16 ส.ค. 2023 เวลา 14:50 • ปรัชญา
เรื่องราวของศาสนา เรื่องของพระพุทธ ศาสนา เป็นเรื่องของการสร้างบุญกุศลบารมี เราควรศึกษา ใเรื่องของชาดกให้ดี เรื่องของบารมีสิบทัศน์ เป็นเรื่องราวของการสร้างบุญกุศลบารมี การให้ทาน การไม่ยึดถือ อะไรเลย ดูร่องรอยองค์พระสิทธัตถะ ในชาติสุดท้าย ที่ต้องสละเวียงวัง พ่อ..ลูกเมีย ตัดขาด ให้หมด ..แล้วไปอยู่องค์เดียว ..แล้วก็มีเจ้าชายเศรษฐี สละบ้านช่อง ทรัพย์สินเงินทาน เข้าป่า ..นั้นเป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญญาธรรม ที่ท่านสามารถตัดขาดได้ ไม่หันหลังกลับมายึดถืออีก
ส่วนเรื่องราวไสยศาสตร์ นั่นมันทำแตกต่าง ตรงกันข้ามกัน ทำให้เพิ่มทิฐิมานะ ทะเยอทะยาน ให้ยึดถือให้มันเพิ่มขึ้น เรื่องไสยศาสตร์ เข้ามีฤทธิ์ของเค้า แต่นำพาให้ทุกข์มากขึ้น อยากเป็นใหญ่เป็นโต .ห้อมล้อมด้วยบริวาร ห้อมล้อมด้วยโลกธรรมแปด .. ยิ่งตอนที่จิตออกจากร่าง ไปลงอบายภูมิ
เรื่องราวของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของการสลัด ลดละอารมณ์ โลภโกรธหลง อารมณ์กรรมให้ลดน้อยลงไป ลดละความหลง ความยึดถืออะไรให้น้องลง แม้เรื่องของการภาวนา ให้มีสติอยู่ที่ลมหายใจ เพราะที่ลม นั้นมันไม่มีอะไรให้ยึด .ถือ ก็ฝึกให้จิตไปอยู่กับลม ..หายใจ ไม่มีตัวตนอะไรให้ยึดถือ ไม่ต้องนึกคิด ให้จิตสติ อยู่ที่ลมเข้าออก ไม่ต้องไปก้มหน้าก้มตาท่องคาถา
เมื่อท่องคาถาท่องไปมาก ยึดแน่นเข้ามาเข้า เป็นมิจฉาสมาธิเกิดขึ้น .อะไรมันเกิดขึ้นมา เข้ามาในกาย ..มันก็ไม่มีสติที่จะไปรู้เท่า หรือพิจารณาอะไรได้ เพราะจิตไปยึด เรื่องราวของคาถาอาคม แล้วมันก็ไปดึงสีดำๆ เข้ามาในกาย กายนั่นก็ไม่ผ่องไส. เลือดก็เป็นสีดำ
ชีวิตก็ค่อยตกต่ำไปเรื่อย จะไปกราบพระ นั่งสมาธิเพื่อ..การปล่อยวาง ก็จะทำไม่ได้ .. แต่ไปนั่งท่องคาถาอาคมทำได้ ถ้าเป็นชราบ้าน หิ้งพระ..หิ้งบูชา ก็ดูรก..บางที่ก็มีอยักใย่ ฝุ่นเลอะเทอะ ไม่เคยเก็ยกวาดเลย บางคนก็อาจมองว่าเป็นเรื่ิงปกติ แต่มันก็บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง กิริยาของผู้ที่อยู่กับเรื่ิงราวไสยศาสตร์ .. หน้าตาหมองค้ำ เบ้าตาบางคนดำ เหมือนเขม่าจับ เนื้อตัวดำ
..บางคนก็ซีดไม่สีเลือดเลย เวลาหงุดหงิด อารมณ์ก็จะรุนแรง ทำลาย. ที่ว่าทำลายตนเอง ชีวิตมันจะตกต่ำไปเรือยๆ ที่สุดก็อยู่ลำบาก .ทำอะไรไม่ขึ้น ไม่ดีขึ้น ..เจ็บป่วยหาสาเหตุไม่ได้
เมื่อตอนเรียนจบทำงานไดระยะหนึ่ง เพื่อนชวนไปเป็นเพื่อน ..ไปหาร่างทรง ..ไปรดน้ำมนต์ เราก็ยืนดูเค้ารด รดแล้วทำไมเห็นตัวเพื่อนเหมือนเป็นมันเงาดำ ..แต่ก็ไม่คิดอะไร ร่างทรงทักให้เราเลิกเหล้า เราก็บอกไปผมเลิกไม่ได้ เพราะงานที่ทำมันมีเรื่องที่ต้องกินเหล้า เข่นเค้าไปเวียดนาม .ไปเจอะเจอคนที่เราติดต่อ ..มาชวนกินเหล้า หากไม่กินมันก็ว่าไม่ใช่เพื่อน มันเอาเหล้ามาตั้งที่โต๊ะ เหล้าขวดลิตร นั่งหันหน้าขนกัน มีแก้วกันคนละใบ รินเต็มแก้ว วัดให้เท่าเสมอกัน แล้วก็ยกชด ..ดูว่าใครจะเมา หัวขมำก่อนกัน
เราก็บอกเค้าว่า เราไม่เลิก ..ตอนหลัง เพื่อนก็พาไปอีก คราวนี้ เค้าจะทำพิธีสวดบทพระเวท เราก็ดูที่หิ้งพระเค้า มีเทวรูป อะไรแปลกๆ มีพระพุทธรูปวางต่ำกว่ารูปเทพ ..เค้าสวดนาน .เราก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็นั่งท่องอิติปิโส นึกถึงพระพุทธเจ้าที่เรานับถือท่าน สวดเป็นชั่วโมงๆ แล้วตอนช่วงใกล้จะจบ ก็เป็นภาพชายสี่กร .นั่งตรงหน้าเรา มีเสียงออกมาให้ทำตาม ท่าทางที่เค้ารำ ..เราก็ยิ่งกดมือเราที่หน้ากด ไม่ให้ขยับเขยื้อน ..ก็ฟังเค้าไปจนจบ ตอนหลัง ร่างทรงก็เอาเหล้ามานั่งกินด้วยกัน
เรื่องราวที่เราไปเห็นภาพสี่กรตินที่เค้าสวดบทพระเวท มันค้างคาใจ ..จนมีโอกาสไปเจอพระที่เรานับถือ ครั้งแรก ท่านก็บอกว่า คนที่จิตเค้าแข็ง เค้าส่งภาพส่งเสียงเข้ามาในจิตเราได้ ..เราหังครั้งแรกจากท่าน ก็สงสัยเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะถามท่าน ..ตอนหลังๆ เราท่านบอกให้เรียนรู้ เพราะมีคนมาทำเรื่องราวไสยศาสตร์ถึงกุฏิ
ท่านบอกว่า เค้าเอามาให้เรียนรู้ ..เราไม่ได้เป็นคนทำ ..เค้าจะให้ทำอะไร ทำพิธีอะไร เค้าให้เราไปนั่งในที่เค้าจะทำ ..เหมือนว่าดี ..แต่สิ่งนั้น เราก็ได้เห็นอะไร..ที่ตัวคนทำพิธี ..แล้วยังมีเรื่องราวแปลกๆ เหมือนหนังกำลังภายใน เรื่องกระชากวิญญาณให้ดู ..
เราเห็นเค้าดึงเรา ก็นึกว่าทำกันแบบนี้เลยหรือ เราก็ดึงจิคเรา..กลับ ..ตัวเค้าก็หงายท้อง ปีนออกนอกหน้าต่าง ๆ มันก็เลยเป็นที่มาที่ไปได้เรียนรู้เรื่องราวไสยศาสตร์ ที่เค้าทำมา ส่งมาอีก ..เรื่องมันทำให้ท้้งเจ็บปวด มีนงง เรื่ิองวัวธนูก็มีมา ..เรื่องผีพราย ก็ทำเอาไตรั่ว เพราะนอนไม่ได้เป็นเดือนๆ
เรื่องพวกนี้หากเราไม่หมั่นสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศล เราก็คงแย่เหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องราวของไสยศาสตร์ที่ฟื้นฟู ไปที่ไหน มีแต่ให้ร่ำรวย ยศฐานบรรดาศักดิ์ ร่ำรวยโชควาสนา ส่งเสริมให้คนมันโลภ ต้องมีอะไรใหญ่ๆโตๆ ตรงกันข้ามกับที่ต้นตอศาสนา ท่านกระทำ ที่มุ่งไปหาความสุขสงบ สมถะ ..บ้างก็เลยเถิด หาว่าสมถะโง่เง่าเต่าตุ่น ..ก็ตัวเองทำไม่ได้ ก็ว่าคิดว่าตนเองนั้นดีแล้ว ..มันกลับมองคนละมุมไปเลย
แล้วสิ่งที่ที่รู้ยาก เรื่องไสยศาสตร์ ..เอาเข้าง่าย..แต่เอาออกยาก ..เวลาเอาออก ก็ทุกข์ทรมานมาก เหมือนถลอกเนื้อถลอกหนังออก .เจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก แล้วไสยศาสตร์ ก็ทำให้เกิดเลือดลมเป็นพิษ เป็นมะเร็ง ซึมเศร้า โรคที่หาสาเหตุไม่พบ หรือหายตรงนั้น ผุดตรงนี้ พระที่เรานับถือท่านบอกมา ..เราก็สงสัย ยังไปถาม ตาที่ท่านเรียนไสยศาสตร์จากเขมร ..ท่านก็บอกว่า จริง..
คราวนี้เราก็มาสังเกต ความยึดถือพฤตกรรมของคนเรารู้จักเป็นมะเร็ง รายที่เรารู้จัก ไปทอดกฐิน กลับมา ..ป่วยบ่นให้คนฟังว่า ที่คอมันปวดแสบปวดร้อน ..เหมือนผีกระสือห้อยคอ .. เรื่องราวพวกนี้ มันก็บอกกันยาก เพราะคนที่มีเรื่องราวไสยศาสตร์ เค้าเหมือนเป็นพวกเดียวกัน
เหมือนกับว่า เรารู้สึกแสบร้อน ส่วนเค้าดีอกดีใจที่เจอะพวกเดียวกันก็มีความสุข มันแตกต่างกัน อิทธิฤทธิ์ของไสยศาสตร์มี อิทธิฤทธิ์ของธรรม
ท่านก็มีแต่ท่านห้ามไม่ให้ใช้ เพราจะทำให้คนยึด ..เข้าใจผิด ..ไม่สร้างบุญกุศลบารมีช่วยเหลือจิตของตนเอง จะไปยึดเรื่องราวของอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ ..ไม่ปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศลด้วยจิตของตนเองพึ่งตนเอง
เรื่องอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์จะทำให้เห็นผู้อื่นเป็นที่พึ่ง ..เห็นแก่ได้ เห็นแด่ตัวมากขึ้น เรียกร้องหาเวรกรรมมากขึ้น ความกักขฬะของจิตก็ไหลออกมา คำพูดคำจาก้าวร้าว มีเหตุผลที่ไม่ค่อยปกติหรือไม่ใช้เหตุผลเลย ใช้แต่อารมณ์ที่ชอบ หน้าตาก็เริ่มบวม หน้าเป็นยักษ์สียักษ์สา จะแสดงออกมา มันมีรายละเอียดมาก แต่ว่าเมื่อเราไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ..เราก็ถอยออกห่างๆ ทำบุญสร้างกุศลไปก่อน
เรื่องราวไสยศาสตร์ ..พอเราปฏิบัติธรรมไป ..มันมีเรื่องราวเรานี้เข้ามา มันมาจากกรรม
กรรมที่เราไม่ได้เกิดมาชาตินี้ชาติเดียว เราอาจจะเป็นคนป่า คนเถื่อนนักรบเข่นฆ่ากันด้วยหอกดาบ .มันหนีไม่พ้นต้องมีเรื่องราวไสยศาสตร์ติดมากับจิต .ก็ดีอย่างชาตินี้ได้รู้จัก พิษของเค้า..เราก็จะได้ไม่ยุ่งเกี่ยว ให้จิตเรามีกรรม มีแต่จะถอดพิษเรื่องพวกนี้ออกไปจากกายจากจิต..ที่มันก็อยู่ห้อมล้อมตัวเรา จนยากที่จะหลีกเลี่ยง ..ไม่ว่าที่หน้ารถ หลังรถ ในรถ .ในห้าง ข้างถนน ..นักการขาย ..พ่อค้าแม่ค้า แม้กระทั้งคลีนิก มันห้อมล้อมตัวเรา แม่กระทั้งงานศพ ก็ทำพิธีส่งวิญญาณกัน .ก็มีคนยังเชื่ิอว่าทำได้
ไสยศาสตร์ .ดึงพาลงนรก ไปหาทุกข์ ที่ยาวนาน ..พระศาสนา ดึงพาจิตขึ้นสวรรค์นิพพาน ไปหาสุขที่ยาวนาน .
มีพระมาบวช ท่านเคยติดคุกเป็นมือปืนรับจ้าง ท่านก็มีเรื่องราวไสยศาสตร์ ..มีกรรมที่ขัดขวางอยู่ จะมาปฏิบัติธรรมภาวนาพุทโธก็ไม่ได้ ..เราก็รู้กันอยู่ว่า ถ้าไม่ฝืนปฏิบัติธรรม เดี๋ยวก็ลำบาก ..แล้วเวลานั้นก็มาถึง วันเสาร์ยังดีๆอยู่ ก็มีเจ็บป่วยบ้าง วันจันทร์ไปโรงพยาบาล ตอนบ่ายๆก็โทรคุย กับพระอีกองค์ วางสายไม่ถึงสิบนาที หมอบอกว่าตายแล้ว
..ตายแล้วก็ยังรู้ตัวว่าตาย เวลาสวดมนต์กัน ก็มาเป็นภาพโบกมือ ..ก็ยังนึกในใจ นี่ยังไม่รู้ตัวว่าตาย พอเค้าเปิดโลงก่อนเผา ไปกระโดดเกาะคอเด็กหนุ่ม ร้องไห้เป็นวัดเป็นเวร ตกเย็นมาขอให้พระท่านช่วย ท่านก็บอกว่า ช่วยได้ตอนเป็นคนบอกให้สร้างบุญกุศล ตอนนี้ไม่มีกายแล้ว ช่วยไม่ได้ ไปเป็นรูปตัวสูงๆ ปากเล็ก ..น่าสงสาร ..ก็ได้แต่ทำบุญส่งไปให้ แต่ช่วยให้พ้้นจากรูปสูงนั่นไม่ได้ ..
เค้าว่า..คนเราสมัยนี้ มุ่งหาความสุขชาตินี้ชาติเดียว ..เค้าว่า ชาติหน้าไม่มีจริงกัน ..มันไร้สาระ . ..ก็เรื่องของเค้า ..เราทำเรื่ิองของเรา ต้องพึ่งตัวเอง ..สร้างบุญกุศลของเรา เพราะเค้าแสดงให้เราดูว่า ตายแล้วเป็นอะไรกันงบ้าง ..เรากลัวจะไปอยู่แบบเค้า ..เราทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนดีกว่า .เดรัจฉานวิชาส่งผล ..สมชื่อจริง ..ใครตั้งชื่อให้มา .มันสมชื่อจริงๆเสียด้วย เวลาเค้าพูดกันว่า โลภโกรธหลง ..ตัวหลงเป็นยังไงน่ะ ..ก็เรื่องราวของคำว่า เดรัชดาฉานวิชา ไสยศาสตร์นี่แหละ ยิ่งจะทำให้หลงใหลเป็นที่ทวีคูณ..
โฆษณา