16 ส.ค. 2023 เวลา 07:10 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Wandering Earth 2 โลกทั้งใบ ต้องไปด้วยกัน

แน่นอนว่าหนังโลกเผชิญหายนะอย่าง The Wandering Earth 2 ของจีน ต้องมองหนังแนวทางหายนะของโรแลนด์ เอ็มเมอริช รวมไปถึง Armageddon ของไมเคิล เบย์เป็นต้นแบบ แล้วมันก็ทำให้เห็นว่าวิธีคิดของหนังหายนะแบบ ฮอลลีวูดกับจีนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน ในขณะที่หนังฮอลลีวูดมักมีสูตรตายตัวและการเผชิญหน้ากับหายนะมักสร้างวีรบุรุษที่เป็นปัจเจกชนขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็ใส่ตัวละครในลักษณะที่เป็นคนเห็นแก่ตัวที่ผู้ชมพร้อมใจเกลียดและเชียร์ให้เจอหายนะภัยตามท้องเรื่อง
แต่ The Wandering Earth 2 เราจะไม่ได้พบกับตัวละครที่มีความเห็นแก่ตัวเอาตัวเองรอดเป็นหลัก ในขณะเดียวกันวีรบุรุษที่เป็นปัจเจกถูกหลอมกลืนไปกับท้องเรื่องกลายเป็นความร่วมไม้ร่วมมือใจของคนทั้งโลกที่จะผ่านพ้นวิกฤตภัยไปให้ได้ แม้ว่าหนังจะต้องมีตัวเอก แต่มันก็เป็นเพียงสถานการณ์บังคับให้จำต้องตัดสินใจทำเรื่องที่สำคัญหรือเสียสละ แต่ลึกลงไปแล้วพวกเขายึดส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว สะท้อนภาพประเทศชาติและสังคมต้องมาก่อน มันอาจจะเป็นแนวคิดที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามจะฝังลงไปใน จิตใต้สำนึกของคนจีนก็เป็นได้
แน่นอนว่าคนจีนอาจจะไม่ได้มีแนวคิดเรื่องวีรบุบุษแบบที่หนังแสดงออกมา แต่มันก็ทำให้เห็นว่าอุดมการณ์พรรคอยู่เหนือตัวบุคคล อาจจะเป็นเพราะวิธีคิดแบบนี้กระมั้งที่ทำให้สื่อทางตะวันตกส่วนใหญ่ มักจะโจมตีหนังจีนที่มีแนวคิดประเภทนี้ว่าเป็นงานโฆษณาชวนเชื่อ หนังอย่าง Wolf Warrior Operation Red Sea The Battle at lake Changjin รวมไปถึงThe Wandering Earth ด้วยถูกมองว่าเป็นงานโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์
สื่อตะวันตกต่างพากันด้อยค่าประเมินคุณค่าในตัวงานต่ำลงอย่างเห็นถึงอคติ ไม่ได้นึกเลยว่าพวกเขาเองก็มีแรมโบ้ มี Top Gun และมี ID4 หนังสงครามโฆษณาชวนเชื่อออกสู่สายตาชาวโลกที่มากกว่าหนังจีนซะอีก ที่จริงก็อ่านเจอในหลายสื่อตะวันตกที่พูดถึงหนังโฆษณาชวนเชื่อทางฮอลลีวูด แต่พอรับได้เพราะมันมาจากโลกเสรี
หรืออีกนัยหนึ่งบรรดาสื่อใหญ่ๆ บางทีก็ทำให้ผมรู้สึกคิดไม่ได้ว่ากลายเป็นเครื่องมือของนายทุนเช่นกัน เพราะถ้าหากปล่อยให้หนังจีนเติบโตไปเรื่อยๆ เพราะด้วยขนาดของตลาดและทรัพยากรด้านอื่นๆ แล้ว ถึงแม้หนังจีนจะยังแข่งขันกับหนังฮอลลีวูดไม่ได้ แต่ก็สามารถเปิดตลาดทั่วโลกได้ เผยแพร่วัฒนธรรมจีนได้
หลายเดือนที่แล้วตอนที่หนัง The Wandering Earth 2 ออกฉายใหม่ๆ ผมลองเข้าไปอ่านบทวิจารณ์ในสายตาของฝรั่งอย่างสื่อนิวยอร์คไทม์ เดอะ การ์เดี้ยน ฯลฯ ส่วนใหญ่จะออกมาว่าประเด็นโฆษณาชวนเชื่อ แต่พอมาดูในเว็บมะเขือเทศเน่า กลับพบว่าคะแนนของทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมที่มีต่อ The Wandering Earth 2 นั้นสูงมากโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชมที่สูงถึง 97% แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ถูกใจผู้ชมแน่ๆ
.......
ในหนังภาคแรกนั้นผู้กำกับ Frant Gwo ได้เงินทุนมาทำหนังประมาณ 50 ล้านเหรียญแต่ปรากฏว่า เขาใช้เงินหมด ในขณะที่ยังเหลืองานใหญ่อย่าง CG ที่ต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้หนังเดินหน้าต่อ อู๋จิงดารานำจึงควักเงินส่วนตัวสมทบทุนเข้าไปให้ทำ CG จนหนังเสร็จออกฉายทำเงินอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เริ่มมีการพูดถึงภาคต่อ ซึ่ง Frant Gwo กล่าวบอกว่าเขาต้องการทำภาคต่อเพื่อแก้ไข งาน CG ในภาคแรกให้ตรงตามที่เขาต้องการ
จริงๆแล้ว CG ใน The Wandering Earth ภาคแรกก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ งานสร้างเหนือกว่าระดับมาตรฐานโดยทั่วไปของ CG ในหนังจีน เป็นงานที่ยกระดับ CG จีนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้กำกับคิดว่าเขาน่าจะทำได้ดีกว่านี้ จึงอยากจะแก้ตัวใหม่ในภาค 2 แต่เมื่อภาคแรกปิดเรื่องด้วยหลิวไปเฉียง(อู๋จิง)นักบินอวกาศตัดสินใจขับยานอวกาศเข้าไปจุดระเบิดดาวพฤหัสบดีเพื่อผลักดันโลกให้กลับสู่วงโคจรเสียชีวิตไปแล้ว เป็นปัญหาใหญ่ของภาค 2 จะเดินเรื่องอย่างไร
ทางออกคือตัดสินใจที่จะสร้าง Prequel หรือเรื่องราวก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ในภาคแรก เพื่อที่จะได้นำอู๋จริงกับสู่หนังอีกครั้งพร้อมเสริมด้วยหลิวเต๋อหัว และความยาวของหนังเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 45 นาที กลายเป็นหนังที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง
หนังภาคนี้ขยายขอบเขต จากการเป็นหนังหายนะในภาคแรกไปสู่การวางซับพล็อตหรือเรื่องรองที่มีรายละเอียดมากขึ้น เมื่อ UEG หรือ United Earth Government ได้เลือกโครงการ Moving Mountain หรือเขยื้อนภูผาของจีนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตสุริยะ โครงการเขยื้อนภูผาจะเป็นการสร้างเครื่องยนต์ 10,000 เครื่องที่เรียกว่า Earth Engine เพื่อขับเคลื่อนโลกเดินทางไปในระบบสุริยะจักรวาล 2500 ปีไปสู่ Alpha Century เพื่อตั้งรกรากใหม่ในจักรวาลอื่น
ในขณะเดียวกันมันก็มีอีกหนึ่งโครงการทางเลือกที่จะรักษาอารยธรรมของมนุษยชาติเอาไว้ นั่นก็คือโครงการดิจิตอลไลฟ์โปรเจค(DLP) ที่จะสามารถช่วยให้มนุษย์มีชีวิตผ่านเทคโนโลยีได้ โดยการอัพโหลดความทรงจำของมนุษย์เข้าไปในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในรูปแบบของดิจิตอล ซึ่งเป็นโครงการที่สาธารณะชนชื่นชอบมากกว่า แต่เมื่อ UEG เลือกโครงการเขยื้อนภูผา จึงทำให้ผู้สนับสนุนดิจิตอลไลฟ์จำนวนหนึ่งก่อการร้ายเพื่อหวังจะล้มล้างโครงการเขยื้อนภูผา
แต่ในแง่ของความเป็นไปได้แล้วโครงการดิจิตอลไลฟ์โปรเจคยังเป็นเพียงแค่ต้นแบบที่อยู่ในระหว่างการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาใหญ่นั่นก็คือ เสถียรภาพในการที่จะทำให้จิตวิญญาณของมนุษยชาติแต่ละคน สามารถย้ายเข้าไปอยู่ในเครือข่ายดิจิตอลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เนื้อหาใน The Wandering Earth 2 กินเวลาหลายสิบปี โดยเล่าเรื่องเป็นช่วงๆ ตลอดระยะเวลาของการทำโครงการเขยื่อนภูผามีอะไรเกิดขึ้นกับมนุษยชาติบ้าง ซึ่งเรื่องย่อยที่หนังโฟกัสมีอยู่ 3 ส่วนด้วยกันนั่นก็คือโครงการดิจิตอลไลฟ์โปรเจคที่วิศวกรตู่เฮงหยูซึ่งหลิวเต๋อหัวแสดงนำนั้น พยายามที่จะผลักดันโครงการนี้ให้สำเร็จ เขามีจุดประสงค์ส่วนตัวคือต้องการนำเอาจิตใจของลูกสาววัย 10 ขวบที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์กลับคืนมามีชีวิตอีกครั้งในรูปแบบดิจิตอล
ส่วนเหตุการณ์ที่สองคือเรื่องราวของหลิวไปเฉียง เราจะเห็นว่าเขาเป็นทหารได้อย่างไร เป็นนักบินอวกาศได้อย่างไร ได้เห็นเขาแต่งงานและสร้างครอบครัว ส่วนสุดท้ายคือเรื่องราวของตัวแทนจีนใน UEG ที่พยายามผลักดันโครงการ Moving Mountain
ความที่หนังมีโครงเรื่องย่อยมากมายและกินเวลานาน มันจึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเรื่องค่อนข้างยืดเยื้อและจับต้องได้ค่อนข้างลำบาก แต่ในขณะเดียวกันความมั่นใจของผู้กำกับความกล้าที่จะใช้เวลามากในการเล่าเรื่องแต่ละส่วน จนทำให้ทั้ง 3 ส่วนมีความสมบูรณ์ในตัวเอง และไปบรรจบกันในองก์สุดท้ายเมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤต ที่ทุกคนจะต้องเสียสละเพื่อให้โลกเคลื่อนออกจากระบบสุริยะจักรวาลให้ได้ ซึ่งมันสะท้อนความคิดสังคมมาก่อน ความเสียสละและความสามัคคีจะช่วยแก้ปัญหา อย่างที่พวกเขาทำในวิกฤติโควิด19
อารมณ์ตรงนี้คือจุดที่เด่นมากๆ ของหนังที่ทำได้ดีตั้งแต่ภาคแรกแล้ว ในหนังภาคแรกตรงฉากสุดท้ายที่หน่วยกู้ภัยพยายามส่งเสียงทางวิทยุขอให้หน่วยกู้ภัยอื่นๆเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเครื่องยนต์ Earth Engine ให้ทำงานได้โดยผ่านเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กหญิง เป็นฉากที่ผมรู้สึกอินไปกับเรื่องมากๆ
จริงๆแล้วมันก็เหมือนกับฉากประธานาธิบดีสหรัฐพูดปลุกใจใน ID4 แต่ใน The Wandering Earth ไม่ใช่คำพูดปลุกใจแต่มันเป็นคำพูดขอความช่วยเหลือที่บริสุทธิ์ใสซื่อมาจากปากเด็กผู้หญิง แล้วมันส่งตรงสู่ใจผมค่อนข้างมากจนถึงกับน้ำตาแทบไหลตอนที่ได้ดูหนังภาคแรก
ในหนังภาค 2 มีฉากในลักษณะเดียวกัน เมื่อจำเป็นต้องขอสละชีวิตมนุษย์จำนวนหนึ่งในการจุดระเบิดนิวเคลียร์ เราจะได้เห็นผู้คนต่างอาสาทำหน้าที่นี้ เมื่อผู้บังคับกองของจีนเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นอาสาสมัครเขา รีบดึงมือเด็กคนนั้นลงพร้อมกับตะโกนปลุกใจ ขอให้ทหารที่มีอายุมาร่วมกันทำหน้าที่นี้ เหล่าทหารมีอายุในกองร้อยต่างก็ก้าวออกมาอย่างไม่ลังเล พร้อมกันนั้นทหารจากประเทศอื่นๆที่มีอายุมากก็พูดในเชิงเดียวกัน เราได้เห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของการเสียสละ
ฉากแบบนี้มันเป็นฉากเรียกน้ำตาที่บอกว่ามันโคตรจะน้ำเน่าเลย
ถ้าทำได้ไม่ดีมันจะให้ความรู้สึกน้ำเน่ามากๆ ผมไม่รู้ว่ากับฉากนี้ผู้ชมท่านอื่นเป็นอย่างไร แต่สำหรับผมเกิดอาการน้ำตาเอ่อขึ้นมาที่หางตาอีกครั้ง แล้วมันทำให้เห็นว่าไม่ว่าหนังของคุณจะมีเรื่องที่ปลีกย่อยมากแค่ไหน ใช้เวลายาวนานในการเล่าสักเพียงใด ถ้าหากบทสรุปของเรื่องมันทำให้อารมณ์ของผู้ชมขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ ในที่นี้มันคือการเรียกความรู้สึกสะเทือนใจ สิ่งที่เป็นข้อด้อยทั้งหมดก่อนหน้านี้ถูกมองข้ามไปได้ แล้วมันดันไปสอดคล้องกับธีมของเรื่องที่มนุษยชาติจะพ้นภัย โลกทั้งใบต้องเคลื่อนไปพร้อมกัน
โดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบหนังที่มีอารมณ์แบบนี้ อย่างนั้นเกิดมาลุยของไทย ที่บรรดานักกีฬาต่างพาเอาทักษะกีฬามาต่อสู้กับผู้รุกรานจากต่างประเทศ จริงๆตัวหนังไม่ได้ดีมากแต่พอฉากสุดท้ายในช่วงไคลแม็กซ์ที่แต่ละคนรวมกำลังสู้เพื่อชาติเพื่อชุมชนเพื่อสังคมนั้น กลับเป็นฉากที่ผมชอบแล้วก็ทำให้เอาหนังเรื่องนี้กลับมาดูได้บ่อยครั้ง
ความรู้สึกหนึ่งที่ดูหนังเรื่องนี้จบลงคือความทะเยอทะยานของผู้กำกับที่มีมากกว่าภาคแรกไปไกลโข โดยเฉพาะงานทางด้าน CG ที่ผมรู้สึกว่าเขาใช้หนังเรื่องนี้เป็นเหมือนงานทดลองว่าทีมงานจีนสามารถทำเทคนิค CG ได้ในระดับใด จึงใส่ฉากใหญ่เข้ามามากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ฉากสู้รบในอากาศยานเหมือนกับสตาร์วอร์ รวมไปถึงฉากการทำลายล้าง การออกแบบเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
เหมือนกับว่า งาน CG ใน The Wandering Earth 2 จะเป็นสารตั้งต้นหากหนังจีนจะมุ่งไปยังงานสายไซไฟขาย CG มากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เห็นใน The Wandering Earth 2 นั้นต้องบอกว่า พวกเขาทำได้ใกล้เคียงงานจาก Hollywood มากขึ้นแล้ว ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นหนังสงครามระหว่างดวงดาวแบบ Star Wars ในหนังจีนก็ได้เพราะฉากต่อสู้ทางอากาศยานในหนังเรื่องนี้ ทำได้น้องๆ Star Wars เลย และสิ่งที่เห็นเปลี่ยนแปลงชัดเจนไปจากภาคแรกก็คือการเรนเดอร์ภาพ CG นั้นดีขึ้นกว่าเดิมและเนียนตามากๆ
The Wandering Earth 2 คือหนังภาคต่อไม่กี่เรื่องที่หลังจากดูจบแล้วผมยังอยากเห็นภาคต่อๆไป 8 เต็ม 10
โฆษณา