14 ส.ค. 2023 เวลา 11:37 • นิยาย เรื่องสั้น

ความทรงจำลาจากฝันอันแสนไกล

ช่วงเวลาหลับนอนกับหมอนข้างคู่ใจ ร่างกายเอนเอียงสู่นิทานไร้สำนึกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหตุการณ์ในชีวิต บทภาพยนตร์เรื่องดังโด่ง บทเรื่องโค้งคดซับซ้อนเกินกว่าคนนอกจะเข้าถึงความคาดหวังของผู้กำกับมือทอง
ความฝันอันสูงสุดสู่สามัญสำนึกยามกลางค่ำคืน แสงบุหลันสาดส่องขวัญตาที่นอนบนฟูกสีขาวนวล ภวังค์วนชวนเนรมิตแสงสีเสียงสู่หมอกแห่งความทรงจำโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
“นี่ เมื่อไหร่แกจะตื่นอะ”
“ตื่นเร็ว ๆ มีคนคิดถึงอยู่นะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพร้อมกับแสงของหน้าจอสว่าง เผยให้เห็นข้อความจากผู้อันเป็นที่พึ่งทางใจ ดวงหทัยปลุกคู่คบผ่านแอปไลน์ สีของผ้าม่านสะท้อนทอตะวัน นกร้องประสานเสียงกันบนสายไฟดั่งบทเพลงในภาพยนตร์เจ้าหญิงดิสนี่ย์
กลับกัน มนุษย์บนเตียงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งเร้า คราบน้ำตาจากเมื่อวานยังคงค้างบนใบหน้า มหาอุปราชไม่เคยเป็นเยี่ยงนี้แน่ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครทราบนอกเสียจากรอเขาตื่นขึ้นมาเล่า
ทุ่งดอกไม้เขียวขจีมีผีเสื้อบินไปมา มีม้าไม้วิ่งว่องไวท่ามกลางผืนดินอันเป็นที่อยู่ของตัวตุ่น และไส้เดือน เขามองเห็นภาพเหล่านั้นพร้อมควันขาวรอบขอบนัยน์ ต้นไม่ใหญ่ตั้งตระหง่านกลางผืนหญ้านุ่ม เขาเลือกเดินไปนั่งโดยไม่ได้ตัดสินใจด้วยตนเอง สอดสายตาจากซ้ายไปขวาเห็นยูนิคอร์นลอยล่องบนนภา
“เฮ้ย! นี่กูอยู่ที่ไหนวะ” เขาไม่ได้เอ่ย
ไม่นานนักพื้นดินแตกแยกออกจากกัน สรรพสัตว์ต่างกรีฑาแตกพ่ายไปคนละทิศละทาง สวรรค์บนดินล่มสลาย ต้นไม้ใหญ่กลายเป็นยักษ์ พายุฝนตกเป็นผักกาด อสุราคว้าตัวเขาเขวี้ยงลงรอยแยกพสุธาดั่งกลับโกรธกันมาพันกว่าปี
เสี้ยววินาทีร่างของเขาโผล่มาที่งานเต้นรำในร้านอาหารราคาแพง เขาก้มมองชุดของตัวเองเป็นชุดหรูโอ่อ่า พร้อมกับเงยหน้าสอดส่ายสายตา หนุ่มสาวทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างแต่งตัวดูมีฐานะ ลานห้องโถงเต็มไปด้วยผู้มีวิชาการร่ายรำรื่นเริงบนทางเดิน มีผู้คนรายล้อมเป็นวงกลม ยืนชมพร้อมเสียงดนตรีบรรเลงเพลง Tales from the Vienna Woods โต๊ะข้างซ้ายมีอาหารคาวกับไวน์ราคาแพง แสงจากแชนเดอเลียร์สาดลงมาพอให้เข้ากับบรรยากาศยามราตรี บริกรเดินบริการกันให้วุ่น
มือยาวเข้ามาคล้องแขนเขาจากด้านหลังพร้อมกับพูดเอ่ยน้ำเสียงอันนุ่มนวล
“ที่รัก ผู้คนตรงนั้นเต้นกันสนุกสนานจนลืมยศฐาที่สั่งสมมา”
“ว่าแต่...เราไปเต้นให้ลืมเหมือนพวกเขากันไหมที่รัก?”
เขามองในหน้าของคนที่เรียกเขาว่าที่รักพร้อมยิ้มมุมปากแล้วกล่าวว่า
“ได้สิที่รัก ฉันจะเต้นให้เหมือนครั้งแรกที่ได้ออกเดทกับคุณ” เขาไม่ได้กล่าว
จากนั้นทั้งคู่ก็จูงมือกันไปร่ายรำบนฟลอร์เค้าคลอเคียงคู่เปรียบดั่งโรมิโอกับจูเลียต วงดนตรีออเคสต้าเหมือนรู้ใจทั้งสอง พวกเขาทั้งผองเริ่มบรรเลงเพลง Symphony no. 6 in b minor op. 74 pathetique ของ Tchaikovsky
คู่รักเสมือนถูกมนต์สะกดของกันและกัน ต่างคนต่างจ้องมองสายตาของอีกฝ่ายอย่างไม่ละเลย อุ้งมือซ้ายและขวาของทั้งคู่โอบเอวและจับมือพร้อมพริ้วไหวตามบทเพลง ใบหน้าของทั้งสองใกล้กันมากขึ้นปานจะดูดดื่มดั่งน้ำผึ้งพระจันทร์เดือนห้าที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากของทั้งคู่ ภายใต้พื้นที่แห่งนี้เสมือนมีเพียงพิสมัย พินิศในหน้าต่างจิตศรีกมล
“ฉันรักคุณมากนะ”
คำกล่าวชวนฝันของเธอต่อเขาราวกับเถาวัลย์พันเกี่ยวตัวทั้งคู่แนบชิดเรือนกาย สายดนตรีเปรียบเสมือนสายธนูกามเทพดีดศรเสน่ห์ปักกลางใจเจ้า กายกระเส่าระส่ำระส่ายหายใจไม่ทั่วท้องเหมือนมีผีเสื้อบินว่อนอยู่ภายใน ไม่ทันใดคล้องวิวาห์ลั่นรัวเสมือนสัญญาณบ่งบอกว่าให้จุมพิตเยาวมาลย์ ริมฝีปากของทั้งคู่เริ่มประกบแนบชิด ดั่งนลัทสถิตเคียงคลุกเค้า หวานไม่เท่าเชยนทีศรีสมร
ชั่วขณะอันแสนภิรมย์ต้องสิ้นสุด เมื่อเขากระพริบตาม่านหมอกก็พาเขาโผล่มานั่งป้ายรถเมล์ป้ายหนึ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ฝนตกปรอย ๆ ประปราย เขาหยิบโทรศัพท์เครื่องเดิมขึ้นมาดูเวลา สิบนาฬิกาสามสิบสี่นาที วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ฟากฟ้าครึ้มท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลงมาไม่ถึงพื้นเพราะเมฆบดบัง เนื้อตัวเสื้อผ้าของเขาเป็นชุดเก่งที่ชอบใส่ ทันใดนั้นรถเมล์สายเดิมขยับจอดที่ป้าย
เขาเดินเตร่ขึ้นรถเมล์ไป กวักไกว่สายตาเพื่อหาที่นั่งแถวประจำที่เขาชอบ ประมาณสิบนาทีให้หลังระยะทางสามป้ายพร้อมถึงจุดหมายที่เขาต้องลง และเขาเดินเลาะทางประกอบกับข้ามทางม้าลายที่รถไม่ค่อยจะหยุดให้มุ่งสู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ลักษณะท่าทางเขาดูรีบรนเหมือนนัดใครไว้ ก้าวย่างจบจนถึงประตูอีกฝั่งของมหาวิทยาลัย เขารู้สึกตกใจเมื่อคนที่เขานัดไว้เป็นคน ๆ หนึ่งที่เขาเคยรู้จักเป็นอย่างดี
“เธอ ถึงแล้วหรอ เย้!!”
เธอคนนั้นเดินเข้ามาโผลกอดร่างเขาแน่น ก่อนที่จะผล่ะออกแล้วเธอพูดว่า
“ไปกินข้าวกันก่อนไหม?”
เธอคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยเวลาเธอหิว
ได้ดิ ว่าแต่เธออยากินอะไรอะ?” เขาเคยพูด
“ก๋วยเตี๋ยวม้ะ ตรงใกล้ ๆ ที่นี่อะ”
“ร้านนี้หรอ? ฉันเคยมากินกับเพื่อนละ โอเค เดินไปกัน” เขาเคยพูด
ทั้งคู่ได้เดินจูงมือกันไปออกจากมหาวิทยาลัยแห่งนั้น ไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะ จากนั้นเลือกสั่งอาหาร ระหว่างรอ เธอคนนั้นก็ได้ถามเขาว่า
“ทำไมถึงอยากคบกับฉันต่อ”
เขานั่งอึ้งไปสักครู่ก่อนที่จะตอบคำถามเธอคนนั้น
“ก็ฉันยังรักเธออยู่” เขาเคยพูด
“คนอื่นก็มีเยอะแยะ ทำไมถึงไม่ไปหาคนอื่นหละ”
“อย่างที่บอก ก็ฉันยังรักเธอ ฉันไม่สนใจคนอื่นเลยนอกจากเธอ” เขาเคยพูด
“มีแค่ตอนนั้น มันก็ไม่ใช่นอกใจ ฉันก็บอกเธอไป และมันก็ตั้งนานแล้ว” เขาเคยพูด
เธอคนนั้นก็ทำหน้าตาเหมือนเข้าใจ กระทั่งอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ทั้งคู่นั่งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เช็กบิลเสร็จ ทั้งคู่เดินจูงมือออกจากร้านกลับเข้ามหาวิทยาลัย ฝนหยุดตก แดดกลับมาออกอีกครั้ง
เมื่อถึงในสถานที่นั้น เขาเอะใจเล็กน้อยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยอาหารที่เขาทานไปทำให้เขาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เขาเดินออกมาจากห้องน้ำก็รู้สึกได้ว่า บางอย่างมันกำลังจะพังทลาย
เธอคนนั้นนั่งที่โต๊ะโรงหารใต้ตึกแห่งหนึ่ง ท่าทาง สายตา กริยา ดูเหมือนกำลังคิดหรือกำลังรวบรวมความกล้าในการตัดสินใจอันแสนน่าอึดอัด เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะ ต่างคนต่างมองตากัน เขารู้สึกอีกครั้งว่ามันจะเกิดขึ้น เธอคนนั้นจับมือด้านขวาของเขาแล้วกล่าวถ้อยคำตัดสินออกมา
“เราเลิกกันเถอะ”
เขานั่งตัวแข็งทื่อเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางปอดข้างซ้าย ดั่งพายุหิมะคลืบคลายปกคลุมร่างกาย บรรยากาศเงียบสงัด ท้องฟ้าสว่างไสว เสียงลมพัดโบกเบายังดังกว่าเสียงในใจเขา
“ทำไมอะ ทำไมถึงต้องเลิก?”
“ฉันรักเธอนะเธอรู้ไหม”
เธอคนนั้นสวนตอบกลับมาถามเขาอย่างทันท่วงที
“ทำไมถึงยังรักฉัน”
“ฉันไม่รู้ เธอรู้ไหมความรักมันเป็นยังไง”
เขาพยายามนึกคำอธิบายให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ เขาอธิบายถึงความรักของหนุ่มสาว ความผูกพันที่มีต่อกัน คำสัญญาที่เคยให้ไว้ ยกสถานการณ์ที่เคยผ่านมาด้วยกัน คำพูดแตกต่างมากมายก็ไม่ทำให้เธอคนนั้นเปลี่ยนใจได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มน้ำตาคลออ่อน ๆ ทั้งเขาและเธอยังคงจับมือกันแน่น เขาคงเตรียมใจไว้ว่า นี่เป็นการจับมือกันในสถานะปัจจุบันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ฝ่ายเธอคนนั้นจะตั้งแขนที่จับมือกันขึ้น พร้อมอธิบายเกี่ยวกับความรักสำหรับเธอ
เขานั่งฟังคำอธิบายนั้นก่อนที่ประโยคที่อาจสร้างแผลให้เขาไปอีกนาน
“ฉันไม่รู้ว่าความรักคืออะไร แต่ตอนนี้ความรักไม่ใช่เธอ”
เสียงกระจกแตกภายในใจอันบอบช้ำ ความทรงจำที่มีถูกทำลายอย่างไม่เหลือชิ้นดี เขาพยายามพูดรั้งรักครั้งนี้ไว้ เธอร้องไห้สะอื้นเหมือนเด็ก เธอขว้ามือขวามาจับมือเขา เปล่งถ้อยคำที่ให้เกียรติมนุษย์คนหนึ่วงเป็นอย่างสูง
“ขอบคุณนะ สำหรับทุก ๆ อย่าง”
เขาคนนั้นร้องไห้โฮเหมือนเขื่อนที่กั้นความรู้สึกได้ถูกระเบิดจากคำพูดสั้น ๆ ดั่ง C-4 ถล่มน้ำตาออกมา เขาไม่สามารถกั้นมันได้อีก เขารู้ตัวแล้วว่าไม่สามารถรั้งเธอคนนั้นได้อีกต่อไป
“ขอบคุณทุกสิ่งที่ผ่านด้วยกันมา ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน"
“ขอบคุณที่คอยดูแลฉัน ฉันคงไม่ได้อยู่ดูแลเธอแล้ว เธอก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ”
เขายังคงร้องไห้ไม่หยุดหย่อน ทำได้แต่พูดรั้งเธอคนดีคนเดิมไปจากเขา
“อย่าไปเลยนะ ฉันขอได้ไหม”
“ฉันขอโอกาสอีกสักครั้ง สักครั้งก็ได้”
“พอแล้วเธอ ฉันตัดสินใจแล้ว”
“ฉันคงต้องไปเก็บของแล้ว”
“โชคดีนะ”
ก่อนเธอจะลุกเดินจากไปเขาตั้งคำถามแห่งความหวังในภายภาคหน้าต่อเธอ
“แล้วเราจะมีโอกาสได้กลับมารักกันอีกไหม”
“ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต”
เธอโบกมือบ๊ายบายต่อท้ายด้วย “ลาก่อนนะ” เธอหันหลังเดินจากไปจากเขาไม่แม้แต่หวนกลับ เขายังตะโกนอ้อนวอนต่อเธอถ้ายังรักให้หันกลับมา เธอคนนั้นเดินผ่านพ้นสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกจากการถูกบอกเลิก เขาช่างเจ็บปวดทรมานราวกับถูกมีดแทงมิดขั้วหัวใจ โลกทั้งใบกระจัดกระจายไม่เหลือชิ้นดี
ม่านหมอกปกคลุมวิสัยทัศน์เขาอีกครั้ง ลมหายใจเฮือกใหญ่ผลักให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนฟูก เหงื่อออกเล็กน้อย ยกมือขึ้นจับใบหน้า พบได้ว่ามีน้ำไหลออกมาจากเบ้าตา ลุกขึ้นนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ความจริงหรือความฝัน เขากำมือข้างขวาแน่นพร้อมกับทุบไปที่พื้น มือซ้ายขว้าโทรศัพท์ เห็นข้อความจากใครสักคนปลุกเขาผ่านแชท ต่อด้วยเอามือตบหน้าตัวเองเพื่อทดสอบว่าทุกอย่างตรงหน้าทั้งหมดคือความจริง ใช่ นี่คือความจริง มือทั้งสองข้างจับโทรศัพท์ และพิมพ์ข้อความตอบกลับไป ยังคงทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เขาจึงลุกขึ้นไปใช้มือซ้ายข้างถนัดดึงลิ้นชักเข้าหาตัว หยิบกระเป๋าเงินสีเลือดหมูใบหนึ่งแล้วหยิบกระดาษแข็งใบเล็กลีบที่มีรูปดอกกุหลาบสีแดง พลิกใบด้านหลัง อ่านข้อความภาษาอังกฤษที่ถูกเขียนไว้
“YOU ARE MY FAVORITE KIND OF PIG 😊”
เสียงสะอื้นดังขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำได้ตอกย้ำความเป็นไป ทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดขึ้น สิ้นสุด ทุกอย่างคือความฝัน และความจริง ทุกก้าวที่ผ่านมาคือบทเรียน บทชีวิต หรือบทหนังของใครสักคน งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ความรักก็เหมือนกัน.
“ขอบคุณนะ สำหรับทุก ๆ อย่าง”
ศิรอนปก๊ะ
โฆษณา