14 ส.ค. 2023 เวลา 11:38 • ท่องเที่ยว
ยอดผาตัด

คนกรุงเทพฯ เที่ยวผาตัด จะรอดมั้ย!?

  • คนกรุงเทพฯแท้ๆแบบเรา จะรอดมั้ย?? กับการที่ต้อง off road ขึ้นภูเขา กับเส้นทางที่ขรุขระ และ ฝนที่ตกเกือบจะตลอดเวลา แน่นอนว่ารถไม่รอดกันหลายคัน ส่วนคนไม่ต้องพูดถึง ทั้งเปียก ทั้งลื่น ต้องเดินล้มลุกคลุกคลานต่อไปอีกกว่าจะถึงจุดพัก เนื้อตัวเปียกแฉะ มอมแมม แล้วต้องอยู่แบบนั้นไปสักพักใหญ่ๆ เพราะน้ำใช้มีจำกัด
3
  • คนกรุงเทพฯในที่นี้ เราขอใช้นิยามคนที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายๆเรา คือยังชอบแสง สี ในกรุงเทพฯอยู่ แต่ก็มีบางครั้งที่อยากออกไปเจอธรรมชาติบ้าง ชอบเที่ยวอะไรที่มีความสำเร็จรูป เช่น คาเฟ่ รีสอร์ท และเราไม่มีเจตนาจะตีความในแง่ลบ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน Blog นี้ และหวังว่าจะได้ไอเดียร์ในการเที่ยวใหม่ๆเหมือนเรานะครับ
  • นี่เป็นทริปแรกในชีวิตของเรา ที่ใช้วิธีการเดินทางแบบoff road คือการนั่งรถที่ออกแบบมาสำหรับบุกป่าลุยดง โดยเรามาเป็นผู้โดยสารคนหนึ่งที่ติดรถไปกับทีม ด้วยความหวังที่จะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาตลอด 25 ปี
  • จุดมุ่งหมายของทริปนี้คือผาตัด แต่สิ่งที่มันสร้างความตื่นเต้นในทริปนี้ไม่ใช่แค่จุดหมาย แต่เป็นวิธีการเดินทางสุดบ้าคลั่ง บางช่วงเราแทบไม่เชื่อในสายตาของตัวเอง ว่ารถจะสามารถขับผ่านได้ แต่ด้วยประสบการณ์และความช่วยเหลือจากพี่ๆในทีม ทำให้สามารถเดินทางผ่านจุดต่างๆ ซึ่งมีทั้งราบรื่นบ้างและไม่ราบรื่นบ้าง
พักที่รีสอร์ท 1 คืน
คืนแรกเรานอนพักที่รีสอร์ทในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตกดึกมีปาร์ตี้กันเล็กน้อย พูดคุยแลกเปลี่ยน ประสบการณ์การเดินทางของแต่ละคน เราที่เป็นน้องใหม่ที่สุดของทีมก็ได้แต่ฟัง..
เริ่มเดินทาง
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เตรียมตัวทุกอย่างกันเสร็จ เราเริ่มเดินทางขึ้นเขาช่วงเที่ยงๆ แผนคือเดินทางขึ้นผาตัด และเดินทางกลับเพื่อลงมานอนด้านล่าง ใช่ครับ.. นี่คือแผนที่วางไว้ แต่จะตรงตามแผนมั้ย เป็นอีกเรื่องนึง5555
ทางเข้าก่อนขึ้นเขา เราได้รับคำเตือนจากพ่อค้าขายไก่ย่าง และ อีกหลายคนถึงการขึ้นไปผาตัดช่วงนี้ พี่แน่ใจแล้วหรอ.. รถไม่รอดหลายคันเลยนะ.. และอีกหลายๆคำเตือนที่เราทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แทนคำตอบ
ทางดินลูกรัง ที่พอจะทำให้เบาใจได้บ้าง
พี่แน่ใจแล้วหรอ ว่าจะขึ้นผาตัดตอนนี้
รถในทีมเริ่มทยอยขับขึ้นเขา โดยติดต่อกันผ่านทางวิทยุสื่อสาร ที่มีคันละชุด เพื่อรักษาระยะห่างของแต่ละคัน ช่วงแรกที่ขับขึ้นไปยังพอมีบ้านของชาวบ้านให้เห็นอยู่ตามทาง และถนนบางส่วนก็ยังเป็นคอนกรีต หรือดินลูกรังเรียบๆ ที่พอจะทำให้เบาใจได้บ้าง
ทางเรียบๆไม่ใช่จุดประสงค์ในการเดินทาง
แต่ทางเรียบๆไม่ใช่จุดประสงค์ในการเดินทางของทีมแน่นอน หลังหลุดจากทางเรียบๆ ก็เริ่มมีทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ หรือร่องลึกๆ ด้านข้างทางพวกนี้เป็นทางที่เบากว่า แต่เราเชื่อว่าทุกคนเดาได้ ว่าพวกเขาจะไปทางไหนกัน5555
แอ่งน้ำขนาดใหญ่ขวางทาง
จุดที่เรามองว่ามันเริ่มไม่ใช่ทางของคนปกติคือจุดหนึ่ง ที่มีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ขวางทาง ความยาวน่าจะสัก 2-3 เมตร ส่วนความลึกดูในรูปเอาได้เลยครับ ถ้าเป็นเราที่เจอ ต้องหันหัวรถกลับกรุงเทพฯแน่ๆ แต่ไม่ใช่กับทีม ซึ่งมาแบบ'คาดหวัง'ที่จะได้เจออะไรแบบนี้
ใช้เวลาสักพักใหญ่ กว่ารถแต่ละคันจะผ่านอุปสรรคแรก ที่มาต้อนรับแบบตั้งตัวกันไว้แล้ว รถแต่ละคัน จะมีสลิงที่ติดกับหัวรถที่เรียกว่าวินซ์ ซึ่งอุปกรณ์นี้เกิดมาเราก็พึ่งเคยได้ยินเหมือนกัน แต่มันเป็นสิ่งจำเป็น และมีประโยชน์สุดๆ ในการลากรถแต่ละคันขึ้นจากแอ่ง
  • จังหวะนี้เอง เริ่มมีฝนตกปรอยๆ ให้คนที่ยืนเชียร์รถแต่ละคันได้วิ่งหลบฝน เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พอถึงรถคันที่เรานั่งมาต้องลุยบ้าง เราเลือกที่จะนั่งในรถตอนที่ขับผ่านแอ่ง รถของอาจารย์ที่เรานั่งมาด้วยขับผ่านฉลุย ไม่ต้องใช้วินซ์เลย ส่วนผู้โดยสารอย่างเราตื่นเต้นสุดๆ คิดว่าจะได้นอนในโคลนซะแล้ว
ภาพวิวตามทาง
  • ระหว่างทางขึ้นเขา เราได้ถ่ายภาพวิวตามทาง ซึ่งในฐานะช่างภาพคนหนึ่ง เรามองว่าเป็นการถ่ายภาพที่ท้าทาย เพราะไหนจะทางเดินรถที่ขรุขระ หรือกิ่งไม้ ที่มีโอกาสเหวี่ยงโดนกล้องเราได้ทุกเวลา
แต่เรากลับรู้สึกสนุกที่ได้ทำ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่คนเมืองกรุงอย่างเราแทบไม่เคยได้สัมผัส ทั้งภูเขาที่ทอดยาวซ้อนกันหลายชั้น และอากาศที่บริสุทธิ์ ความรู้สึกที่เบาสบายจนลืมความวุ่นวายในกรุงเทพฯ
เจอฝูงวัวกำลังกินมื้อบ่าย
แต่เรากลับรู้สึกสนุกที่ได้ทำ มันเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่คนเมืองกรุงอย่างเราแทบไม่เคยได้สัมผัส
เนินรับแขก เนินเกาลัด เนินVIP
  • ถ้าค้นหา"ผาตัด" แทบทุกช่องทางโซเชียล ผู้ที่มาเยือนจะพูดถึงเนินชื่อดังอย่างเนินรับแขก เนินเกาลัด เนินVIP แน่นอน เพราะถือเป็นด่านสุดหิน ที่นักเดินทางหลายทีมเข้ามาท้าทาย ความโหดหินของเนินเหล่านี้
ในส่วนของทีมที่เรามาด้วย ใช้เวลาจนฟ้ามืด ถึงจะย้ายรถทุกคันขึ้นมาทั้งหมดมาถึงจุดตั้งเต็นท์ และเปลี่ยนแผนเป็นพักที่ตีนเนิน VIP 1 คืน พรุ่งนี้เช้าค่อยขึ้นผาตัด ด้วยความที่ฝนตก แล้วเนินก็ลื่นจนคนยังเดินยาก พี่ๆในทีมบางคนลื่น เราเองก็เกือบไม่รอด
  • ระหว่างรอรถเคลื่อนมาถึงจุดพัก เราและพี่ๆในทีมบางคน ก็เดินเท้าขึ้นไปถึงก่อน เพื่อไปเตรียมอาหาร มันเป็นทางขึ้นเนินระยะทางประมาณ 200 เมตร เราโดนรองเท้าแตะคู่ใจกินขาไปหลายรอบ จนได้กิ่งไม้ท่อนยาว แข็งแรง ดูพึ่งพาได้พาเราไปถึงที่หมายในที่สุด
พอมานอนและใช้ชีวิตจริงๆมันค่อนข้างชิลเลย
นอนเต็นท์สบายกว่าที่คิดไว้มาก เราไม่ใช่สายแคมป์ปิ้งเป็นทุนเดิม เหตุผลหลักๆคือขี้เกียจ แต่พอมานอนและใช้ชีวิตจริงๆมันค่อนข้างชิลเลย เพียงแค่การใช้น้ำต้องประหยัด เพราะมีอยู่จำกัด
  • เราคุยกับพี่ผู้หญิงคนนึงในทีม ที่ชื่นชอบการมาเที่ยวแบบ off road่
แรกๆก็ไม่ชอบนะ มันเลอะเทอะ เหนื่อย ลำบาก แมลงสัตว์กัดต่อย ร่างกายคือบอบช้ำมาก แต่พอเริ่มเที่ยวบ่อยๆ ก็เริ่มชินไปกับมัน ยิ่งได้เจอเพื่อนใหม่ๆก็เริ่มชอบสนุกดี ได้ทำอาหาร ได้ใช้ชีวิตที่แบบไม่นั่งจิ้มโทรศัพท์
การได้เห็นธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม
  • การได้เห็นธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม หมอกหนาๆ อากาศดีๆ ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลของการมาเที่ยวเช่นกัน
ได้เห็นชาวบ้านในชนบทบนดอยสูงว่าเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน ชอบเด็กๆบนดอยน่ารักมาก และยังได้มีโอกาสเอาสิ่งของขึ้นไปบริจาคให้คนในถิ่นทุรกันดาร ที่ไม่มีน้ำ ไฟฟ้า สัญญาณโทรศัพท์ แม้แต่ถนนลาดยางก็ยังเข้าไปไม่ถึง ก็มีแต่ออฟโรดนี่แหละที่เข้าไปได้ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ชอบเที่ยวออฟโรดเลยแหละ
เนินVIP
  • มาถึงบอสตัวสุดท้าย ที่ต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ 'เนินVIP' ทุกคนในทีมตกลงกันว่าจะรอให้ทางแห้งกว่านี้อีกสักหน่อย ก่อนจะขึ้น พอถึงเวลารถทุกคันจึงขึ้นไปได้อย่างไม่ยากเท่าเนินเมื่อวาน
พอพ้นเนิน VIP ทุกอย่างเหมือนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เส้นทางที่ราบรื่น วิวสองข้างสวย อาจมีหูอื้อบ้าง ขับอีกไม่นานก็ถึง ผาตัด!!
ผาตัด
มันสวยมากๆ ความรู้สึกเหมือนชีวิตประสบความสำเร็จ แล้วอยู่บนจุดสูงสุดอะไรสักอย่าง555 มองลงไปจะเห็นเนินเขาหลายลูก หมู่บ้าน วัดผาซ้อนแก้ว ลมพัดแบบกำลังดี อากาศไม่ร้อนเลย มีจุดเล็กๆตามรูป ที่สามารถถ่ายรูปไปอวดรางวัลที่ลุยมาเกือบ 2 วัน
  • พอถึงจุดนี้ เราเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนที่ชอบมา off road มากขึ้นแล้ว
พวกเราชมวิวจากผาตัดได้ไม่นาน ฟ้าฝนก็เริ่มมาไล่ที่ แต่สำหรับเรามันคุ้มแล้วที่ได้มา ขากลับ ใช้เวลาไม่นานเท่าขามา แต่อาจมีหวาดเสียวนิดหน่อย ที่ต้องขับลงเนิน ซึ่งต้องใช้เทคนิคจากประสบการณ์ของอาจารย์ที่เราติดรถมาด้วย ช่วยไกด์เพื่อนๆในทีม ให้ลงอย่างปลอดภัย
วิวตอนขากลับ
  • การไปผาตัดครั้งนี้เหมือนได้ปลดผนึกอะไรบางอย่าง เป็นความรู้สึกที่คนที่เกิดและโตในกรุงเทพอย่างเรา แทบไม่เคยได้เจอ
ครั้งล่าสุดที่พอจำได้คือตอนไปเขาชนไก่ ช่วงวัยรุ่น แต่ครั้งนี้คือวัยที่ต่างคนต่างทำงาน มีภาระทางครอบครัว เราว่าการไปเที่ยวลักษณะนี้ ก็ทำให้ลืมภาระต่างๆที่แบกไว้ได้ช่วงหนึ่ง เรียกได้ว่าหัวโล่งเลยก็ว่าได้ แต่พอกลับมาแบกมันอีกครั้งกลับรู้สึกว่ามันเบาลง เหมือนจุดที่เราบอกตัวเองว่าไม่ไหว มันถูกขยับออกไปให้สูงกว่าเดิม
วิวตอนขากลับ
อาจจะเป็นเพราะพอไปเจออะไรที่ลำบากมากๆ ทำให้ทัศนคติการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป แถมยังได้เพื่อนและพี่ๆใหม่ๆ ที่คอยช่วยเหลือกันตลอดการเดินทางครั้งนี้ ที่เราได้เห็นทั้งรอยยิ้ม และ น้ำใจของพวกเขา
รอยยิ้ม และ น้ำใจของพวกเขา
  • ถ้าถามเราว่า จะไป off road อีกมั้ย เราตอบเลยว่าไป แต่ขอนานๆทีละกัน5555 ไปเพื่อให้ชีวิตได้เปลี่ยนสีสัน หลุดออกจากโลกเดิมๆ หรือ เพื่อนๆคนไหน รู้สึกเหนื่อยกับชีวิตที่วุ่นวาย ลองมาเจอเรื่องอะไรที่มันเหนื่อยกว่า5555 ให้เราลืมความวุ่นวายได้ชั่วคราว ซึ่งมันลืมได้จริงๆ และอาจเปลี่ยนมุมมองในการมองโลกเดิมๆ ให้ต่างออกไป
โฆษณา