15 ส.ค. 2023 เวลา 14:48 • ปรัชญา
อารมณ์นั้น เป็นผู้สั่งจิต จิตนั้นไปสั่งกาย ..อารมณ์นั้นอยู่เหนือจิต ..จิตนั้นหลับใหล ..ทำไปตามอารมณ์นึกคิดที่ไหลหมุนเวียน เรื่องนั้นเรื่องนี้ เกิดขึ้นในเรือนกาย เราก็ไปดูความหมายของคำว่า ที่เห็นว่ามีผู้ที่ให้ความหมายอธิบายคำว่า จิตไว้..
ตัวเราเป็นจิตดวงหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ในกายเป็นสังขารที่ก่อตัวด้วยธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา ก่อขึ้นมาด้วยอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อายตนะสิบสอง พร้อมด้วยจิตรวมกันเป็นสังขาร
อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมตัวกันด้วยอายตนะที่ก่อตัวรวบรวมกรรมประกอบขึ้นมาจากกรรมที่ทำไว้ จิตนั้นเป็นสังขตที่พัวพันกับธาตุสี่อายตนะและอารมณ์
จิตเราจึงหลงวนเวียนกับโลกที่เกิดขึ้นในตน ยึดถือในสิ่งที่เกิดในตนทั้งอุปทาน อารมณ์ วิบากที่เกิดในตนในลักษณะอัตตา เป็นกิเลสที่ร้อยรัดสรรพสัตว์ไว้ด้วยนิสัยสันดานสัญชาติญาณให้จมอยู่ในเวรกรรม โดยมิมีสติตื่นขึ้นมาดูกลั่นกรองหาเหตุหาผลให้รู้แจ้งสิ่งที่เกิดในตนเป็นลักษณะของอารมณ์ที่เป็นศัตรูเข้ามาทำร้ายจิตของตน อารมณ์เหล่านี้ไม่มีตัวตน
กายของเรานั้นเปรียบเหมือนเรือที่เราอาศัยอยู่ เราพายเรือไป มีหัวเรือ ..คือ วิญญาณทั้งหก หูตาจมูกลิ้นกาย นั้นเหมือนอยู่ส่วนพื้นผิวตัวเรือ ..มีกายไปสัมผัส ..รูป กลิ่น เสียง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รู้สึกเฉยๆ หรือมีอารมณ์ปรุงแต่ง ต่อสิ่งที่ไปสัมผัส พอใจไม่พอใจ หงุดหงิด โมโห ..ก็เป็นอารมณ์เกิดขึ้น อารมณ์ที่เกิดขึ้น ..แล้ว จิตสั่งกายให้นิ่งเฉยได้ หรือไม่
เมื่อนิ่งเฉยไม่ได้ จิตก็สั่งกายเคลื่อนไหว ไปตามอารมณ์กรรมที่เกิดขึ้น..มีกิริยากายวาจาใจ ไปตามอารมณ์ ..ที่เค้าว่า จิตตกเป็นทาสของอารมณ์ บ้างก็ว่าเผลอสติ ..รู้ไม่ทันอารมณ์ เสียทีต่ออารมณ์ไปแล้ว เหมือนใครมาตำหนิติเตียนเรา เราก็ไม่พอใจ ..ไม่พอใจ มีอารมณ์อารมณ์ติดตามมา มีการกระทำอะไรต่อไปอีก
คราวนี้..เมื่อเรามีการใช้กาย ไปอยากได้อยากมี ชอบไม่ชอบ ในสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต มีทั้งเรื่องต่างๆ เก็บเข้า คิดมานึก เกิดอารมณ์อะไรต่างๆ นั้น เหมือนกับเราไปขนของเค้ามาในบ้าน ให้รกรุงรังในบ้าน ..กายมันก็เลยเหน็ดเหนื่อย แบกอารมณ์ นั้นอารมณ์นี้ ..บ้านมันก็หนักหรือเรือมันหนัก หนักด้วยอารมณ์กรรมที่เกิดขึ้นมา สะสมเข้ามาเรื่อยๆ
เรือมันก็หนัก เพิ่มขึ้นๆ จนพาเรือไม่ไหว จิตก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ฝืนน้ำหนักออกแรงพายเรือหนักไม่ไหว เราก็พายเรือไปกระแทก ..โขดหินบ้าง ก็โกรธ .โมโห .หงุดหงิด ก็ด้วยกายที่เราพาวิญญาณทั้งหกที่ไปสัมผัส เรือมันหนักมาเข้าเรือมันก็จมล่ม คือกายเจ็บป่วยเกิดขึ้น เมื่อเราไม่เอาของที่หนักออกไป .มันก็เรือมันก็หล่มท่าเดียว ลงใต้พื้นน้ำ ..หรือเรือมันแตก กายก็ตาย
วิธีที่จะเอาของหนักออก ก็เรื่องปัจจัยที่เราเอากายไปหามา มีอารมณ์โลภโกรธหลง อารมณ์นานาชนิด ที่เราใช้ไปหามา เอามายึดมาถือ นี่เงินทองของเรา เราก็ค่อยสละของที่ยึดถือเข้ามา ..แบ่งปัน ปัจจัยนั้นเล็กๆน้อยๆ หมั่นทำ แปรสภาพปัจจัยนั้นให้เป็นทานเป็นบุญเกิดขึ้น ทำแล้วไม่ไปยึด เรียกร้องหากรรม .ทำเพื่อให้เรือมันเบา ..เหมือนเอาของที่มันหนักรกรุงรังออกจากเรือ ..กายเราก็จะเบา จิตเราก็เบามีเรี่ยวแรงขึ้น
เรื่องสมองนั้น ก็เป็นเรื่องของอารมณ์อีกเหมือน พอหงุดหงิดโมโห ..สมองคิดเรื่องราวอะไร ..คิดเรื่องดีๆได้มั้ย . ..พอหงุดหงิด ..สมองคิดอะไร พอไม่มีเงินทอง สมองคิดอะไร ..เราก็ลองสังเกตอารมณ์กับความคิดดู ว่าเป็นอย่างไร หากเราปฏิบัติธรรม.ขึ้นมา ..มันก็เหมือน ..เราสละสิ่งที่เรายึดมาเป็นอารมณ์ในกายเป็นของหนัก
เราก็นำกายนำเรือมาสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรมเงียบๆของเราไป ..อารมณ์หงุดหงิด..อารมณ์ค้างคา ..มันยังมี แม้เราสวดมนต์ไหว้พระ ภาวนา เราก็ไม่ไปเห็นความสำคัญ ไม่ใส่ใจ เตือนสติเราว่ากำลังสวดมนต์ ก็มีสติดูที่ปากกำลังสวดมนต์ หรือ เอาสติ ให้รู้สึกอยู่ที่ลมหายใจ ..รู้สึกตัวในลมที่เข้าออก ..เราทำเพียงแค่นี้ อารมณ์นั้นก็หลุดลอยไปเพราะจิตเราไม่ไปยึด สติของจิตเกิดขึ้นอยู่ที่ลมเข้าออก ขันติอดทนภาวนาอยู่ลมเข้าและออก ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน
(เรื่องเสียงที่เราพูด ออกไป ที่เราเข้าใจว่า เป็นกล่องเสียง มันจะมีเรื่องของ จิตที่ไปเสียดสี กันธาตุทั้งสี เกิดเป็นเสียงออกมา แล้วจิตที่เสียดสีกับธาตุทั้งสี่ ก็เป็นสีอีกเหมือนกัน หากจิตดีๆ ก็จะเป็นสีเหลือง ไปเสียดสี กระทบสีดำ กระจายออกไป นั่นต้องใชอาศัย จิตเหมือนอยู่ในสมาธิ ไปเคลื่อนไปไหน สวดมนต์)
แล้วเวลาสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม นึกถึงว่า จิตของเราอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา เราขอนำธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา (เรื่องราวที่ให้นึกกายบิดามารดา นั้นจิตเราจะได้ เป็นผู้รู้จักคุณบิดามารดา ให้จิตเรารับรู้ว่าอาศัยกายบิดามารดาอยู่) มาสวดมนต์ภาวนา ให้จิตของเรามีพระเป็นที่พึ่ง กล่าวคำถึงผู้ที่มีจิตสูง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระอานนท์ พระสารีบุตร พระโมคคัลนะ พระอัครสาวกที่ท่านมีจิตสูง ..เรากล่าวไปเถิด เป็นคำสูงๆ แต่ว่าอย่าไปเรียกร้อง ..ตัวโลภโกรธหลงเข้ามา
..เพราะท่านสละทิ้งไปหมดแล้ว ทรัพย์สมบัติเงินทอง อะไรท่านทิ้งไปหมดแล้ว เรามากระทำเพื่อปลีกตัวจากอารมณ์ ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำเลย เพราะเป็นเรื่องสะสมเรื่องราวดีๆ ในคำว่าบุญกุศลบารมี เมื่อกระทำแล้ว ก็ควรสังเกตตัวเองด้วย ว่่าทำแล้วเป็นอย่างไร ..สบายใจปลอดโปร่งขึ้นมั้ย ต้องสังเกต สำรวจตัวเองด้วย ..
เรื่องของเรือเรื่องของกาย วันๆ เราเอาหัวเรือไปกระแทก ไปชนอะไรมาบ้าง ..เราก็ต้องหมั่นทบทวนตัวเอง ไปชนไปกระแทกบ่อยๆ กระแทกกับคลื่นลม คลื่นเล็กคลื่น ท่อนชุง ก่อสวะ หัวเรือก็บอบช้ำ แล้วจะไม่มึนงง ปวดหัวตัวร้อน เหมือนเป็นไข้ ได้อย่างไร .หัวเรือมันบอบช้ำ เลือดลมก็ติดขัด เลือดก็เปลี่ยนแปลงเป็นสีดำ..แล้วถ้าพายไปเจอะเจอ ไปจอดที่เค้ามีไฟประดับ สีเขียวสีแดง เหมือนไฟล่อแมงเมา ..เข้าไปจอด แล้วสนุกเพลิดเพลินจนลืมพายเรือ จอดตรงนี้ ..เค้าเรือกว่าเกยตื้นไปไหนไม่ได้แล้ว หมดโอกาสแก้ไข ..ต้องปล่อยให้เรือผุพังไป ..
โฆษณา