17 ส.ค. 2023 เวลา 11:52 • กีฬา

จากเฟอร์กูสันถึงโรนัลโด้ ไม่มีเกมฟุตบอลนัดไหนสำคัญกว่าคนในครอบครัว

ไม่มีงานไหน จะสำคัญไปกว่าครอบครัว นี่เป็นสิ่งที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ย้ำเตือนให้ทุกคนในสโมสรเข้าใจชัดเจนเสมอ
ไม่มีเกมไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่า ชีวิตและความเป็นความตายของพ่อแม่ เกมฟุตบอลไม่ได้แข่งวันนี้ ยังมีเกมต่อไป แต่ชีวิตของคนที่เรารัก บางครั้งถ้าตัดสินใจพลาด เราไม่มีโอกาสย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายจากสปอร์ติ้ง ลิสบอน มาที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2003 และได้รับความไว้วางใจจากเฟอร์กี้ ด้วยเสื้อเบอร์ 7 ทันที
2 ปีแรกของโรนัลโด้ ทีมปีศาจแดงพลาดแชมป์ ฤดูกาล 2003-04 แชมป์เป็นของอาร์เซน่อล จากนั้น 2004-05 แชมป์เป็นของเชลซี
เมื่อพลาดแชมป์มาสองฤดูกาลติด ทำให้ในช่วงซัมเมอร์ปี 2005 เฟอร์กี้ตั้งใจอย่างมาก ที่จะทวงแชมป์คืนให้ได้ เขาเดินหน้าซื้อเอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ และ พาร์ก จี ซอง มาเสริมทัพ ด้วยศักยภาพที่มี ก็มั่นใจว่าทีมสามารถต่อสู้กับ เชลซี และ อาร์เซน่อลได้อย่างสนุกแน่
ก่อนฤดูกาล 2005-06 จะเริ่ม คุณพ่อของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ชื่อ โชเซ่ ดินิส อเวโร่ มีอาการป่วยอย่างรุนแรงมาก
โชเซ่ ดินิส ติดสุราเรื้อรัง เขาป่วยหนักทั้งตับ และ ไต จนต้องเข้าโรงพยาบาล อยู่ที่เซนโทร ฮอสปิตาลาร์ในเมืองฟุงชาล ที่โปรตุเกส
เกมแรกของซีซั่น แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเจอกับเอฟเวอร์ตัน วันที่ 13 สิงหาคม 2005 คือเกมนัดเปิดฤดูกาล แน่นอนว่าเฟอร์กี้ ก็อยากส่งผู้เล่นชุดดีที่สุดเพื่อชนะคู่แข่งในนัดแรกแน่นอนอยู่แล้ว
แต่เพราะพ่อป่วย ทำให้โรนัลโด้มาขอเซอร์อเล็กซ์ ว่าอยากไปเยี่ยมพ่อ เขาเล่าว่า "เรามีเกมสำคัญในพรีเมียร์ลีก และแชมเปี้ยนส์ลีกรออยู่ก็จริง แต่ผมไปหาโค้ชแล้วพูดว่า 'โค้ช ผมต้องไปเจอคุณพ่อของผม ผมรู้สึกไม่ดี ผมต้องการพบเขาจริงๆ'แต่ผมก็รู้บทบาทของตัวเองดี ว่าผมคือนักเตะคีย์แมน เป็นคนสำคัญของสโมสร"
1
สิ่งที่เซอร์อเล็กซ์ตอบกลับมาก็คือ "ฟังนะ ครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของนาย ถ้านายอยากจะไปสามวัน, สี่วัน, ห้าวัน นายสามารถไปได้เลย"
4
"เรามีเกมที่ยากรออยู่ แต่ฉันเข้าใจสถานการณ์ของนายดี เพราะฉะนั้นนายไปหาคุณพ่อได้เลย"
เมื่อเฟอร์กี้อนุญาต โรนัลโด้จึงกลับบ้านที่โปรตุเกส ทำให้เขาไม่มีชื่อลงเล่นในเกมเจอเอฟเวอร์ตัน แต่ทีมปีศาจแดงก็ยังเอาชนะได้ 2-0
1
เมื่อไปเยี่ยมพ่อที่โปรตุเกส ปรากฏว่าดินิส อเวโร่ รอดจากความตายได้ แต่อาการก็ไม่ดีนัก โรนัลโด้จึงจัดการย้ายพ่อ จากโรงพยาบาลที่โปรตุเกส มาอยู่ในโรงพยาบาลที่ลอนดอนแทน ซึ่งมีเครื่องไม้เครื่องมือดีกว่า การอยู่ในอังกฤษ จะทำให้เขากับพี่ชายฮิวโก้ เดินทางไปเยี่ยมได้ง่ายขึ้น
จากนั้นเกมที่ 2 ของซีซั่น แมนฯ ยูไนเต็ด เจอวิลล่า และเกมที่ 3 เจอนิวคาสเซิล ตอนนี้โรนัลโด้กลับมาสู่ทีมได้แล้ว ลงเล่นได้ทั้ง 2 เกม ก่อนช่วยทีมชนะทั้ง 2 นัด
จริงๆ แล้วโรนัลโด้ไม่อยากออกจากอังกฤษ เพราะจะได้อยู่กับพ่อตลอด แต่ในวันที่ 7 กันยายน 2005 เขาไม่มีทางเลือก เพราะเป็นฟีฟ่าเดย์ และโปรตุเกสมีโปรแกรมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก กับรัสเซีย ทำให้เขาต้องเดินทางไปมอสโกด้วย
ในห้องแต่งตัวก่อนเกมจะเริ่ม คุณพ่อของโรนัลโด้ที่ลอนดอนเสียชีวิตอย่างกะทันหัน คนที่เอาข่าวร้ายมาบอก คือหลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ เฮดโค้ชทีมชาติ และหลุยส์ ฟิโก้ กัปตันทีมชาติโปรตุเกส
คุณพ่อของโรนัลโด้เสียชีวิตด้วยอายุ 52 ปี ส่วนโรนัลโด้ตอนนั้นอายุ 20 ปี
โรนัลโด้จ้องมองกำแพงอย่างเรียบเฉย เขาเล่าให้ฟังภายหลังว่า ไม่รู้สึกอะไรเลย แค่ว่างเปล่าเฉยๆ ซึ่งสโคลารี่แนะนำว่า เกมนี้ไม่ต้องเล่นหรอก บินกลับอังกฤษไปเลยก็ได้ แต่โรนัลโด้ตัดสินใจขอเล่นต่อ เขาอยากทำให้โลกได้เห็นว่า สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้
ก่อนลงเล่น โรนัลโด้บอกเพื่อนร่วมทีมว่า "ทำทุกอย่างปกติ เป็นตัวของตัวเอง อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรที่พวกนายเคยทำนะ" โรนัลโด้ลงเล่นเกมนั้น 90 นาทีเต็ม ส่วนสกอร์จบลงด้วยการเสมอกัน 0-0
5
โรนัลโด้กลับมาที่อังกฤษ และเฟอร์กูสัน บอกเช่นเดิม คือให้เขาพักไปก่อนเลยดีกว่า ไปจัดการหัวใจให้เรียบร้อย ซึ่งโรนัลโด้ขอไม่ลงเล่นเพียงแค่ 1 เกมเท่านั้น คือพรีเมียร์ลีกนัดที่ 4 ที่เจอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อไปจัดการงานศพของพ่อให้เรียบร้อย จากนั้นพอเกมที่ 5 เขาก็กลับมาลงเล่นตามเดิม
2
ในเรื่องนี้ สิ่งที่ประทับใจโรนัลโด้มาตลอด คือท่าที่ของเซอร์ อเล็กซ์ ที่รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ คือครอบครัว ปัญหาทุกอย่างมันจัดการได้หมด นักเตะไม่อยู่ ก็มีคนเล่นแทนได้ โรนัลโด้เล่าว่า "นี่คือโมเมนต์ที่อยู่ในใจผมไปตลอด สำหรับผม เขาโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยมี ช่วงเวลาที่อยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่กับคนในครอบครัว เขาทำให้ผมรู้สึกว่า 'คริสเตียโน่ ที่นี่คือบ้านของนาย' "
เรื่องราวต่อจากนั้น อย่างที่ทุกคนทราบกันดี โรนัลโด้ รักและศรัทธาเฟอร์กูสันเสมอ แม้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ตาม การกระทำที่ใส่ใจความรู้สึกของลูกทีม มันทำให้ลูกทีมจดจำได้ และได้รู้ว่าเขาไม่ใช่แค่ "พนักงาน" แต่เป็น "มนุษย์คนหนึ่ง"
เฟอร์กูสัน เปิดเผยให้ฟังหลังจากรีไทร์ไปแล้ว ว่าหลักคิดของเขาคือครอบครัวย่อมมาก่อนสิ่งใดทั้งนั้น ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้นำคนด้วยแล้วล่ะก็
1
"ตอนผมเป็นผู้จัดการหนุ่มอายุ 33 ปี เคยมีนักเตะดาวรุ่งคนหนึ่งเข้ามาที่ออฟฟิศของผม ตอนนั้นเป็นวันอังคาร เขาพูดขึ้นมาว่า 'บอส ผมขอลาวันศุกร์ได้ไหม' ผมตอบกลับไปว่า 'นายจะหยุดวันศุกร์ไปทำไม' เขาตอบมาว่า 'คือ แม่ของผมเพิ่งเสียชีวิต'"
"เมื่ออีกฝ่ายเจอเหตุการณ์แบบนั้น คุณจะทำยังไง? ผมก็ตอบว่า 'โอ้ แน่นอนสิไอ้ลูกชาย นายลาได้อยู่แล้ว' "
"จากวันนั้น ถ้ามีนักเตะคนไหนมาหาผมแล้วพูดว่าขอหยุดวันพรุ่งนี้ ผมจะตอบทันทีเลยว่า 'ได้สิ แล้วนายจะให้ฉันช่วยอะไร เรื่องไหน ก็บอกได้เลย' "
1
"ในเคสของคริสเตียโน่ ผมรู้ว่าคุณพ่อของเขาป่วย และอยู่ในโรงพยาบาล ดังนั้นมันสำคัญสำหรับเขาที่ต้องไปอยู่ตรงนั้น เรื่องของสโมสรฟุตบอลมันไม่ได้สำคัญที่สุด"
"คุณต้องเข้าใจนะ ว่ามีบางเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าฟุตบอล และครอบครัวก็แน่นอนว่าเป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น แบบที่ไม่ต้องมีคำถามเลย คุณห้ามเด็ดขาด ที่ให้สโมสรฟุตบอลอยู่เหนือครอบครัวของตัวเอง"
1
บทสรุปของเรื่องนี้คือ เมื่อคนที่เรารักอยู่ในภาวะวิกฤติ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว
1
เพราะหากเราไม่ได้อยู่กับคนในครอบครัวในวันสุดท้าย มันจะติดอยู่ในใจของเราไปตลอดกาล
อาชีพการงานใดๆ ขาดเราไปหนึ่งวัน เขาก็หาคนมาแทนได้ แต่คนในครอบครัว ถ้าเราไม่อยู่ตรงนั้น มันไม่มีใครสามารถทดแทนเราได้เลย
1
เรื่องนี้ คนที่เป็นผู้นำทุกคนต้องควรรู้ ว่า Priority คืออะไร สิ่งไหนคือเรื่องสำคัญกว่ากัน ถ้าเรื่องพื้นฐานแบบนี้ยังไม่รู้ คุณจะไปนำใครได้ คุณจะซื้อใจใครได้
จริงๆ อย่าว่าแต่เป็นผู้นำเลย แค่เป็นมนุษย์ธรรมดา ถ้าคุณมีหัวใจ ยังไงมันก็ต้องรู้
ลองคิดถึงว่า "ถ้าเป็นพ่อแม่ตัวเองกำลังวิกฤติ" จะเลือกงานหรือครอบครัว จะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่ชอยส์ที่ตัดสินใจยากเลยสักนิดเดียว
โฆษณา