19 ส.ค. 2023 เวลา 11:29 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] AUSTIN - Post Malone

หักดิบจนสุก
-ผมรู้สึกยินดีทุกครั้งที่จะได้เห็นจุดเปลี่ยนผ่านชีวิตของศิลปินท่านใดท่านนึงที่ผ่านการใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วงในช่วงวัยเยาว์ เหมือนเราได้เห็นการเติบโตในทางที่ดีขึ้น enlighten แง่คิดบางอย่างที่น่าสนใจเอามาแชร์ให้คนฟังได้คล้อยตามไปด้วย แต่การจะเปลี่ยนผ่านไปสู่วิถีคนคลีนก็ต้องแลกกับภาพจำ club banger อันแสนเข้มข้นจนอดคิดไม่ได้ว่า การปรับสมดุลทางสไตล์ hardcore และ softcore คงต้องอาศัยเซนส์ที่เก่งโคตร ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
-อัลบั้มนี้ได้กลายเป็นความน่าเสียดายของการทิ้งความแข็งแรงทางเมโลดี้ไปสู่ความเจือจางที่ดันสวนทางกับสิ่งที่ Austin ได้เคลมถึงการพยายามหักดิบจากไลฟ์สไตล์อันหนักหน่วงของเขา แล้วสมองในการคิดงานเพลงเฟรชขึ้น (ถึงจะยังสูบบุหรี่ ดื่มบางเวลาก็เถอะ) กลับกลายเป็นว่าความปลอดโปร่งดังกล่าวคือความ blank ที่ผ่านเลยไปอย่างไม่น่าเชื่อ
-การไม่พึ่ง feature แบบที่แล้วมานับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดในการ push ตัวเองอย่างหนักเพื่อขับเคลื่อนเรื่องราวในอัลบั้มด้วยตัวเอง และเป็นการวัดใจคนฟังด้วยว่าคุณจะคล้อยตามได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่? การตัดสินใจทำเช่นนี้ก็ต้องอาศัยเซนส์ที่แข็งแรงเช่นกัน พอมาลุยเดี่ยวแบบนี้ การใส่จำนวนแทร็คไปถึง 12-14 เพลงก็โคตรเสี่ยงแล้ว นี่ 17 เพลงยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งอยู่ในยุคดิจิตอลที่คนบริโภคงานเพลงมักจะอยู่กับอัลบั้มนึงได้ไม่นาน มีสิทธิ์ละทิ้งกลางทางได้ทุกเมื่อ อัลบั้มนี้ไม่สามารถพิสูจน์การลุยเดี่ยวแบบตึงๆได้
-แน่นอนว่าผมไม่คาดหวังความท็อปฟอร์มที่ดีเลิศเชิงปรับ mindset อยู่แล้ว การฟังอัลบั้มนี้ผมดันโหยหาสไตล์ความสากแบบตึงๆดั้งเดิมเฉยเลย มันทำให้ Twelve Carat Toothache ที่ผมมองว่าดรอปและสเปะสะปะสุดในรุ่นกลับกลายเป็นรสชาติที่ถูกจริตในแง่ของความสุดแนวทางในเพลงใดเพลงนึง(เป็นอย่างน้อย) แทนที่ไอ้ความเรียบง่ายอยากกลับคืนสู่สามัญดังกล่าวจะเป็นความหนักแน่นของเจตจำนงคนหาความสงบสุข แต่ดันกลายเป็นความล่องลอยที่เบาบางจนไม่เกิดความจึ้งของ self-worth ที่ไฝ่หาเลย
-ท่วงทำนองกลับถูกปรับค่ากลางแบบที่ไม่สุดสักทาง จะคันทรี่จ๋าก็ไม่ จะร็อคก็ไม่เข้มข้น จะ synth pop ก็โคตรแบ่งรับแบ่งสู้เลยฮะ ซิงเกิ้ลที่ปล่อยออกมาอยู่ในเกณฑ์ตามมาตรฐาน แต่เข้มข้นสู้อัลบั้มที่แล้วมาไม่ได้
-และที่น่าเสียดายตรงที่ดันเป็นไฮไลต์ของอัลบั้มที่ได้เท่านี้ด้วยซิ อาทิเช่น Chemical, Mourning ซึ่งสองเพลงนี้มีนัยยะในเรื่องการพยายามลดละเลิกสารเสพติด ซึ่งไม่ต่างจากผู้หญิงที่เขารักมากเสียจน can’t let go เพลงแรกมันเป็นความลั้ลลาเชิงระล่ำระลักหน่อย ส่วนเพลงหลังก็มีความช่างคิดในแง่ของการเล่นคำพ้อง Morning กับ Mourning ที่พอ relate กับสายดริ้งค์ทั้งหลายที่ตื่นเช้าขึ้นมามักจะ depressed ในยามเช้าที่สร่างเมา
-Enough is Enough เป็นการให้คำมั่นที่หนักแน่นพอจะตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล ด้วยโทนเพลงที่ว่าด้วยการเปลี่ยนตัวเอง โดยท้าวความไปถึงช่วงสำมะเลเทเมาที่ยืนเป๋ๆล้มทั้งยืนในแบบที่ขึ้นอย่างหงส์ลงอย่างหมา
-Overdrive เป็นความชิวล์ร็อคที่พอโดดเด่นกึกก้องในแง่ของความเป็นอคลูสติคและความพยายามในการแตะเบรคการใช้ชีวิตอันแสนหนักหน่วงในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมไปถึงความพยายามเอาใจคนรักด้วยการยอมลดรอยสักบนใบหน้า ซึ่งนั่นทำให้ออสตินตั้งคำถามถึง self-confidence ตัวเองว่าลดน้อยถอยลงเพราะเอาใจคนอื่นมากกว่าตัวเองหรือไม่ ? เพิ่มเติมด้วยเสียงผิวปากที่จัดว่าเฟี้ยว
-อิทธิพลของ Kurt Cobain ก็ยังคงสุมอยู่โดยไม่สงสัยตั้งแต่เพลงเปิดอัลบั้ม Don’t Understand แต่ด้วยความพยายามทำให้คลีนขึ้นกลับเป็นการรีบพลิกบริบทและรีบปรับรสสากเดิมๆจนกลายเป็นอคลูสติคบ้านๆที่ธรรมดาเฉยชาเสียจนไม่น่าดึงดูดพอที่จะเป็นสาสน์ตั้งต้น Something Real เอาคอรัสกอสเปลมากระตุกจิตกระชากใจ แต่กลับไม่ impact ในแง่ของความสัตย์จริงที่ตัวเองต้องการจะสื่อถึงซะเท่าไหร่ Too Cool To Die กรู๊ฟ Circles แบบบางๆ แต่ความคูลยังไม่ถึง
-Speedometer เป็นความสองแง่สองง่ามที่ขายขำเสียมากกว่า Texas Tea ที่มาเวย์แทร็ปป็อปเข้มๆที่ throwback ความเป็น Posty ในยุค Hollywood Bleeding มาแบบครึ่งๆกลางๆ ยังไม่เร้าใจและดูผิดแผกมากๆ Buyer Beware เวย์สามช่าตึ่งโป๊ะมาก Landmine จัดเต็มคอรัสกอสเปลในแบบ “ต้องอย่างนี้ซิวะ” แต่เมื่อเอามารวมในอัลบั้มที่ปูทางความเจือจางมาตั้งแต่ต้นมันเลยกลายเป็นเพลงที่ถูกทิ้งน้ำหนักให้ออกมาสลักสำคัญโดยปริยาย
-เพลงที่แลดูสงบและอ่อนโยนจนเป็นโมเมนต์แห่งการทบทวนตัวเองได้ก็อยู่ที่แทร็ค Green Thumb ที่เราได้เห็นการค้นพบวิถีการเป็น “ชาวสวน” ของเขา ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยที่เข้าท่าดีไม่น้อย ส่วนใหญ่ภาพแห่งความเขียวที่ทุกคนจดจำจนเป็น pop culture กลับกลายเป็น “กัญชา” เสียมากกว่า
-การปิดท้ายด้วย Laugh It Off เพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากการโดนเด็กด่าว่า Bitch จนเป็นการปิดท้ายอัลบั้มด้วยความรู้สึก “ช่างแม่ง haters” การที่กูเป็นของกูแบบนี้ แล้วมึงมาเกลียดกูช่างเป็นอะไรที่น่าหัวเราะเยาะว่ะสาด ทั้งนี้ก็มีการสาดรีฟกีตาร์และกลองโครมเป็นการปลดปล่อยความอัดอั้น
-ส่วนเพลง Joy ที่เพิ่งแถมเป็นโบนัสแทร็คในช่วงที่ผมรีวิวนั้น ท่วงทำนองค่อนข้างใกล้เคียง Speedometer แต่ปรับโทนไปในเชิงหมาหงอย ไม่ได้ Joy สมชื่อ แตะประเด็นการพยายามไฝ่หาความสุขที่บางทีก็ไม่สุขที่สุด เนื่องด้วยความเศร้าที่ไม่จางหายได้โดยง่าย และเป็นความพยายามที่ไม่มีประโยชน์อันใดในการพยายามเป็นคนที่โคตรคูลโดยที่สำลักกับความสุขจนเกินไป
-การ present ช่วงเปลี่ยนผ่านของ Post Malone ในอัลบั้มนี้กลับไร้ซึ่งความเข้มข้นทางความรู้สึก ทั้งๆที่ประเด็นแห่งการ “ลด ละ เลิก” มีมุมให้ขยี้ปมเยอะมากๆ ทั้งๆที่การเป็นแร็ปเปอร์-ร็อคสตาร์สายพันธ์ุไฮบริดของตัวเองนั้นมันเป็นความ unique ที่คนฟังถูกใจเสมอมา แต่กลับไม่ได้ดึงส่วนนี้มาขยี้ก่อนที่จะหันเหสู่ทางสว่างเลย
-เสียดายที่ Louis Bell โปรดิวซ์เซอร์คู่ใจที่รู้สุ้มเสียงของ Posty ชัดเจนมาตลอดกลับทำให้อัลบั้มไฝ่หาและเปิดอกตัวเองนั้นกลับเจือจางด้วยการเปรียบเปรยอันแสนล่องลอย เกือบๆเหมือนคนอื่น ใหม่ซ้ำเดิมเพิ่มเติมคือฟังง่ายพลางให้ปล่อยผ่าน
-ต่อให้ยึดวิถีการเป็นศิลปินตัวจริงด้วยการโปรโมทซิงเกิ้ลไม่กี่เพลง ผิดจากอัลบั้มก่อนที่เรียกน้ำย่อยเกินครึ่งอัลบั้ม แต่ก็ใช่ว่าเป็นเพลง Side A และ Side B ที่น่าค้นหาและสามารถเติมเต็มภาพอัลบั้มได้อย่างแหล่มชัด สาเหตุหลักๆที่บอกไปข้างต้นเลยก็คงเป็นจำนวนแทร็คที่มากเกินความจำเป็น และความหนักแน่นที่ไม่มากพอในการโอบอุ้มบริบทได้ Posty มีปัญหาในการจัดเรียงอัลบั้มในแบบที่แก้ไม่ตก ซึ่งแกเหมาะกับศิลปินที่ถนัดปล่อยซิงเกิ้ลจริงๆแหละ
1
-ในด้านชีวิตส่วนตัว ผมยินดีมากกับการเติบโตเป็นพ่อคน step by step แต่ก็เสียดายที่ลืมเอามุมขยี้แผลของรักสามเส้าระหว่าง “ผู้หญิงและสารเสพติดทั้งหลาย” เอามาใส่ผลงาน จนสามารถเกิดการ relate ได้จริงๆ
ยากมากที่จะให้กลับมาสนใจ
Top Tracks : Mourning, Overdrive, Enough is Enough, Green Thumb, Laugh it Off
Give 5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา