14 ส.ค. 2023 เวลา 11:14 • ท่องเที่ยว
ญี่ปุ่น

การเดินทางข้ามปี ญี่ปุ่น EP 3 : ตามหาหิมะขาวฟู ที่ Tohoku

30 ธันวาคม ปี 2019 ไม่กี่วันก่อนที่โลกนี้จะรู้จัก COVID-19 พวกเราครอบครัว "กลางสายทาง" ตอนนั้นอยู่กันที่ประเทศญี่ปุ่น ในทริป 12 วัน 11 คืน ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้นรับปีใหม่ ทริปที่เดินทางเที่ยวกันเองแบบครอบครัว พ่อ แม่ และ 2 ลูกชาย
ก่อนจะมาถึงวันนี้ (30 ธันวาคม) เรามาอยู่ที่ญี่ปุ่นได้แล้ว 7 วัน เราตะลอนเที่ยวในแถบภูมิภาค Chubu และ Kinki ไปแล้ว และประทับใจกับการเดินทางในช่วงต้นหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังถือว่าทำภารกิจไม่สำเร็จ คือการพาเด็กไปสัมผัสหิมะแบบจัดเต็ม ยังไม่ได้ ความหวังของพวกเราเลยต้องฝากไว้กับการเดินทางช่วงสุดท้ายของทริปกับภูมิภาค Tohoku
ตามไปอ่าน การเดินทางข้ามปี ญี่ปุ่น EP 1 ได้ที่
และ การเดินทางข้ามปี ญี่ปุ่น EP 2 ที่
เริ่มต้นการเดินทางช่วงท้ายของทริปในเช้าก่อนวันสิ้นปีกันที่โรงแรม Hotel Plumm โรงแรมที่เราใช้เป็นจุดพักเพื่อเปลี่ยนเส้นทางและฝากกระเป๋า โดยอยู่ไม่ไกลจากสถานี Yokohama มากนัก เช่นเดียวกันกับในหลายวันก่อนที่เราล่องลงไปแถบ Chubu เราก็ฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่โรงแรม ลากไปเฉพาะใบเล็กกับเสื้อผ้าและสิ่งของที่จำเป็น เพื่อขึ้นเหนือไปยังภูมิภาค Tohoku
จาก Yokohama เราแพลนไปพักที่ Sendai 2 คืน ซึ่งถือเป็นเมืองศูนย์กลางของภูมิภาค Tohoku และค่อยขึ้นไปเหนือสุดของภูมิภาคที่ Aomori ส่วนแผนการเที่ยวก็ยังใช้รูปแบบเดิมคือใช้ JR Pass เพื่อนั่งรถไฟ ชินคันเซ็นไปยังเมืองใหญ่ๆ แล้วจากนั้นก็เช่ารถตะเวนเที่ยวโดยรอบ โดยเช้านี้ก่อนที่จะไปถึง Sendai เราจะแวะเที่ยวกันที่ Fukushima กันก่อนเลย
เรามาถึง Fukushima ในช่วงเช้า ก็ออกมารับรถเช่าของบริษัท TOYOTA Rent a car ที่เราใช้บริการทุกครั้งในทุกทริปที่มาเที่ยวญี่ปุ่น โดยทริปนี้รถที่เราเลือกเป็นรถขนาดเล็กที่เหมาะสำหรับพวกเรา 4 คน และแพลนในวันนี้คือเราจะไปกันที่ Ouchi-Juku หมู่บ้านโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ แต่ยังไปไม่ถึง เราก็มีเหตุต้องแวะที่สถานีรถไฟ Yunokamionsen Station เพราะด้วยเหตุว่าต้องหาที่เข้าห้องน้ำ...
Yunokamionsen Station สถานีรถไฟเล็กๆ ที่บรรยากาศดีเหลือเกิน
หลังจากที่ตามหาหิมะมาตั้งหลายวันแต่ก็ไม่เจอเต็มตาสักวัน มีแค่โปรยลงมาให้เห็นประปราย แต่วันนี้พอขับรถออกจาก Fukushima มาเรื่อยๆ เราก็เริ่มมองเห็นว่ามีสีขาวของหิมะปกคลุมอยู่เยอะพอสมควร จนกะทั่งมีเหตุให้อยากเข้าห้องน้ำ และมองเห็นสถานีรถไฟ Yunokamionsen ข้างทางที่มีหิมะตกลงมาให้เห็นพอดี เราก็เลยไม่รอช้าที่จะเลี้ยวรถเข้ามาจอดเข้าห้องน้ำ และถ่ายรูปบรรยากาศแบบ Winter ไว้ซะหน่อย
จริงๆ แล้วเราไม่ได้บังเอิญแวะที่ Yunokamionsen Station ซะทีเดียวหรอก แต่เป็นเพราะเราเคยปักหมุดไว้ในแผนที่ว่าเป็นจุดเช็คอินเพื่อชมซากุระในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่พอได้แวะในฤดูหนาวและมีหิมะให้ได้สัมผัส ก็ดูสวยไปอีกแบบ และเมื่อทำธุระเสร็จเราก็ออกเดินทางต่อ มุ่งหน้า Ouchi-Juku ซึ่งอยู่อีกไม่ไกลแล้ว และตลอดเส้นทางก็เริ่มมีหิมะให้เห็นหนาตาขึ้น ก็เลยอดไม่ได้ที่จะหาที่จอดลงเก็บภาพซะหน่อย
ระหว่างทางก่อนถึง Ouchi-Juku
ไม่นานเราก็ขับรถมาถึงลานจอดรถของ Ouchi-Juku ซึ่งอยู่ห่างจากตัวหมู่บ้านเล็กน้อย โดยเราต้องเดินเท้าไปต่อประมาณ 150 เมตร บรรยากาศที่ต้อนรับการมาถึงของพวกเราคือสิ่งที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ที่ตอนแรกไม่แน่ใจว่าจะเป็นฝนหรือหิมะ แต่ก็ตกลงมาได้ไม่นานก็หยุดไป แต่ที่เห็นคือหิมะน่าจะตกมาเมื่อไม่นานมานี้เพราะมองไปตามพื้นก็เห็นขาวโพลนไปเกือบทั่ว
ระหว่างทางเดินจากลานจอดรถไปยังหมู่บ้าน Ouchi-Juku
Ouchi-Juku เป็นหมู่บ้านโบราณที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (ประมาณปี ค.ศ. 1640) เพื่อใช้เป็นหมู่บ้านพักแรมที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้น Aizu และ Shimotsuke no Kuni ในอดีต ปัจจุบันตั้งอยู่ในจังหวัด Fukushima และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าของชาติ
ที่เราได้มาเห็นคือ Ouchi-Juku เป็นหมู่บ้านโบราณ มีทางเดินผ่ากลางหมู่บ้านยาวกว่า 500 เมตร แต่ว่าเลยท้ายหมู่บ้านไปจะเป็นเขตอนุรักษ์ ซึ่งลึกเข้าไปในป่าด้านในอีกมาก สำหรับอาคารบ้านเรือนในหมู่บ้านนั้นมีการมุงด้วยหญ้าคาหนาและมีการบูรณะให้เป็นร้านขายของที่ระลึกและของฝากมากมาย
บรรยากาศหมู่บ้าน Ouchi-Juku หลังหิมะตก
เด็กๆ ดูตื่นเต้นกับหิมะที่ได้เห็นมาก แม้ไม่ใช่หิมะแรกในชีวิต แต่หิมะครั้งก่อนที่ไปเจอที่ฮอกไกโดคงจำอะไรแทบไม่ได้แล้ว เพราะตอนนั้นมัชฌิมแค่ขวบครึ่ง ส่วนมัชฌิ 4 ขวบก็พอจำความได้รางๆ พอมาเจอแบบนี้ก็เลยสนุกสนานกันใหญ่ แต่ก็ต้องเตือนให้ระวังลื่น เพราะเป็นหิมะที่ตกมาก่อนหน้านี้ได้ซักระยะ จนพื้นกลายเป็นนำแข็งไปแล้ว
เด็กน้อยกับหิมะ แม้จะยังไม่หนาฟู ก็สนุกสนานได้
สำหรับคนชอบถ่ายรูป และมีแรงพอให้เดินไปท้ายหมู่บ้าน และเดินขึ้นไปบนเนินเขาแล้วถ่ายย้อนกลับมา ก็จะได้ภาพที่คุ้นตากับที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ แต่นะนำให้ติดเลนส์ซูมไปด้วยจะดีมาก
ภาพจากเนินเขาท้ายหมู่บ้าน มองเห็น Ouchi-Juku ในมุมสูง
เราเดินเล่นซื้อของที่ระลึกอยู่สักพักก็เหมือนว่าฝนจะตกลงมาอีกรอบ รอบนี้ไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเม็ดฝนเย็นๆ เราก็เลยต้องรีบเดินกลับมาขึ้นรถ แล้วต้องมาคิดต่อว่าจะไปไหนดี เพราะเที่ยวสไตล์พวกเราคือปักหมุดต่อวันไว้ค่อนข้างเยอะ แล้วเลือกไปในที่ที่อยากไป แต่จะได้หมดไหมก็แล้วแต่สถานการณ์หน้างานเลย
ดูจากสภาพอากาศวันนี้แล้ว เราคิดว่าคงไปเที่ยวที่ไหนต่อไม่สะดวกแล้ว เพราะที่ปักหมุดไว้ส่วนใหญ่คือต้องลงเดินเที่ยว และถ้าฝนยังพร้อมที่จะตกลงมาได้ทุกเมื่อแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็เลยตัดสินว่าเราแค่ขับรถชมวิวไปเรื่อยๆ ดีกว่า และ Lake Inawashiro ก็เป็นสถานที่ที่น่าจะวนรถรอบๆ เพื่อชมวิวได้ เอาไว้ฝนหยุดช่วงไหนก็ค่อยจอดรถลงไปถ่ายรูปแล้วกัน
ขับรถชมวิวรอบ Lake Inawashiro
คล้อยบ่ายไปแล้ว หลังจากขับรถชมวิวมาได้สักระยะ และแวะจอดได้แค่ร้านสะดวกซื้อเพื่อหามื้อเที่ยงทาน และจอดถ่ายรูปได้แค่บางจุด เราก็คิดว่าคงสมควรแก่เวลาแล้ว เพราะดูอากาศไม่ค่อยจะเป็นใจเลย
เราวนกลับมาคืนรถที่หน้าสถานี Fukushima แล้วก็ขึ้นซินคันเซ็นไปกันที่ Sendai อย่างที่บอกว่าเราจะนอนกันที่ Sendai กัน 2 คืน โรงแรมที่เราเลือกคือ ANA Holiday Inn Sendai ซึ่งเดินจากสถานีมาประมาณ 500 เมตร ก็เป็นโรงแรมที่มีมาตรฐานแห่งหนึ่งในเครือ IHG พักผ่อนนอนหลับสบายดี
ANA Holiday Inn Sendai (ภาพจากเว็บไซต์โรงแรม)
ในคืนแรกที่เรามาถึง Sendai เป็นคืนก่อนวันสิ้นปี (30 ธันวาคม) เราปักหมุดไปชมการประดับไฟฤดูหนาวกันที่งาน Sendai Pageant of Starlight โดยจัดที่ถนน Jozenji-dori ติดกับสวน Kotodai Park ซึ่งเป็นงานประดับไฟที่มีชื่อเสียงมากของ Sendai
Sendai Pageant of Starlight
เช้าวันสิ้นปี 31 ธันวาคม วันนี้ก็เช่นเคย คือเราจะเช่ารถจาก Sendai ขับไปเรื่อยๆ ตามจุดที่ปักหมุดไว้บนแผนที่ที่แพลนเบื้องต้นไว้หลวมๆ ส่วนจะไปไหนยังไงก็ว่ากันตามสถานการณ์ และสถานที่แรกที่เราตั้งใจจะไป ก็ยังเป็นที่ที่เราจะได้สัมผัสหิมะได้แบบจุใจ เราเลยเลือกไปที่ Mount Zao
ส่วนหนึ่งของบรรยากาศระหว่างทางไป Mount Zao
ต้องกินแห้วตั้งแต่เช้า... เรามาถึงที่ Zao Ropeway Zao Sanroku แล้วพบว่าวันนี้กระเช้าปิด เพราะสภาพอากาศไม่ดี...!!!
จะบอกว่าเป็นบทเรียนที่ว่า ควรเช็คพยากรณ์อากาศล่วงหน้า และตรวจสอบการเปิดปิดของสถานที่ก่อนเดินทางก็ว่าได้ แต่ก็นั่นแหละเท่าที่สอบถามแล้ว เขาตัดสินใจปิดกระเช้ากันตามสภาพอากาศที่ประเมินแล้วว่าไม่เหมาะสม ต่อให้เราตรวจสอบมาก่อนก็คงไม่ชัดอยู่ดีว่าจะเปิดหรือปิด
1
เราเลยต้องเบนเข็มไปที่ Ginzan Onsen แทน ก็ขับไม่ไกลมากจาก Zao Ropeway และทันทีที่ขับรถไปจอดที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง ที่เราก็งงๆ ว่าเป็นลานจอดสาธารณะ หรือต้องจ่ายเงินค่าจอดรถ เพราะเหมือนมีด่าน แต่เปิดไว้และไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้า แต่ทันทีที่จอดรถ สิ่งที่ตื่นเต้นกว่าคือ หิมะที่โปรยปรายลงมา และเป็นหิมะจริงๆ ไม่ใช่ฝน งานนี้เลยต้องลงรถมาสัมผัสกันหน่อยแล้ว
หิมะโปรยปรายที่ Ginzan Onsen
จริงๆ แล้วเรามองเห็น Ginzan Onsen อยู่ไกลๆ จากลานจอดรถที่เราจอดอยู่ แต่ด้วยความไม่รู้จริงๆ ว่าตรงนี้จอดรถได้ไหม และต้องเดินไปไกลแค่ไหน และในขณะเดียวกันหิมะก็ตกหนาตาขึ้น และลมก็พัดแรง เราก็ไม่แน่ใจอีกเหมือนกันว่านี่คือพายุหิมะหรือเปล่า
แต่ส่วนสำคัญที่เราตัดสินใจไม่เดินไปต่อก็คือ มัชฌิม เด็ก 4 ขวบที่ดูเหมือนจะพึ่งตื่นนอน และกลายเป็นตื่นหิมะที่กำลังตกหนักด้วย เลยงอแงที่จะไม่ยอมลงจากรถ แล้วท้ายที่สุดเราก็จำยอมเคลื่อนรถออกจากลานจอด แล้วย้อนกลับทางเดิม เพราะประเมินสถานการณ์แล้วว่าพายุหิมะนี้น่าจะไม่หยุดง่ายๆ
หิมะตกหนัก ลมแรง เดินเที่ยวไม่ไหว
เป็นอีกวันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ จนต้องยอมถอย แต่ข้อดีของการเช่ารถขับมันก็อยู่ตรงที่เรามีที่ให้หลบ คืออยู่แต่ในรถเป็นหลัก แต่นึกสภาพว่าต้องยืนรอรถบัส รถไฟ แถมยืดหยุ่นเวลาเองไม่ได้ ก็นึกสภาพไม่ออกเหมือนกันว่า ทริปครอบครัวที่มีเด็กๆ มาด้วยแบบนี้จะทุลักทุเลขนาดไหน
เจอสภาพอากาศแบบนี้ มีรถขับสะดวกกว่าเยอะ
สุดท้ายแล้ววันนี้ก็เที่ยวส่งท้ายปี 2019 ด้วยการนั่งรถชมหิมะ มีได้จอดลงมาเล่นหิมะบ้างพอให้ได้บรรยากาศฤดูหนาว อย่างน้อยการตามหาหิมะในทริปนี้ก็ประสบความสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว แม้จะยังไม่เจอแบบขาวฟูให้กระโดดใส่ก็ตาม
เรากลับมาถึง Sendai ในตอนเย็น ก่อนจะไปคืนรถและกลับเข้าที่พัก เราก็แวะเดินเล่นกันที่ Aobayama Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะ เป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์อดีตผู้ปกครองเมือง Sendai และเป็นจุดชมวิวเมือง Sendai เพราะอยู่บนเนินเขาสูง ตรงนี้หิมะยังไม่ตก แต่อากาศก็หนาวเอาเรื่อง
Aobayama Park เมือง Sendai
เราพอรู้มาก่อนแล้วว่า การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากไปกว่าการอยู่กับครอบครัว เข้าวัด เข้าศาลเจ้า การเคาท์ดาวน์เพื่อขึ้นปีใหม่ก็ไม่ได้หวือหวาอลังการเหมือนในหลายๆ ประเทศ เพราะฉะนั้นในคืนวันสิ้นปี เราเลยเลือกที่จะนอนข้ามปีที่โรงแรม โดยที่ไม่ได้ออกไปไหน แบบนี้ก็ดีนะ เงียบสงบดี ดูเป็นบรรยากาศปีใหม่ที่ดูอบอุ่นดีแม้อากาศข้างนอกจะหนาวเหน็บก็ตาม
เราตื่นขึ้นมาเช้าอีกวันก็เป็นวันที่ 1 มกราคม 2020 แล้ว วันนี้เป็นวันที่สดใสอีกวัน เพราะได้นอนข้ามปีแบบเต็มตื่น โดยเช้านี้หลังจากทานมื้อเช้าแล้วเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เรามีแผนที่จะขึ้นเหนือไปอีกหน่อย เพื่อตามล่าหิมะแบบฟูๆ ที่ Aomari
นั่งรถไฟขบวน Hayabusa ขึ้นไปถึง Aomori
เหมือนถูกต้อนรับเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความสมหวัง เพราะทันทีที่นั่งรถไฟไปถึง Aomori ก็พบว่าขาวโพลนไปด้วยหิมะทั้งเมือง ตั้งแต่ลงมาจากรถไฟ มายืนที่ชานชาลาก็สัมผัสหิมะหนานุ่มเหมือนแป้ง เด็กๆ ตื่นเต้นจนหายหนาวไปเลย
สถานีรถไฟ Shin-Aomori
เรานอนกันที่ Aomari จริง แต่ช่วงเช้าเรามีแพลนไปที่ Hirosaki ก่อน พอลงรถไฟที่ Shin-Aomori เราก็ขึ้นรถไฟอีกขบวนไปที่ Hirosaki
ระหว่างทาง บรรยากาศสองข้างทางก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ ที่เรียกได้ว่าขาวโพลนทั้งแผ่นดิน และพอมาถึง Hirosaki ทันทีที่เดินออกมานอกสถานี เด็กๆ ก็ถึงกับทนต่อความฟูของหิมะไม่ไหว เลยกระโดดลงไปนอนเล่นบนหิมะทันที
หิมะนุ่มฟูขนาดนี้ จะทดได้เหรอ
เดินไปเล่นหิมะไป กว่าจะถึงบริษัทรถเช่าก็หมดเวลาไปไม่น้อย และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เราเช่ารถขับ แม้จะเที่ยวแค่รอบ Hirosaki ก็ตาม แต่ก็อย่างที่บอกว่า มีรถขับดูจะสะดวกกว่าเยอะ โดยเฉพาะการเที่ยวแบบครอบครัว
สถานที่แรกที่เราตั้งใจจะขับรถไปก็คือ Hirosaki Apple Park เพราะถ้ามาถึงจังหวัด Aomori แล้ว สิ่งที่ขึ้นชื่อมากๆ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้ว แอปเปิ้ล ก็ถือว่าเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงมากของ Aomori และที่ Hirosaki ก็มีสถานที่ที่เป็นเหมือนสวนแอปเปิ้ลให้นักท่องเที่ยวได้ไปเที่ยวชม และลิ้มลองรสชาติแอปเปิ้ลด้วย
แวะลิ้มลองทานเมนูจากแอเปิ้ลที่ Hirosaki Apple Park
Hirosaki Apple Park ในวันที่เรามาเยือน ไม่แน่ใจว่าเป็นวันหยุดหรือเปล่า เพราะคนเงียบมาก ส่วนต่างๆ ไม่เปิดให้บริการ มีเพียงส่วนที่เป็นร้านอาหารและที่ขายของที่ระลึกเท่านั้นที่เปิดเป็นปกติ เราเลยเข้าไปหามื้อเที่ยงทานก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเดินทางมาไกลยังไม่ได้ทานอะไรเลย แล้วอยากบอกว่าเมนูที่ทำจากแอบเปิ้ลอร่อยแทบจะทุกอย่าง อันนี้ต้องลองมาทานเอง
ขณะที่ทานมื้อเที่ยงไป เด็กๆ พอท้องอิ่มแล้วก็เอาแต่จะขอออกไปเล่นหิมะข้างนอก เพราะตั้งแต่ขับรถมา จนจอดรถที่ลานจอด สองหนุ่มก็ขอเล่นหิมะก่อนมาตลอด พอท้องอิ่มแล้วก็เลยคึกกันใหญ่ เลยต้องพาออกมาด้านนอกที่เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นทั่วไป แต่ตอนนี้หิมะท่วมสูงเกินหน้าแข้งไปแล้ว เห็นแบบนี้ยิ่งถูกใจเข้าไปอีก
เด็กน้อยกับหิมะหนาฟูที่ Hirosaki Apple Park
เล่นหิมะกันอยู่พักใหญ่ ก็ได้เวลาไปต่อ แต่เหมือนเด็กๆ ก็ยังไม่จุใจซะเท่าไหร่ ยังขอเล่นต่อจะไม่ยอมหยุด เลยต้องบอก ระหว่างเดินไปรถจะเล่นไปด้วยก็ได้ ก็ถึงได้ยอม
จาก Hirosaki Apple Park เราก็ใช้วิธีเดิมคือขับรถชมวิวไปเรื่อย ชมสวนแอปเปิ้ลที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ชมบ้านเมืองที่ตอนนี้มองไปทางไหนก็ขาวไปหมด อยากจอดตรงไหนก็จอดตามสไตล์พวกเรา เพราะวันนี้ยังไม่รีบคืนรถกลับ เรายังมีสิ่งที่รออยู่ในตอนเย็น ซึ่งต้องรอให้พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปก่อน
บรรยากาศขับรถชมวิวรอบ Hirosaki
พอพระอาทิตย์คล้อยต่ำ ก็ได้เวลาที่เราย้อนกลับเข้ามาในเมือง โดยเราวนรถมาจอดที่ข้างๆ Hirosaki Castle เพราะสิ่งที่ทำให้เราตั้งใจมาที่นี่วันนี้อีกอย่างคือ การประดับไฟที่ชื่อ Winter Cherry Blossom Light Up เป็นงานเทศกาลประดับไฟซากุระฤดูหนาว โดยรอบปราสาทโบราณ Hirosaki Castle นั่นเอง
บรรยากาศการประดับไฟด้านในกำแพงโดยรอบตัวปราสาท Hirosaki Castle
ที่เรียกชื่อว่า Winter Cherry Blossom Light Up หลายคนอาจจะสงสัยว่า ดอกซากุระอะไรจะมาบานในฤดูหนาวเพื่อให้ฉายไฟใส่ แต่ความจริงแล้วเป็นการฉายไฟสีชมพูไปที่ต้นซากุระที่กิ่งก้านถูกปกคลุมด้วยหิมะในฤดูหนาว ที่ทำให้เหมือนว่าดอกซากุระกำลังบานต่างหาก ซึ่งเอาจริงๆ ก็สวยงามน่าประทับใจมาก แต่จุดที่ชมไฟจะอยู่ริมคลองด้านนอกกำแพงปราสาท ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่จอดรถพวกเราเท่าไหร่
Winter Cherry Blossom Light Up
เมื่อชมไฟสวยๆ เสร็จแล้วเราก็ได้เวลาเดินทางกลับ Aomori เพราะเรายังไม่ได้เช็คอินที่โรงแรมเลย เราคืนรถเช่า แล้วก็นั่งรถไฟกลับไปที่สถานี Aomori ซึ่งที่พักเราเดินไม่ไกลจากสถานีนี้ นั่นคือโรงแรม Hotel Mystays Aomori Ekimae
Hotel Mystays Aomori Ekimae (ภาพจากเว็บไซต์โรงแรม)
เช้าอีกวัน วันที่ 2 มกราคม เป็นวันที่เราต้องเดินทางย้อนกลับมาเพื่อรอขึ้นเครื่อง โดยต้องย้อนมาพักที่โรงแรมเดิมนั่นก็คือ Hotel Plumm ที่เมือง Yokohama และเราก็นั่งรถไฟยาวๆ จาก Aomori มาที่ Tokyo แล้วต่อรถไฟอีกขบวนมาที่ Yokohama กว่าจะมาถึงโรงแรมก็ในตอนบ่ายในเวลาเช็คอินเข้าห้องพอดี
มีเวลาช่วงเย็นส่งท้ายทริปนี้ เราเลยไม่ไปไหนไกล โดยเลือกไปเดินเล่นกันที่ Yokohama Landmark Tower อาคารสูงใหญ่ที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญประจำอ่าว Yokohama ตัวอาคารมีความสูงถึง 296 เมตร ภายในอาคารมีจุดชมวิวลอยฟ้าที่สามารถเห็นทัศนียภาพของเมืองได้แบบกว้างไกลสุดสายตา วึ่งเราก็ไม่พลาดที่จะขึ้นไปชมวิวด้านบนด้วย
วิวจากจุดชมวิวบนตึก Yokohama Landmark Tower
ลงจากด้านบนตึก Yokohama Landmark Tower เราก็มาเดินชมการประดับไฟที่ด้านล่างกันต่อในชื่อ Winter Illuminations ซึ่งมักจัดเป็นประจำทุกปีกับในทุกที่ที่เราไปมา แต่แสงไฟที่จัดที่นี่จะเน้นเป็นโทนสีน้ำเงิน ฟ้า เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศฤดูหนาว ซึ่งก็ดูสวยไปอีกแบบ
งานแสดงไฟ Winter Illuminations
ก็เดินทางมาถึงช่วงท้ายของทริป เพราะในช่วงสายๆ ของวันต่อมา 3 มกราคม 2020 เราก็เดินทางกลับประเทศไทย ด้วยเครื่องบินลำใหญ่อย่าง A380 ของสายการบินไทยโดยสวัสดิภาพ แต่หลังจากนั้นไม่กีวัน ข่าวเรื่องการระบาดของ COVID-19 ก็เริ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงของชาวโลก และเหตุการต่างๆ ก็ดำเนินมาจนทำให้เราต้องงดการเดินทางท่องเที่ยวไปอีกหลายปี และกว่าจะกลับมาท่องโลกกว้างได้เหมือนเดิมก็ต้องรอมาจนถึงปลายๆ ปี 2022 นี่เอง
เดินทางกลับบ้านกลับป้าม่วงลำใหญ่ A380 คุณศรีราชา
ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่เพจนี้ และ
โฆษณา