16 ส.ค. 2023 เวลา 03:52 • ท่องเที่ยว

หน้าฝน! เที่ยวท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว 2 วัน 1 คืน ด้วยงบคนละ 1,500 บาท

ก่อนอื่นต้องบอกว่าใครที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวหน้าฝน อยากเข้าป่า ภูเขา อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ประเทศลาวก็ถือเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลาย ๆ คน ที่อยากสัมผัสเสียงน้ำตก ธรรมชาติ ป่าไม้ เพราะที่ประเทศลาวทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มาก ทริปนี้จะพาทุกคนมาศึกษาเรียนรู้เส้นทางท่องเที่ยวที่ประเทศลาว เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน กันครับ
ใครที่ยังไม่มีหนังสือเดินทาง (Passport) ไม่ต้องห่วง สามารถนำบัตรประชาชนมายื่นทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวได้ที่ด่านศุลกากรนครพนม ซึ่งอยากแนะนำให้มาทำแต่เช้าหน่อย หรือมาทำล่วงหน้าก่อนวันเดินทางสัก 1 วัน จะดีมาก ๆ ค่าบริการเพียงคนละ 40 บาท แต่หนังสือผ่านแดนชั่วคราวจะสามารถอยู่ที่ลาวได้ 3 วัน เท่านั้น เมื่อมี Passport และหนังสือผ่านแดนชั่วคราว สามารถยื่นให้เจ้าหน้าที่แสตมป์ตราประทับ และเสียค่าบริการก่อนคนละ 60 บาท
จากนั้นก็เดินมารอที่ท่าเรือจะมีเรือจากฝั่งไทยมารับไปส่งที่ท่าเรือฝั่งลาว ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางข้ามแม่น้ำโขงประมาณ 15-20 นาที เมื่อถึงด่านท่าเรือฝั่งลาวที่เมืองท่าแขก จะต้องเตรียม Passport และหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ให้กับเจ้าหน้าที่ฝั่งลาวแสตมป์ตราประทับ และเสียค่าบริการก่อนคนละ 80 บาท (ทั้งขาเข้าและขาออก)
นั่งเรือข้ามน้ำโขง
เดินออกมาอีกนิดจะเจอเหล่าบรรดาผู้ประกอบการขนส่งมารอให้บริการ ทั้งรถยนต์ สามล้อ และมอเตอร์ไซค์ ส่วนการเดินทางครั้งนี้ผมและเพื่อน ๆ ตกลงกันว่าจะเช่ามอเตอร์ไซค์ เพราะจะได้ขับเลาะเที่ยวได้อย่างสบายใจ ซึ่งค่าเช่าถูกคิดในอัตราวันละ 300 บาท มีน้ำมันให้นิดหน่อย ขับไปสักพักเราสามารถเติมเพิ่มได้อีก 50-100 บาท (อ่อ.... ก่อนอื่นทั้งปวง ต้องแลกเงินลาวก่อนนะทุกคน)
สะพานระหว่างทาง
สถานที่แรก ก่อนอื่นต้องหาที่พักก่อนครับ ที่พักใกล้ริมโขงจะราคาสูงนิดหน่อย เราสามารถหาที่พักที่ห่างจากริมโขงออกไปได้จะได้เซฟค่าใช้จ่าย ซึ่งที่พักที่ห่างจากริมโขงออกไปก็จะตกราคาห้องละ 300-400 บาท (อัตราค่าเงินบาทลาว 55,409.10 กีบ = 100 บาท ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2566) หลังจากได้ที่พักจุดแรกที่พวกเราไปก็คือ ร้านคาเฟ่ริมโขง สั่งกาแฟดื่ม ระหว่างรอพักก็นั่งเช็กอินที่ประเทศลาวเก๋ ๆ
สักพักเราออกเดินทางไปที่พระธาตุศรีโคตรบอง ซึ่งเป็นพระธาตุพี่น้องกับพระธาตุพนมฝั่งไทย (พระธาตุศรีโคตรบองอยู่ตรงข้ามบ้านหนองจันทร์ อ.เมืองนครพนม) อยู่ห่างจากสำนักงานแขวงเลาะเลียบลงไปตามริมน้ำโขง ประมาณ 6 กิโลเมตร ซึ่งระหว่างทางที่เราขับมอเตอร์ไซค์บรรยากาศจะคล้ายกับบ้านเราที่ต่างจังหวัด แต่ต่างกันตรงที่อาคารบ้านเรือน วิถีชีวิต คนที่นี่เขาจะนำของมาวางขายตามซุ้มข้างถนน และมีปลาด้วย (น่าจะเป็นปลาน้ำโขง เพราะเรามาช่วงหน้าฝนพอดี)
เมื่อถึงพระธาตุศรีโคตรบอง ก่อนเข้าชมเราต้องซื้อตั๋วในราคา 5,000 กีบ หรือในราวคนละ 8-10 บาท ขึ้นอยู่กับอัตราค่าเงินบาทลาวในขณะนั้นด้วย ส่วนผู้หญิงห้ามใส่กางเกงขาสั้นมาเด็ดขาดครับ เพราะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่หากใครที่ใส่มาแล้วแต่อยากเข้าไป เขามีจุดให้เปลี่ยนผ้าซิ่นก่อนเข้าชม
“พระธาตุศรีโคตรบอง”
พระธาตุศรีโคตรบอง เป็นปูชนียสถานที่มีความสําคัญในอาณาจักรลาว มีความกว้างด้านละ 30 เมตร ฐานพระธาตุตั้งอยู่บนเนินสูง ซึ่งมีความสูงประมาณ 150 เมตร องค์พระธาตุมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีความกว้างด้านละ 14-33 เมตร และยอดพระธาตุมีลักษณะเป็นรูปดอกบัวตูม ซึ่งเป็นศิลปะแบบลาวแท้ พระธาตุศรีโคตรบองถูกสร้างโดยพระสมินทะราช แห่งราชอาณาจักรศรีโคตรบอง เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ และที่นี่ยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 คือ พระกะกุสันโท, พระโกนาคะมะโน, พระกัดสะโบ และพระโคตะโม
ซึ่งทุกปีจะมีงานประจำปีคล้ายกับงานพระธาตุธาตุพนมที่ฝั่งไทย สามารถขอพรได้แต่มีความเชื่อกันว่าไม่ควรขอพรเรื่องความรัก เพราะจะไม่สมหวังนะ ถัดจากพระธาตุศรีโคตรบอง ข้าง ๆ จะมีพระอุโบสถ ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปให้พุทธศาสนิกชนชาวลาว ไทย และนักท่องเที่ยวได้กราบไหว้ บูชา ขอพร และภายในพระอุโบสถยังมีภาพวาดที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองในสมัยล้านช้างอีกด้วยครับ
พระอุโบสถข้าง “พระธาตุศรีโคตรบอง”
ออกจากพระธาตุศรีโคตรบอง เราขับมอเตอร์ไซค์เลาะชมวิวและจอดพักริมน้ำโขงสักนิด ชมบรรยากาศมองเห็นริมโขงฝั่งไทยก็สวยไม่แพ้กัน จากนั้นเราก็ไปที่เซ็นเตอร์พ้อยท่าแขก ที่นี่ก็มีของกินเยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะอาหารตามสั่ง และยังมีร้านนั่งดื่มฟังเพลงในช่วงตอนเย็นด้วย
เราใช้เวลาในจุดนี้นานมาก ใครที่อยากลิ้มลองเครื่องดื่มสัญชาติลาวจัดไปเลยครับเพราะราคาถูกมาก เพลงที่นี่ก็เพราะเราสามารถร้องตามได้เพราะนักร้องที่นี่เขาร้องเพลงไทยกันทั้งหมดเลย สนุกครับรู้สึกอุ่นใจเหมือนอยู่บ้านเรา แต่จะต่างสถานที่นิดหน่อยก็เรามาต่างประเทศนิเน๊าะ อิอิ จากนั้นเราก็เข้าโรงแรมพักผ่อน 1 คืน ที่ประเทศลาว
วิวริมโขงหลัง “พระธาตุศรีโคตรบอง”
ตื่นเช้าวันที่สอง อาจสายนิด ๆ เพราะรู้สึกหนักหัวไปหน่อยจากเมื่อคืนนี้ เราตื่นทำธุระเสร็จรีบออกมา Check Out จากโรงแรม เพราะเราต้องทำเวลาให้ได้เยอะที่สุด เรายังมีอีก 2 สถานที่ที่เราจะไปกันต่อ ออกจากโรงแรมแวะทานอาหารเช้าในเมืองท่าแขกเติมพลังก่อนเดินทาง ซึ่งอาหารเช้าของเราก็คือเฝอลาวกับน้ำซุปหอม ๆ มีหลายเส้นให้เลือก แต่ผมเลือกเส้นข้าวเปียก เพราะมาถึงถิ่นต้องกินเฝอให้ได้ ที่นี่มีผักเสริฟให้ด้วย คล้าย ๆ กับก๋วยเตี๊ยวบ้านเราเลยครับ
จากนั้นก็เข้าร้านคาเฟ่เติมพลังงานตามสเต็ป จากนั้นเราออกเดินทางกันต่อท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาตลอดเส้นทาง ซึ่งพวกเราตั้งใจว่าจะมาเที่ยวด้วยการแว๊นมอเตอร์ไซค์กันครับ มันได้ฟิวบรรยากาศมาก ออกจากตัวเมืองไปสักพักประมาณ 10 กิโลเมตร สองข้างทางจะเริ่มเห็นภูเขาสูงที่เต็มไปด้วยต้นไม้ป่าไม้สีเขียว ชื่นใจมาก ๆ จนอดที่จะจอดรถแวะถ่ายรูปเช็กอินไม่ได้
สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสถึงความน่ารักของคนที่นี่คือ ทุกคนจะรู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว ซึ่งนอกจากการบีบแตรขณะที่จะแซงเราทุกครั้ง (ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของที่นี่) เรายังเห็นรอยยิ้มทักทายจากมิตรภาพระหว่างทางที่เขาส่งให้กับเรา มันช่างอุ่นใจสุด ๆ ยิ่งออกไปลึกมากเท่าไหร่ยิ่งเห็นภูเขาป่าไม้สีเขียวสวย ๆ มากขึ้นเท่านั้น ดีต่อใจสุด ๆ สำหรับการเดินทางครั้งนี้
ระหว่างทาง
สถานที่แรกของวันนี้ที่เราเข้าก็คือ “ถ้ำนางแอ่น” จะมีเก็บค่าบริการก่อนเข้าคนละ 40,000 กีบ หรือตีเป็นเงินไทยคนละไม่เกิน 100 บาท เข้าไปประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงลานจอดรถ ที่นี่มีร้านอาหาร ให้เราได้ทานข้าวกัน เช่น อาหารตามสั่ง สุกี้ แจ่วฮ้อน เนื้อย่าง (หมูกระทะ) แต่ราคาแอบค่อนข้างสูง ซึ่งก็เข้าใจว่านี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็คล้าย ๆ กับบ้านเราแหล่ะ
เราสั่งอาหารไปไม่กี่อย่าง มีแกงหน่อไม้ (อร่อยมาก รสชาติกลมกล่อมในแบบต้นฉบับต้องลองนะ) ไก่ย่าง ข้าวเหนียว และยำ 2 จาน รวมเบ็ดเสร็จตอนเช็คบิล 331,000 กีบ = 500 กว่าบาท จากนั้นเราก็เดินเข้าไปในถ้ำ จะมีน้ำตก และข้างในจะมีไฟส่องสว่างภายในถ้ำหลากสีมาก (ความรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำที่หลุดมาจากละครเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ประมาณนี้) แต่สวยจริง ๆ ข้างในจะมีน้ำไสและเย็นมากหยดลงพื้นตลอดทาง
มีนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาเที่ยวชมเยอะ แต่ใครที่มาต้องระวังด้วยเพราะมันลื่น หินข้างในถ้ำเย็นและมีลักษณะแปลกประหลาด เป็นหินปูนงอกเงยออกมา เดินขึ้นไปข้างบนจะมีปล่องปากถ้ำซึ่งเราสามารถเดินออกไปสูดอากาศรับโอโซนเข้าปอดได้เต็มที่ วิวสวย มองออกไปจะเห็นต้นไม้ หุบเขา พืชพรรณนานาชนิดเรียงขึ้นตามซอกหิน มันฟินมาก พักเหนื่อยสักพักเรากลับลงไปด้านล่างของถ้ำ จะมีน้ำตกขนาดใหญ่ และมีน้ำไหลผ่านในถ้ำ เราสามารถนั่งพายเรือได้แต่ต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อความปลอดภัย
ภายใน “ถ้ำนางแอ่น”
ทางเข้า “ถ้ำนางแอ่น”
พิกัดถ้ำนางแอ่น :
สถานที่สองคือ “ขุนน้ำคำดิบ” เส้นทางง่ายมากครับ เราออกมาจากถ้ำนางแอ่นเลี้ยวขวาเดินทางไปเรื่อย ๆ วันที่เราไปไม่มีข้อมูลอะไรเลย ซึ่งรู้ข้อมูลจากคนในพื้นที่ว่าที่นั่นมีน้ำตกเราเลยขับไปตามถนนและจอดแวะถามกับชาวบ้านไปเรื่อย ๆ จนได้ข้อมูลว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ในเขตหมู่บ้านเหล่านาคำ เมืองมะหาไซ แขวงคำม่วน (ตรงข้าม อ.ท่าอุเทน ฝั่งไทย) ทางเข้าไปมหาโหดมาก รู้เลยว่าหากขับเร็วมอเตอร์ไซค์คงไถลได้แผลแน่ นอกจากผิวถนนจะอันตราย ระหว่างทางคดโค้ง สูงชันด้วย
ระหว่างทางไป “ขุนน้ำคำดิบ”
วิวทางขึ้น “ขุนน้ำคำดิบ”
เราได้ขับไปเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ แต่.... ข้างบนมันสวยมาก ระหว่างที่ฝนตกลงมาเรามองลงไปเห็นหุบเขา หมอกควันจากป่า วิวสวยจนอดที่จะแวะถ่ายรูปไม่ได้ และหลังจากที่เราแวะถ่ายรูปสักพักเราก็ขับไปต่อ จากปากทางเข้าจนถึง “ขุนน้ำคำดิบ” สถานที่เล่นน้ำ น่าจะประมาณ 5 กิโลเมตร พอไปถึงจุดหมายปรากฏว่า... น้ำเยอะมากทุกคน เราคาดหวังว่าจะมาลงเล่นน้ำเย็น ๆ แต่ไม่ได้จริง ๆ หน้าฝนน้ำเยอะ แต่ก็ยังมีผู้คนมาเที่ยว มาทานข้าวกันเยอะพอสมควร
“ขุนน้ำคำดิบ” บ้านเหล่านาคำ เมืองมะหาไซ แขวงคำม่วน สปป.ลาว
ซึ่งไหน ๆ ก็มาถึงที่ละ ดีหน่อยที่เขามีสะพานให้เดินข้ามเดินชมบริเวณโดยรอบได้ ตรงนี้หากใครอยากมาเล่นน้ำแนะนำให้มาช่วงต้นฝน หรือปลายฝนต้นหนาว น้ำน่าจะไสและพอดีเล่นได้ ตรงนี้ก็ถือว่าสวยครับหากมาในช่วงที่เหมาะสม เพราะจะมีน้ำไหลผ่านลงมาเป็นน้ำตกขั้นบันได เราอยู่จุดนี้สักพักก็เดินทางกลับเพราะกลัวถึงด่านเรือค่ำจึงต้องรีบออกมา แต่ระหว่างทางความเป็นธรรมชาติในหน้าฝนสวยมากจริง ๆ คะแนนเต็ม 10 ให้ 20 ไปเลย ใครอยากมีเที่ยวเอาฟิวหน้าฝนชมธรรมชาติป่าไม้สีเขียว อยากให้มาในแบบพวกเราสนุกมากจริง ๆ
“ขุนน้ำคำดิบ”
เราออกเดินทางมาถึงด่านท่าเรือที่เมืองท่าแขก ประมาณบ่ายสามกว่า ๆ ยื่นเอกสารการเดินทางให้กับเจ้าหน้าที่เหมือนเคย เพื่อรับตราประทับในหนังสือเดินทาง ลงเรือข้ามมายังฝั่งไทยโดยสวัสดิภาพประมาณ 4 โมงเย็น ทริปนี้ทำให้เรามีความสุขมากกับการเดินทางในช่วงหน้าฝน ได้ประสบการณ์ เรียนธรรมชาติสิ่งใหม่ มิตรภาพระหว่างทางน่ารักมากจริง ๆ สรุปแล้วทริปครั้งนี้เราใช้เงินไปประมาณคนละ 1,500 บาท หลังจากบวกลบคูณหารแล้ว ปีหน้าเราสัญญาว่าจะกลับมาย้อนความทรงจำหน้าฝนกันอีกครั้ง แล้วเจอกันใหม่ประเทศลาว สะบายดี.
ระหว่างทางไป “ขุนน้ำคำดิบ”
ภาพ/บทความ : พัฒนะ พิมพ์แน่น
โฆษณา