15 ส.ค. 2023 เวลา 00:14 • ธุรกิจ

10 เรื่องที่มนุษย์เงินเดือนควรรู้ก่อนตัดสินใจเป็นผู้ประกอบการ

หนึ่งในความฝันของคนที่เป็นพนักงานบริษัทก็คือการมีกิจการเป็นของตัวเอง เป็นนายของตัวเอง อยากทำงานทีได้ผลตอบแทนให้กับตัวเองอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่การจะก้าวจากพนักงานขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เรามาลองดูว่าการเป็นผู้ประกอบการและการเป็นพนักงานบริษัทมีข้อดีที่แตกต่างกันอย่างไร
ข้อดีของการเป็นผู้ประกอบการ:
1. เสริมสร้างรายได้: ผู้ประกอบการมีโอกาสสร้างรายได้ไม่จำกัดโดยตรงจากธุรกิจของตน และมีความเสี่ยงที่จะมีรายได้มากขึ้นกว่าการเป็นพนักงาน
2. มีอิสระในการตัดสินใจ: ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจและดำเนินธุรกิจตามแผนที่ตนกำหนดเองได้โดยไม่ต้องขึ้นกับคำสั่งจากผู้อื่น
3. โอกาสในการสร้างบรรยากาศทำงาน: ผู้ประกอบการสามารถสร้างบรรยากาศทำงานที่ตรงตามความเชื่อและค่านิยมของตนเอง
4. การเรียนรู้และการเจริญเติบโต: การเป็นผู้ประกอบการช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อเติบโตในทางธุรกิจและส่วนบุคคล
ข้อดีของการเป็นพนักงานบริษัท:
1. ความมั่นคงในรายได้: พนักงานบริษัทมีความมั่นคงในรายได้ที่เป็นเงินเดือนที่กำหนดไว้.
2. เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น: บางครั้งพนักงานบริษัทมีโอกาสทำงานเป็นกะหรือทำงานระยะสั้นตามสถานการณ์.
3. ไม่ต้องรับความเสี่ยงธุรกิจ: พนักงานไม่ต้องรับความเสี่ยงทางธุรกิจและไม่ต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการธุรกิจ.
4. ประสบการณ์และการเรียนรู้: การเป็นพนักงานบริษัทสามารถเรียนรู้จากความชำนาญของผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน
การเลือกที่จะเป็นผู้ประกอบการหรือพนักงานขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนบุคคล คุณค่าและแนวทางในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการมีความมั่นคงในรายได้และสิทธิประโยชน์จากการเป็นพนักงาน หรือความอิสระในการตัดสินใจและการพัฒนาตนเองในการเป็นผู้ประกอบการ
คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) สามารถสรุปได้ ดังนี้
1. ความรู้ความเข้าใจในตลาดและธุรกิจ
ผู้ประกอบการควรมีความเข้าใจในตลาดที่ต้องการเข้ามาและมีความรู้ในด้านธุรกิจที่เข้ามาทำ
2. ความคิดสร้างสรรค์
ความสามารถในการคิดและสร้างแนวคิดใหม่ๆ เพื่อนำมาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นเอกลักษณ์
3. ความกล้าหาญและความเชื่อมั่น
ผู้ประกอบการต้องมีความกล้าหาญในการรับความเสี่ยงและความเชื่อมั่นในความสำเร็จของธุรกิจของตน
4. ความมุ่งมั่นและการทำงานหนัก
มุ่งมั่นในการตามหาความสำเร็จและพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
5. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว
ผู้ประกอบการควรมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงในตลาด
6. ทักษะการนำกลุ่มและการบริหารจัดการ
การนำกลุ่มและการบริหารจัดการทีมงานเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ.
7. ความคิดเชิงวิเคราะห์
การมีความคิดเชิงวิเคราะห์ในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์.
8. ทักษะการติดต่อสื่อสาร
การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญในการติดต่อกับลูกค้า, พันธมิตร, และทีมงาน.
9. การพัฒนาและความกระตือรือร้นในการเรียนรู้
ผู้ประกอบการควรมีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองและความรู้ใหม่เพื่อปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง.
10. ความจริงใจและความซื่อสัตย์
การรักษาความซื่อสัตย์และความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและคู่ค้า
ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาคุณสมบัติเหล่านี้ได้จากการเรียนรู้, ประสบการณ์, และการพัฒนาตนเองตลอดเวลา
การเริ่มต้นสำหรับผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
1. หาแนวคิดธุรกิจ: คิดและวางแผนเกี่ยวกับแนวคิดธุรกิจที่คุณต้องการเริ่มขึ้น เลือกแนวทางที่สนใจและมีโอกาสในตลาด
2. ศึกษาตลาดและผู้แข่งขัน: ศึกษาตลาดเพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้าและการแข่งขันในวงการนั้น ๆ.
3. วางแผนธุรกิจ: กำหนดวัตถุประสงค์ของธุรกิจ, กำหนดกลยุทธ์, และวางแผนการดำเนินธุรกิจทั้งระยะสั้นและยาว.
4. หาทุนเริ่มต้น: หาที่มาของทุนเริ่มต้นสำหรับธุรกิจ เช่น การกู้ยืมเงิน, การขายหุ้น, หรือทุนส่วนตัว.
5. สร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการ: พัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณค่าแก่ลูกค้า
6. ทดสอบและปรับปรุง: ทดสอบผลิตภัณฑ์หรือบริการกับกลุ่มเป้าหมายและปรับปรุงตามความต้องการ
7. การตลาดและขาย: สร้างแผนการตลาดเพื่อเผยแพร่ผลิตภัณฑ์หรือบริการและเพิ่มยอดขาย
8. พัฒนาทีมงาน: สร้างทีมงานที่มีความสามารถเพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ
9. ติดตามผลและปรับปรุง: ติดตามผลการดำเนินธุรกิจและปรับปรุงในทุกขั้นตอน
10. ขยายกิจการ: หากธุรกิจเติบโตเร็วมากพอ คุณสามารถขยายกิจการโดยเพิ่มผลิตภัณฑ์, การบริการ, หรือการขยายสู่ตลาดใหม่.
จงระมัดระวังว่าการเริ่มต้นธุรกิจอาจมีความท้าทายและความเสี่ยง ดังนั้นควรใช้แผนการและการศึกษาให้ดีเพื่อเพิ่มโอกาสในความสำเร็จ
โฆษณา