-อิทธิพลของ Kurt Cobain ก็ยังคงสุมอยู่โดยไม่สงสัยตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Don’t Understand แต่ด้วยความพยายามทำให้คลีนขึ้นกลับเป็นการรีบพลิกบริบทและรีบปรับรสสากเดิมๆจนกลายเป็นอคลูสติคบ้านๆที่ธรรมดาเฉยชาเสียจนไม่น่าดึงดูดพอที่จะเป็นสาสน์ตั้งต้น Something Real เอาคอรัสกอสเปลมากระตุกจิตกระชากใจ แต่กลับไม่ impact ในแง่ของความสัตย์จริงที่ตัวเองต้องการจะสื่อถึงซะเท่าไหร่ Too Cool To Die กรู๊ฟ Circles แบบบางๆ แต่ความคูลยังไม่ถึง
-เพลงที่แลดูสงบและอ่อนโยนจนเป็นโมเมนต์แห่งการทบทวนตัวเองได้ก็อยู่ที่แทร็ค Green Thumb ที่เราได้เห็นการค้นพบวิถีการเป็น “ชาวสวน” ของเขา ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยที่เข้าท่าดีไม่น้อย ส่วนใหญ่ภาพแห่งความเขียวที่ทุกคนจดจำจนเป็น pop culture กลับกลายเป็น “กัญชา” เสียมากกว่า
-การปิดท้ายด้วย Laugh It Off เพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากการโดนเด็กด่าว่า Bitch จนเป็นการปิดท้ายอัลบั้มด้วยความรู้สึก “ช่างแม่ง haters” การที่กูเป็นของกูแบบนี้ แล้วมึงมาเกลียดกูช่างเป็นอะไรที่น่าหัวเราะเยาะว่ะสาด ทั้งนี้ก็มีการสาดรีฟกีตาร์และกลองโครมเป็นการปลดปล่อยความอัดอั้น
-ส่วนเพลง Joy ที่เพิ่งแถมเป็นโบนัสแทร็คในช่วงที่ผมรีวิวนั้น ท่วงทำนองค่อนข้างใกล้เคียง Speedometer แต่ปรับโทนไปในเชิงหมาหงอย ไม่ได้ Joy สมชื่อ แตะประเด็นการพยายามไฝ่หาความสุขที่บางทีก็ไม่สุขที่สุด เนื่องด้วยความเศร้าที่ไม่จางหายได้โดยง่าย และเป็นความพยายามที่ไม่มีประโยชน์อันใดในการพยายามเป็นคนที่โคตรคูลโดยที่สำลักกับความสุขจนเกินไป
-เสียดายที่ Louis Bell โปรดิวซ์เซอร์คู่ใจที่รู้สุ้มเสียงของ Posty ชัดเจนมาตลอดกลับทำให้อัลบั้มไฝ่หาและเปิดอกตัวเองนั้นกลับเจือจางด้วยการเปรียบเปรยอันแสนล่องลอย เกือบๆเหมือนคนอื่น ใหม่ซ้ำเดิมเพิ่มเติมคือฟังง่ายพลางให้ปล่อยผ่าน
-ต่อให้ยึดวิถีการเป็นศิลปินตัวจริงด้วยการโปรโมทซิงเกิ้ลไม่กี่เพลง ผิดจากอัลบั้มก่อนที่เรียกน้ำย่อยเกินครึ่งอัลบั้ม แต่ก็ใช่ว่าเป็นเพลง Side A และ Side B ที่น่าค้นหาและสามารถเติมเต็มภาพอัลบั้มได้อย่างแหล่มชัด สาเหตุหลักๆที่บอกไปข้างต้นเลยก็คงเป็นจำนวนแทร็คที่มากเกินความจำเป็น และความหนักแน่นที่ไม่มากพอในการโอบอุ้มบริบทได้ Posty มีปัญหาในการจัดเรียงอัลบั้มในแบบที่แก้ไม่ตก ซึ่งแกเหมาะกับศิลปินที่ถนัดปล่อยซิงเกิ้ลจริงๆแหละ