ยึดถือให้หลงใหล จมอยู่กับโลก .ที่เค้ามีคำหนึ่งว่า โลกนั้นหลอกจิตของเรา ..ให้จมอยู่กับกรรม เรื่องที่จะให้บรรเทาเบาบางจากกรรม จากทุกข์ของจิต ..ให้พ้น ..ไปจนถึงว่า จิตหลุดพ้น..พ้นทุกข์ ..ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย ..ท่านบอกว่า ยึดสิ่งนั่นสิ่งนี้ มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ยึดแล้วทำอะไร ..ยึดแล้วก็ต้อแก่เจ็บตาย .ยึดไปทำไม..ยึดไปเพื่อมีกายวาจาใจ..ทำอะไร ..ดีชั่วเป็นอย่างไร ..ในอารมณ์ที่ปรุงแต่งในเรือนกาย
มีพระธุดงค์ ท่านเล่าให้ฟัง ว่าไปปักกลดใกล้ วัดร้าง ที่มีพระปฏิมากร อยู่ในโบสถ์ เหลือแต่กำแพงโบสถ์ ชาวบ้านก็มาบนบานศาลกล่าว แขวนพวงมาลัย เครื่องเซ่น ท่านก็ไปปักกลด ใกล้ ๆ กลางคืนท่านก็ปฏิบัตินั่งสมาธิ ก็ได้เห็นว่า สิ่งที่มาทำอยู่ บริเวณ นั่นก็เป็นพวกจิตท่่เร่ร่อน มาอยู่กันมากมาย เปรต อสุรกาย ..มารอกินคืนเซ่น
เหมือนคนไร้บ้าน ไม่มีที่อยู่ อดอยากหิวโหย มารอกิน ..จิตเร่ร่อนบางดวงก็ ก็ติดคนที่ไปบนบานศาลกล่าว บางคนที่เกิดโชคลาภอะไร นั่นมันก็เนื่องมาจากบุญที่ตนเองมีอยู่แล้ว พอไปทำตรงนี้ ไดลาภอะไรมาหรือสมหวัง ก็ยึดถือ คราวนี้ก็ล่ำลือกันไป ..คนก็หลั่งไหลเข้าไป จิตบางดวงเค้ารู้ ..มองเห็นคนที่เข้ามีบุญ เค้าก็สะกิดให้..มันก็มีโชคลาภ ..แต่ก็มีเรื่องนั่นเรื่องนี้ เช่นได้เงินทองมาก็จะ มีเรื่องราวที่ต้องเสียเงินทอง เรื่องราวร้อนๆเข้ามา บ้างก็ให้โชคได้ แต่เวลาเค้าทวงคืน มันแสนสาหัส บวกดอกเบี้ย เจ็บป่วยตายก็มี
เรื่องเจ้าพ่อ ..ท่านเล่าว่า ที่หนึ่งศาลเจ้าพ่อ ..เค้าว่า ศักดิ์สิทธิ์นัก วันหนึ่ง..คนบ้า..เข้าไปอาระวาด ..ทุบศาลพังพินาศ .เจ้าพ่อที่นั่น ก็เดือดร้อน ไปบอกคน..ให้ช่วยสร้างศาลใหม่ให้หน่อย คนบ้า..มันไปทุบที่ศาลเดือดร้อน ไม่มีที่จะอยู่
เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ..มีน้องไปไหว้พระ .ที่วัดต่างๆจังหวัด กลับมาแล้ว ..ครอบครัวก็มีเรื่องราวทะเลาะกันบ่อย ..เค้าก็เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนมาเล่าเรื่องว่าไปที่วัดนั่น แล้วได้พระบูชามาองค์หนึ่งพระท่านให้มา ..เราก็เลยบอกให้เอาไปคืนวัด ..เพราะบางที่คนเค้าถวายไว้ที่วัด เราไปเอาของเค้ามา แม้พระที่ยกมาให้ แต่ก็ผิดเจตนา คนที่เค้าถวายวัด ..ที่เค้าสาธุมา
เรื่องวัตถุมงคล ..ที่ว่า ศักดิ์สิทธิ์ บรรจุพลัง ..บริกรรม เวทมนต์ คาถาอาคม อะไรลงไป ..บางที ..มันเป็นเรื่องเดรัจฉานวิชชา ..อะไรที่มันเกาะติด ในวัตถุสิ่งของนั้น โลกนี้มันมีอะไรที่พิลึกกึกกือ ..มดก็เป็นจิต ปลวกก็เป็นจิต หมาหมูเป็นไก่ก็เป็นจิต เปรตอสุรกายก็เป็นจิต..เค้าว่า..กันว่า เดรัจฉานวิชานี้ มันดึงพลังพวกนี้ ให้ไปสงสถิตย์ในวัดถุ ให้ไปเกาะติดอยู่กับวัดถุนั้น แม้แต่ตะกรุดผ้ายันต์ต่างๆ
..มันดูเหมือนดี ตอนได้มาใหม่ๆ.จากนั่น..สนุกสนาน.วุ่นวายเรื่องนั้นเรื่องนี้ นานไป..อะไร..มันก็จะค่อยเสื่อม ไปเรื่อยๆ แม้แต่จิตใจยังเสื่อมถอย ความกักขฬะ อันธพาลบ้าง ความตระหนี่ก็จะเข้ามา สร้างบุญกุศลไม่ได้เลย ไปเจ้าวัดทำบุญไม่ได้ ไปกราบพระก็ไม่ได้ แต่ไปหาวัตถุ เจ้าพ่อเจ้าแม่ ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นไปได้..มันศักดิ์สิทธิ์จริง แม้แต่บุญกุศลของตัวเองก็ยังทำไม่ได้เลย ใส่บาตรพระก็ไม่ได้ แต่ว่าไปให้สิ่งที่เค้าว่าศักดิ์สิทธิ์.ที่เปรตอสุรกายอาศัย..นั่นทำได้สบายอกสบายใจ เหมือนอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงเสพของมึนเมา
มันมีเรื่องหนึ่ง..เรื่องของการสัมผัส ในคำพูดไม่กี่คำ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณทั้งหก ธาตุทั้งสี่ ที่ประกอบอยู่ ก่อตัวเป็นคำว่ารูปมนุษย์ รูปหญิงชาย มันมีรายละเอียด มองเข้าไปในตัวตนไม่เห็น ยิ่งไม่รู้เลยว่า ในกายนั่น ..รู้ข้างนอก เรืยนรู้ได้ แต่เรื่ิองที่จิตอาศัยกายนี้ .มันไม่เรียนรู้สิ่งที่ตนเองอาศัยในกายนี้ได้เลย ..ที่เค้าว่า รวมกัน อวิชชา อุปาทาน วิบากรรม ..มันเรียนรู้จักยาก ต้องอาศัยคำว่าบุญกุศลบารมี ..มาช่วยคลี่คลาย .เรียนรู้ในสิ่งที่จิตหลงใหลอยู่ในกาย ..
..มีคนเค้าว่า เราเอาเรื่องโกหกมาเขียน ….อย่าหลงเชื่อ เพราะเป็นเรื่องโกหก ..มันมองไม่เห็น ..จะให้ดี..ก็ปฏิบัติเรียนรู้เอง ว่าจริงเท็จ ไอ้ที่ว่า ศักดิ์สิทธิ์ๆ มันเป็นยังไง..จะได้ไม่หลงใหลเรื่องโกหก ..ให้มันรู้จักว่า ที่โบราณว่า เดรัจฉานวิชา ..มันเป็นยังไง ..พระท่านบอกทำให้มันรู้ซะ .ว่าเป็นยังไง .แล้วการเรียนรู้..มันก็มีการเจ็บปวดเจ็บเนื้อเจ็บตัวบ้าง ..เหมือนเรื่องเข้าถ้ำเสือ มันก็ต้องมีเจ็บกันบ้างละน่ะ น่าเรียนรู้. เราไม่ได้ไปท้าทาย ..เราเรียนรู้ว่า สิ่งเหล่านี้ แท้จริงมีความเป็นมาอย่างไร .
สิ่งที่ว่าว่าดีๆ นั่นก็มี เหมือนเรื่องราว จิตวิญญาณที่ดีๆก็มี จิตวิญญาณที่ร้ายๆ ก็มี มันก็มีอยู่ในโลกวิญญาณ คนบ้านป่า เค้าก็เลยต้องมีการเซ่นไหว้กัน ยิ่งตายแบบหฤโหด เค้าว่าดีนัก เฮี้ยน บางที่ก็ชอบ ยกย่องตั้งศาลเป็นให้เป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ ..แต่แพ้ทางคนบ้า ..เค้าว่าอย่างนั้น..แพ้ทางมดปลวก ไปเกาะกินศาลให้ผุพัง กันมดกันปลวกไม่ได้เลย
บางที่มีจอมปลวก คนก็แห่ไปขอห่วย ..มีผ้ามาล้อม สีเขียวสีแดง ..ไม่นานก็มีร่มใหญ่ไปกาง ก็มีคนไปยกมือกราบขอโชคลาก ยกมือขอขูดเลข .เป็นร้อยๆคน มันก็ต้องมีสักคน ..ถูกห่วยบ้างล่ะนะ .. นานไปจอมปลวก ถูกลมฟ้าลมฝน ก็ละลายไป..ไม่มีคนไปยกมือขออีก
..รอเจอะเจอจอมปลวกใหม่ๆ รูปร่าง..ทรวดทรงดี .ค่อยเริ่มกันใหม่ .ความศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นมาใหม่อีกแล้ว..จะมีเครื่องเซ่นเครื่องสังเวย มาอีกแล้ว ..ไปเรียกร้อง โอปปาติกะ เร่ร่อน เปรตอสุรกาย มารวมตัวกันอีกแล้ว บายศรี..ก็จะมีมา ร่มก็จะมากางกันใหม่ พวงมาลัย ผ้าสี..น้ำหวานน้ำแดง ..มันไหลมาเอง ในบริเวณ นั้น ..ศักดิ์สิทธิ์จริงหนอ..
บางบ้าน ก็แปลก ทำห้องพระเสียใหญ่ มีอะไรที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ ของดี ..เก็บในห้องพระ .แต่กลับเข้าไปกราบไหว้พระ ที่มีวัตถุต่างๆ มากมาย แต่กลับปิดประตู ลงกลอน เข้าไปกราบพระในห้องพระ ก็ทำไม่ได้เลย ..ศักดิ์สิทธิ์จริงๆๆเลย บางทีก็เค้าไปกราบพระหน่อยหนึ่ง จากนั้น ก็ท่องคาถาอาคม เป็นชั่วโมงๆ
ใครบอกว่า ไม่ต้องท่องหรอก เอาแค่เอากายพ่อแม่ ท่องสองคำพอ พุทโธ สองคำพอแล้ว ..แค่สองคำนี้พอล่ะ เค้าจะทำได้มั้ยหนอ..เราว่าเค้าทำไม่ได้หรอก .ที่เค้าว่า ให้ปล่อยวางๆ ไม่ต้องไปคิดนึกอะไร .มันทำไม่ได้ .เพราะความโลภในทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง โลกธรรม..มันค้ำคออยู่ ..ต้องหาตัวช่วย เอาไอ้สิ่งที่เรียกว่า คาถาอาคมเอามาท่อง จะได้บันดาลให้ แล้วก็บอกว่า นี่ฉันปฏิบัติธรรมทุกวันเลย แต่หารู้ไม่ว่าไปเรียกสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเข้ามา คนในบ้านก็จะไม่ค่อยปกติ เจ็บป่วย แบบหาสาเหตุไม่ได้ ..ศักดิ์สิทธิ์จนหาสาเหตุไม่ได้เลย
ลองไปสังเกตดูก็ได้ ว่าจริงมั้ย ไปวัดไหน ที่เอารูปเกจิ เอาไปตั้งหน้าพระพุทธ ..สังเกตดู .
คนในวัด จะทะเลาะกัน ..ไม่ลงรอยกันหรอก แม้แต่ในที่ทำงาน .เอาไอ้นั่นไอ้นี้ มาเป็นตัวช่วย ..ผ้ายันต์ ตุ๊กตา บางโต๊ะติดเสียมากมาย..แล้วดูสิมันมีเรื่องราววุ่นวาย มีความสุขกันมั้ย ..เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ก็เป็นเรื่อง อิจฉาตาร้อน แก่งแย่ง พวกนั่นพวกนี้ ติฉินนินทาง เหมือนเป็ดไก่ ชอบไซ้คุ้ยเขี่ยหาอาหาร ..ของพวกนี้มันศักดิ์สิทธิ์จริงเชียวน่ะ ..ยิ่งหัวหน้าชอบของพรรค์นี้ ..โอ้ย..สนุก..น่าสงสารลูกน้องจังเลย
พอมีเรื่องราว..ที่วุ่นวาย หาสาเหตุไม่ได้ ..คราวนี้ ก็ไปปรึกษา ปุโรหิต..มาแก่มาทำพิธี หมอดู แก้ไอ้นั่นไอ้นี้ ….สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของศักดิ์สิทธิ์ ก็จะมีปรากฏขึ้นในสถานที่นั้นเอง ..ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่ ..เค้าว่ากันอย่างนั้น
เราไม่ได้ไปหลบหลู่ แต่เราก็ต้องรู้จักว่า เบื้องหลังที่ว่า ศักดิ์สิทธิ์ มันมาจากเรื่องราวอะไรกัน ..เราก็มีสติปัญญา พ่อแม่ให้เรามานี่น่า ..มีพระท่านบอกเรามาบ่อยๆ ให้ตะโกนบอกตัวเองดังๆ..”ข้าพเจ้า..ไม่ใช่คนโง่” ..เราก็ใคร่ครวญพิจารณาอะไรเป็นอะไรได้ ไม่ใช่ใครบอกว่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วเออออ ..เชื่อไปตามเค้า..
ในแต่ละสถานที่ เรื่องเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา ในเรื่องราวของมิติที่เป็นนามธรรม เราก็ต้องรู้จักทำให้มันถูกวิธี ..เรื่องหนึ่งที่เค้าต้องการคือเรื่องราวขิงบุญกุศล เพราเค้าไม่มีโอกายได้กระทำ เหมือนผู้ที่มีกายเป็นมนุษย์ ที่สร้างบุญกุศลบารมีได้
..บางทีไปเห็นเค้าทำพิธีกรรม ท่องบ่น ..อ่านโองการ อะไร ..ต่างๆนั้น เป็นเรื่องราว ของการเช่นไหว้ จืตที่ไม่ดีไม่งาม หิวโหย ก็จะไหลไปสู่สถานที่นั้น เหมือนคนเร่ร่อน ที่รู้ว่าตรงนี้เค้าจะให้ทาน เค้าก็จะไปรอกันมาก กินไก่ต้มหัวหมูอะไรต่างๆ แม้แต่คนเราเองยังไม่ยากจะกิน . เรื่ิองโลกวิญญาณที่อยู่ใกล้เรา เค้าต้องการบุญกุศล ดับความหิวกระหาย เราก็ทำบุญทำทาน ให้เค้าไป ..เค้าจะได้ไม่หิวโหย ทำให้มันถูก ไม่เป็นเรื่องราวเดรัจฉานวิชา
แล้วเค้าก็ต้องการบุญกุศลที่บริสุทธิ์ อุทิศให้เค้าจริงๆ ไม่ใช่ทำไปเพื่อเรียกร้องหาเวรกรรม ให้ร่ำรวยยศฐานบรรดาศักดิ์ เหมือนทำบุญอุทิศให้เค้า จบลงด้วยว่า ..ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวย หายเจ็บหายป่วย เค้าว่าบุญกำลังลอยไป จะถึงมือเค้าแล้ว เราก็ไปดึงกลับมา ..ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวร เค้าก็ว่า ให้ไม่จริง ใช้หนี้ไม่จริง ..จะกลับโมโหโกรธ
ไหนบอกว่าจะให้ ยิ่งหิวๆ เอาของมาล่อ ..ให้หิว ..แล้วดึงกลับไปกินเอง ..มันน่าโมโห มั้ยล่ะ..แล้วเรื่องนี้ มันก็บ่งบอกความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว ..จริงมั้ยล่ะ..แม้แต่บุญ ก็เผื่อแผ่ไปให้ใครไม่ได้เลย แล้วก็ยังพูดว่า ฉันทำบุญอุทิศกุศล .(เรื่องราวที่เล่ามานี้ ..เจ้าที่สถานที่หนึ่งท่าน ..บอกมา..อย่าเชื่อ เพราะมันเหมือนเรื่องนิทานโกหก)
แล้วสิ่งหนึ่งท่านว่า คนที่อ่านตำรับตำรารู้มาก มักจะสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญทำทานไม่ได้ เพราะเค้ายึดว่ารู้แล้วๆ ดีแล้ว เก่งแล้ว ..รู้มากกว่าพระเสียอีกที่ครองกาสาวพัสตร์ ..เค้าก็เลยนอบน้อมไม่เป็น ก็มันรู้ตามตำราเสียหมดแล้ว ..จะไปรู้อะไรอีกได้ จริงมั้ย
แล้วหากเป็นเรื่องราว ของเทพ ..ท่านมีหูทิพย์ตาทิพย์ มองเห็นการกระทำ ของมนุษย์ มองเห็นแสงสี มองเห็นกิริยามนุษย์ เห็นทั้งเรื่องราวต่างๆ เดรัจฉานวิชา เห็นว่าสิ่งที่กระทำที่มนุษย์กระทำ มนุษย์เรียกร้องอะไร นิสัยมนุษย์เป็นอย่างไร ท่านมองเห็น เห็นการกระทำได้
..มีแต่ผู้ที่เป็นกายมนุษย์ ครบอาการสามสิบสอง พรั่งพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ จึงสามารถสร้างบุญกุศลได้ กายพิกลพิการ..จะมาสวดมนต์ มาทำจิตใจ มาเดินลดละอารมณ์ ขันติต่ออารมณ์ ทุกขเวทนาอารมณ์ มันทำไม่ได้หรอก ผู้ที่ใช้กายมนุษย์มากระทำได้ ..หูทิพย์ตาทิพย์ เค้าจึงอนุโมทนา
..เมื่อเห็นว่า มนุษย์เค้าต้องการกรรม ต้องการอยู่กับกรรม ท่านก็ไม่อนุโมทนา ไม่ไปเกี่ยวข้องอะไรด้วย ไม่ไปส่งเสริมอะไรทั้งนั้น ก็เหมือนคนเราที่เราเห็นคนไม่ดีคิดอะไรไม่ดี .เป็นอันธพาลเกเร .แต่เรียกร้องให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ช่วย คนดีๆใครเค้าจะช่วยเหลือ เกื้อกูล เห็นอกเห็นใจ บ้างก็เอ่ยอ้าง แอบอ้างกันไป
แม้แต่เปรตอสุรกาย ก็ยังไม่รู้จักเทพเลย ไม่สามารถมองเห็นจิตที่อยู่สูงๆนั้นได่ มันคนละมิติกันเลย มันจึงมีเรื่องราว..แอบอ้าง ร่างทรง.ญาณทิพย์ ญาณผีพรายกระซิบ ญาณผีสัมผัสผี จิตสัมผัสมากมาย ..แต่ทำบุญทำทาน ปฏิบัติธรรมสวดมนต์ ภาวนาพุทโธ น้อมนำจิตไปหาพระไม่ได้เลย จะภาวนาแค่สองคำนี้ ก็เร่าร้อน รุมร้อม ..หงุดหงิด กระสับกระส่าย เหมือนถูกไฟเผา ..ต้องท่องคาถา ..เอาคาถาเดรัจฉานวิชามาช่วย ถึงจะสงบ ..เพราะเป็นพวกเดียวกัน
แล้วเรื่องพวกนี้ ..เมื่อไปยึดถือ ..มันก็จะปิดบังจิต บ้างซึมเศร้า หลับนอนไม่เป็นสุข ตื่นดึกดื่น ตีสองตีสาม นอนหลับไม่สนิท นานเข้า ทั้งกายทั้งจิตก็อ่อนล้า..สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บ้างให้กลายเป็นมิคลักขะ ไม่รู้จักว่าดีชั่วอะไรเลย ไปจนถึง เรื่องราวที่เราได้พบเห็น คนห้อยตะกรุด เครื่องรางของขลัง เต็มคอย ..น่าจะหลายกิโล
..ห้อยของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ตะกรุด เหรียญออกมากมายขนาดนั้น มีของศักดิ์สิทธิ์ห้อยเต็มของ ทำไมเดินเร่ร่อน กระเซอะกระเซิง ผมเผ้ารุงรัง บางหากินเก็บขิงตามกองขยะ..ทำไมมีกายเป็นมนุษย์ ..ไปมีสภาพเยี่ยงนั้น ทั้งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เต็มคอ มันต้องมีเรื่องราวที่ผิดปกติ..จึงเกิดวิปริต ผิดปกติ การรับรู้ที่ผิดปกติเกิดขึ้น ที่มิใช่นิสัยมนุษย์ ที่ควรกระทำ..แล้วมันก็อ่านตัวเองไม่ออกเสียด้วย เหมือน พระธุองค์ สะพายบาตร แบกกลด ถือกาน้ำ เดินไป
..ท่านเล่าให้ฟังว่า ไปเจอชายเดินมา ..เค้าก็กระโกนเสียงดัง ..ว่า ไอ้บ้ามาแล้ว ..ท่านก็เล่าให้ฟังว่า ..เอ..ใครมันบ้ากันแน่น่ะเนี่ย ..เค้าหรือเรา....
..มีเรื่องราวธุดงค์ ..เค้าก็เอามาทำแปลก ..ธุดงค์..เข้าเมือง มีรถราโปรยดอกไม้ริมทาง ให้นักบวช..เดินเหยียบย่ำ ไปบนดอกไม้ที่โปรยไปริมทาง ..ดูสวยงาม ..น่าถ่ายภาพ ..ในโลกธรรม ..ยกย่องสรรเสริญ บ้างก็ธุดงค์…มีคนติดตาม..เก็บข้าวของที่คนอยากได้บุญ เก็บขึ้นรถรา ..ว่าเป็นผู้มีบุญาธิการ มาโปรด ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แค่ไม้เท้าเคาะ ก็เป็นบุญแล้ว ..ร่ำรวยๆ เฮง ..เห็นแล้วก็อดตั้งคำถาม ..ไม่ได้ …ใคน่ะที่ทำลายเรื่องราวดีๆ เค้าสอนให้ลดละ ..ให้พอละ ..จิตจะได้เป็นพระ
..แต่นี้ไปทำตรงกันข้าม ..ให้กรรมมันหนัก เพิ่มขึ้น ..เค้าก็เลย เรียกว่า เดินหากรรม หาทรัพย์สินเงินทอง ..ว่าจริงมั้ย
แล้วคนรุ่นที่เค้าเกิดมา เค้าไม่ได้เรียนรู้ เรื่องราวศาสนา..ไม่มีใครบอกกล่าว ไม่ใครแนะนำ .. ..เค้าไปเห็นแบบนี้ เหมือนคนที่อยู่ต่างถิ่น มาเจอะเจอแบบนี้ เค้าย่อมมีทิฐิ ..ว่า ทำไมทำแบบนี้ ..มันเรื่องราวอะไรกัน ..ทำไมคนถึงเชื่อแบบนั้น มันจะเป็นคำถาม ..แล้วเค้าก็มีสติปัญญาเหตุผลของเค้า ..ดูว่า ..งมงาย .. บ้างว่า ไม่เชื่ิอย่าลบหลู่ มันวนๆเวียนๆกัน ไม่รู้ความจริง ความเป็นมาอย่างไร ..ที่สุดแล้ว ก็เกิดคำว่า ..ศักดิ์สิทธิ์ ..ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ..
โฆษณา