13 ส.ค. 2023 เวลา 07:00 • กีฬา

The Social One (Part 2) คลอปป์ผู้จัดการทีมที่เหมาะสมกับหงส์แดงที่สุด

ในโพสต์นี้เราจะสานต่อเรื่องราวภายในสนาม วิธีการจัดการทีมและบุคคลที่มีความสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทีม จากทีมที่เคยเป็นเพียงแค่ทีมลุ้น Top 4 มาถึงวันที่พวกเขาลุ้น 4 แชมป์ในทุกๆรายการที่ลงเล่น
1. Never Give Up Mentality - บ่อยครั้งที่เรามักจะเห็นลิเวอร์พูลพลิกกลับมาชนะคู่แข่งทั้งๆที่ตามหลังอยู่ ชัยชนะราวปาฏิหาริย์ 4-0 ที่แอนฟิลด์เหนือบาร์เซโลนาคือเครื่องการันตีอย่างดี JK จะฝังความรู้สึกของการไม่ยอมแพ้ การต้องไล่ตาม การต้องมุ่งมั่นเอาประตู ผ่านการฝึกซ้อมอยู่เสมอ
หนึ่งในรูปแบบการซ้อมที่ JK ใช้คือ แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ทีม ทีมรุก กับ ทีมรับ โดยทีมรับจะมีผู้เล่น 11 คนตามปกติ แต่ทีมรุกจะมีผู้เล่นเพียง 9 คนเท่านั้น แถมสกอร์ยังตามหลังทีมรับอยู่ 3-1 ทีมรุกจะต้องไล่ตามยิงประตูคืนให้ได้ 3-3 หรือ 4-3 สร้างสมความกระหายที่จะเอาชนะและจิตวิญญาณของการไม่ยอมแพ้อยู่ทุกวันๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นนักเตะลิเวอร์พูลไม่ยอมแพ้แม้จะตามหลังคู่แข่งเท่าไหร่ก็ตาม

จนมันมาผลิดอกออกผลที่ฤดูกาล 2019/20
ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีคโดยนำอันดับ 2 อย่างแมนซิตี้ถึง 18 คะแนน แต่ที่น่าสนใจคือ มี 19 คะแนนที่ลิเวอร์เก็บได้จากการยิงประตูในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม ส่วนหนึ่งมาจากการฝึกซ้อมและจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางลบฝันร้ายตลอด 30 ปีนี้ไปได้
2. สร้างดาวดวงใหม่อยู่ตลอดเวลา - อย่างที่ทุกคนเห็นกัน กว่าลิเวอร์พูลจะซื้อนักเตะได้คนนึง ต้องงกแล้วงกอีก ไม่ค่อยสู้ราคาสักเท่าไหร่ นั่นเป็นเพราะแนวทางการทำทีมของหงส์แดงตั้งแต่ไหนแต่ไร จะไม่ใช้เงินซื้อความสำเร็จ เน้นซื้อนักเตะที่สามารถใช้งานได้ในระยะยาวและสร้างรากฐานให้กับทีมต่อยอดไปได้อีกในอนาคต สิ่งเหล่านี้มันยิ่งชัดมากขึ้นในยุคของ JK
ลิเวอร์พูลเน้นซื้อนักเตะในระดับเกรด B, B+ อายุ 23-26 ปีที่สามารถเข้ามายกระดับทีมได้ระดับนึง แต่ตัวนักเตะเองก็มีช่องว่างให้พัฒนาต่อไปได้อีก มาเน่, ซาลาห์, ฟาน ไดค์, อาลิซอน, โชต้า, โรเบิตสัน, ฟาบิญโญ่, มินามิโนะ และอย่างที่ทุกคนรู้กัน นักเตะเหล่านี้เป็นชิ้นส่วนสำคัญในความสำเร็จของลิเวอร์พูลในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
ไม่เพียงแค่นักเตะต่างชาติที่ทีมนำเข้ามา แต่ยังผลักดันเด็กรุ่นใหม่ๆ ให้ได้แจ้งเกิดบนพรีเมียร์ลีคและเวทียุโรป อย่างเทรนท์ที่กลายเป็นหนึ่งในแบ็คขวาที่ดีที่สุดในโลก ฮาร์วี่ เอลเลียตและเคอติส โจนส์ ซึ่งนานมากแล้วนับตั้งแต่เจอร์ราด ที่เราไม่มีเด็กท้องถื่นของลิเวอร์พูลเองก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงให้กับทีมชุดใหญ่ JK ช่วยสร้างความฝันและความหวังให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆในเมืองลิเวอร์พูล ให้มีความเชื่อในการก้าวไปสู่เวทีระดับโลกได้
หลายๆคนอาจจะไม่รู้ว่าการซื้อขายนักเตะลิเวอร์พูลนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะรวมแล้วเงินที่ลิเวอร์พูลใช้ไปจนสามารถคว้าแชมป์ลีคบวกซื้อเข้าลบขายออกแล้ว ใช้ไปเพียงแค่ 75 ล้านปอนด์เท่านั้น ในขณะที่ทีมอื่นๆนั้น ไม่พูดดีกว่า 🤭
3. ทีมงานทุกคนสำคัญเท่ากันหมด เคารพพวกเขา เหมือนที่เคารพผม - วันแรกที่ JK มาถึงสนาม ก็เหมือนโค้ชทุกคนที่เรียกนักเตะมารวมกันเพื่อแนะนำตัวเองและทีมงาน แต่ต่างกันที่ผู้ฟัง JK ไม่ได้เรียกแค่นักเตะภายในทีมเท่านั้น แต่เขาเชิญทุกๆคนที่เกี่ยวกับสโมสรมาร่วมรับฟังด้วย คนเปิดประตู คนสวน แม่ครัว ภารโรง ช่างซ่อม คนตัดหญ้า ฯลฯ และให้ทุกๆคนแนะนำตัวพร้อมเสียงปรบมือทุกครั้ง
หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อย JK กล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกคนในที่นี้ล้วนสำคัญไม่แพ้ตัวผมเอง ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตน เพื่อให้คนอื่นๆสามารถโฟกัสกับหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ 100% เช่นกัน ดังนั้น เคารพพวกเขา ให้เกียรติพวกเขาเหมือนที่เคารพและให้เกียรติในตัวผม ...เราคงจินตนาการบรรยากาศไม่ออกเลย ว่ามันจะเต็มไปด้วยพลังขนาดไหนกัน
4. LFC (Long, Fast, Clever) - ลูกทุ่ม เป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนของลิเวอร์พูลในช่วงสมัยที่รอดเจอร์สเป็นผู้จัดการทีมก่อนที่ JK จะเข้ามารับช่วงต่อ ทั้งตอนที่ทีมเป็นฝ่ายรุกและเป็นฝ่ายรับ ลิเวอร์พูลมักจะเสียประโยชน์จากลูกทุ่มอยู่เสมอ สถิติการดวลชนะลูกทุ่มของหงส์แดงอยู่เพียงแค่ 45% รองบ๊วยในพรีเมียร์ลีค
จนวันนึงที่ JK ได้จ้างโค้ชลูกทุ่มเข้ามาในทีม สื่อก็เอาไปตีข่าวกันอย่างสนุกปากว่า มีอาชีพนี้บนโลกด้วยหรอ แต่แล้วตัวโค้ชก็ตบหน้าพวกเขาด้วยผลงานอย่างผิดหูผิดตาด้วยปรัชญา LFC (Long, Fast, Clever) จากอัตราการดวลชนะลูกทุ่ม 45% ก้าวกระโดดมาเป็น 68% เป็นอันดับสองในยุโรปและที่สำคัญในฤดูกาล 2019/20 ที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีค มีถึง 13 ประตูที่เริ่มต้นมาจากการทุ่ม
5. กองทัพต้องเดินด้วยท้อง - โค้ชโภชนาการของลิเวอร์พูล Mona Nemmer เธอเคยทำงานอยู่ที่บาเยิร์น มิวนิคมาก่อน หลายคงคงทราบกันดีว่า JK เคยคุมดอร์ทมุนมาก่อน จึงทำให้เขาเป็นศัตรูโดยธรรมชาติกับบาเยิร์น มิวนิค การดึงตัวนักโภชนาการของบาเยิร์นมา จึงเปรียบได้กับการแก้แค้นอย่างนึง
อย่างไรก็ดี นอกจากได้แก้แค้นแล้ว ยังได้เพชรเม็ดงามมาช่วยสนับสนุนทีมได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย Nemmer ใช้เวลาและแรงกาย แรงใจ ทุ่มเทให้กับงาน ดูแลนักเตะทุกคนอย่างดี เธอเป็นคนละเอียดมาก แทบทุกวันนักเตะจะได้รับประทานอาหารที่ไม่เหมือนกัน เพราะเธอต้องคำนึงถึงปัจจัยทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น ตำแหน่งที่เล่น รูปร่างสรีระ ถิ่นกำเนิด สภาพอากาศ นิสัยใจคอ และอีกหลายๆปัจจัยที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับเรื่องอาหารแต่เธอก็ใส่ใจอยู่เสมอ
Mona Nemmer และทีมงาน
เธอยังช่วยสอนการทำอาหารให้กับนักเตะและภรรยาของนักเตะ ในเมนูอาหารง่ายๆ แต่มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกาย เพื่อให้นักเตะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ฟิตพร้อมที่จะลงสนามอยู่ตลอดเวลา แม้จะอยู่ช่วงวันหยุดก็ตาม

เธอใส่ใจถึงขนาดทำอาหารให้กับไปทานที่บ้านสำหรับนักเตะที่ไม่ชอบทำอาหารเองอีกด้วย
แต่แล้วเหคุการณ์โควิด 19 ก็กลายเป็นบททดสอบสำคัญของเธอ เพราะทุกคนถูก Lock Down ไม่ให้ออกจากบ้าน เธอเลยสร้างแพลตฟอร์ม ให้นักเตะทุกคนเข้ามาคอยอัพเดทวัตถุดิบภายในบ้านว่า มีครบถ้วนสำหรับทำอาหารที่ดีต่อร่างกายหรือไม่ ถ้าบ้านไหนมีไม่เพียงพอเธอจะจัดการส่งวัตถุดิบไปให้ถึงหน้าบ้านเพื่อการันตีความแข็งแรงของนักเตะอยู่เสมอ
จน JK เอ่ยปากชมเลยว่า การจัดการเรื่องขนส่งวัตถุดิบของเธอนั้น เก่งกว่าอเมซอนด้วยซ้ำไป

 ด้วยการจัดการที่ดีมาก บวกกับความรู้ทางด้านอาหารของเธอ เธอจึงเป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่ทำให้นักเตะของลิเวอร์พูลพร้อมที่จะลงแข่งและสามารถทำผลงานได้ดีอยู่ตลอดเวลา จนคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีค ได้ในปี 2019/20
6. ยิงจุดโทษ18 ลูกยังไง ให้พลาดแค่ 1 - หลายคนคงจำภาพที่นักเตะลิเวอร์พูลใส่หมวกแปลกๆที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางได้ แต่มาวันนี้เราเข้าใจแล้วว่า นั่นเป็นการทดสอบสารสื่อประสาทในสมองนักเตะ เพื่อค้นหาช่วงเวลาที่นักเตะมีสมาธิและความแม่นยำมากที่สุด จากนั้นจึงให้นักเตะฝึกซ้อมให้เกิดช่วงเวลาดังกล่าวอยู่เสมอๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นลูกนิ่ง ฟรีคิก เตะมุม และที่สำคัญที่สุด การยิงจุดโทษ
ภาพการ Training กับ ทีมงาน Neuro11
ในฤดูกาล 2021/22 ที่ทีมต้องล่า 4 แชมป์ 2 แชมป์ที่ได้มาต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษ และทั้ง 18 จุดโทษ เข้า 17 ครั้ง พลาดแค่ครั้งเดียวโดยซาดิโอ มาเน่ เป็นคนยิงพลาดในนัดชิงคาราบาว คัพ สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ รายชื่อนักเตะที่ลงไปสังหารจุดโทษนั้นถูกส่งถึงมือ JK จากผลการวิเคราะห์ของบริษัท Neuro11 นี่แหละครับ และที่มาเน่ยิงไม่เข้าก็เพราะ JK เป็นคนบอกให้มาเน่เปลี่ยนมุมยิง จนโดนเซฟได้ 

ดังนั้นจึงแทบจะพูดได้เต็มปากเลยว่า บริษัท Neuro11 เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ
7. JK Statue and his tombstone - JK บอกเสมอว่า เขาเป็นเพียง “The Normal One” เป็นเพียงคนธรรมดาเดินดินที่มีความรู้เรื่องฟุตบอลมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย แม้สิ่งที่เขาทำให้กับสโมสรแห่งนี้ จะยิ่งใหญ่และลบฝันร้ายของ The Kop ตลอด 30 ปีไปได้ เขาก็ยังยืนยันคำเดิม เขาเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ได้วิเศษมากกว่าคนอื่น เพราะถ้าเขาขาดใครคนใดคนหนึ่งไปจากทีมทีมนี้ เขาจะไม่สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้เลย ทุกๆคนล้วนสำคัญกับความสำเร็จที่ลิเวอร์พูลไขว่คว้ามาได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะมีรูปปั้นอยู่หน้าสนามของลิเวอร์พูลมาโดยตลอด
“ผมขอเพียงแค่ “He was a Good Guy” บนป้ายหลุมฝังศพของผมก็เพียงพอแล้ว”
และนี่คือเรื่องราวตลอดการคุมทีมของ JK 2015-2022 ความรู้ทางด้านฟุตบอลอย่างเดียวคงไม่เพียงพอที่จะพาเขามาถึงจุดนี้ได้ เขาได้หลอมรวมตัวเองเข้ากับเมืองลิเวอร์พูล เชื่อมต่อนักเตะ ทีมงาน ผู้คน เมือง ศีลธรรมจริยธรรม เศรษฐกิจและการเมือง เป็นเนื้อเดียวกัน
แม้จะดูแปลกแยกจากสโมสรและทีมอื่นๆ แต่สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นตัวตนของเมืองลิเวอร์พูลมาโดยตลอด ไม่เคยนับหน้าถือตาใครเป็นพิเศษ ทุกคนล้วนเท่ากันหมด คนที่ยิงได้ 4 ประตูกับคนที่ยิงประตูไม่ได้เลย ก็ล้วนเป็นลูกทีมของเขาเหมือนกัน ทุกคนช่วยกันจนทำให้ทีมมีผลงานที่ดีออกมาได้ ไม่ใช่ผลงานเพียงคนใดคนหนึ่ง
“เมื่อทีมประสบความสำเร็จ นั่นคือผลงานของลูกทีมทุกคน แต่วันใดที่เกิดความผิดพลาดและล้มเหลว นั่นคือความผิดของผม” - Jurgen Klopp
Jurgen Klopp ขอคำอธิบายจากผู้ตัดสิน
ฤดูกาลใหม่ 2023/24 กำลังจะเริ่มขึ้น ลิเวอร์พูลกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย นักเตะที่เคยเป็นรุ่นพี่ในทีมก็เริ่มย้ายออกไป นักเตะรุ่นใหม่ๆกำลังตบเท้าเข้ามา คงต้องใช้เวลาสักปีสองปีหงส์แดงถึงจะกลับมาเป็นเครื่องจักรสีแดงอีกครั้ง สาวกหงส์แดงไม่ต้องรีบร้อนไขว่คว้าหาความสำเร็จ ถ้าได้ก็ดีถือเป็นโบนัส ถ้าไม่ได้ก็ขอให้เป็นบทเรียนให้ทีมได้เติบโตและก้าวเดินต่อไป
ในมือของ JK แฟนหงส์แดง นอกจากจะสนุกกับฟุตบอล Heavy Metal แล้ว การได้เห็นทีมค่อยๆเรียนรู้และเติบโตไปกับยุคสมัย ก็สนุกไม่แพ้กับเกมฟุตบอลในสนามเลยล่ะ
แอดเป็ดอ้วน
โฆษณา