20 ส.ค. 2023 เวลา 02:18 • ปรัชญา
..เขี่ยขี้ผงที่ปิดบังตา..
ผู้ที่เกิดมามีกายเป็นมนุษย์ ไม่รู้จักว่า เค้าให้เกิดมาอาศัยกาย ไม่รู้จักชีวิต เหมือนไม่มีชีวิต ก็มากมายก่ายกอง เมื่อหมดสังขาร กรรมดี กรรมชั่ว ปรากฏขึ้นให้แก่เรา เราต้องไปอยู่อาศัยนั่นๆ ความทุกข์ก็อยู่ที่การกระทำ
เมื่อเรามีชีวิต เค้าให้เราเกิดมา ทำความดี เราก็ปัด ความดีออก มุ่งมั่น แต่เรื่องหากิน หาอยู่ หาที่หลับที่นอน วุ่นวายด้วยตัณหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วใครที่ไหน จะช่วยเรา บุญที่ไหน จะช่วยเรา เมื่อจิตเราออกจากร่าง มันต้องสร้างตอนที่มีสติสัมปชัญญะ ที่รู้จัก เรื่องราวต่างๆ อะไรที่เป็นทุกข์วางทุกข์นั่นลง ไม่ให้กายนั่นไปแตะต้อง เห็นจิตของเราไปมุ่ง ..เห็นอารมณ์พาจิตไปมุ่ง..อยู่ตรงนั้น ก็ตัดมันทิ้งเสีย เรามองด้วย..ปัญหาที่เกิดขึ้น นั่นคือ กรรม
ถึงแม้ว่าเราจะตัดขาดไม่ได้ ก็นึกถึงเรื่องราว ขององค์พระสิทธัตถะ ถ้าไม่หมด สมบัติยศฐานบรรดาศักดิ์ แก้วน้ำสักใบ เสื่อสักใบ ก็ต้องตัดทิ้ง ทิ้งจนหมด หมดกิเลสตัณหา อุปาทานทั้งหมด มันไม่อะไรที่จะไปตัด ไม่มีอะไรที่จะไปยึด
แต่เราได้ยินเสียงเรียกร้องภายในใจของเรา เราก็ถูกอารมณ์นั่นดึงดูดเราไป ไปในสถานที่ในสิ่งที่ ..ไม่ควรจะไป เห็นคนอื่นมีสิ่งโน้นสิ่งนี้อยู่ มีความสำคัญกว่าจิต จิตก็เลย ก็เลยต้องไปอยู่ในสถานที่นั้น ทั้งที่เค้าให้กรรมแก่เรา แต่เราก็ยินดี ก็จมอยู่กับกรรม
1
สิ่งไหนที่หนุนนำให้เราพ้นจากทุกข์ได้ ตรงนั้นเรากินมื้อเดียวอิ่มพอแล้ว ตรงนี้ หรือ สถานที่เราจะไป เค้าให้เรากินไปทุกชาติ ๆ เราต้องต้องสมมุติ หรือ ว่าชี้แจ้ง จิตต่อจิต ให้รู้จักเรื่องราวเหตุผลนั่น เราก็จะสามารถจะทำในสิ่งนั้นได้ ถ้าเรายังไม่เข้าใจ ก็ต้องเรียนให้รู้ ให้เข้าใจให้ได้ว่า อะไรคือ ความสำคัญแก่จิต
เมื่อจิตไม่มีสังขารแล้วก็หมดโอกาส ทำอะไรไว้ ต้องเป็น.รับในสิ่งที่เราทำ ทำบุญ สร้างบารมี เราก็ได้รับสิ่งนั้นไป ทำกรรมเป็นนิจสิน กรรมมันมากกว่าบุญบารมี เราก็ต้องไปอยู่กับกรรม แล้วก็ใช้กรรม แต่ละครั้ง มันไม่ใช่หมดง่ายๆ ถ้าเราจะเปรียบเทียบในโลกมนุษย์
เราไปกู้เค้ามา ไปยืม เราไม่มีจะใช้ ไม่มีจะกิน ไม่มีการจะทำอะไร ก็ไปเอามาก้อนหนึ่ง แล้วก้อนหนึ่งกว่าจะหมด แล้วใช้เวลาเท่าไหร่ ต้องใช้กรรม เวลานั้นมากมาย ยาวนานเหลือเกิน บางที่ตลอดชีวิต กลายเป็นอสงไขยไป เป็นกอบเป็นกำ คุ้มกันมั้ย
คราวนี้ ถ้ามีหนทาง ที่เราจะ .จะไม่มีกรรมต่อเนื่อง ก็หาหนทางนั่น มาชำระสะสาง ให้ยุติโดยเร็ว เช่น เค้าบอกให้ บอกทำบุญ ทำบุญทำยังไงบ้าง สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ให้ปัญญาเกิดขึ้น เพื่อไปแก้ไขนิสัยของกรรม ตรงไหนที่เค้ามีบ้าง ไม่ใช่ว่าสำนักโน้น สำนักนี้มี เค้าบอกกัน ให้ตรวจสอบ ให้ทบทวน เราก็ไปหลงกล ก็ไปตืดกับเข้าไปอีก ตัวลบมันไม่เกิด มีแตตัวบวกกรรมเพิ่มขึ้น ตัวโลภโกรธหลงมันก็เพิ่มขึ้น แล้วเมื่อไหร่เราจะใช้หนี้ตรงนี้หมด ชาติแล้วชาติตอีก ตายแล้วตายอีก ก็ยังไม่ค่อยจะหมด เพราะฉะนั้น เราต้องหาปัญญาให้ได้
ปัญญาอยู่ที่กายนิ่งจิตเฉย แล้วต้องหาคนที่ เขี่ยกรรม เขี่ยขี้ผง ที่อยู่ในตาของเราออกให้ได้ เราจะได้มองเห็นกรรม ที่แท้จริง แต่ก็ต้องพยายามพิจารณาด้วย สิ่งที่เขี่ยเค้าเขี่ยจริง หรือ เอาขี้ผงมาใส่เพิ่ม แล้วโดยมาจะเอาขี้ผงมาใส่เพิ่ม ตาก็มืดมิดไป มัวมองอะไรไม่เห็น เค้าบอกอะไร เค้าบอกว่าช้อน กะละมัง .. กะละมัง..เค้าบอกว่าเป็นช้อน เราก็นึกว่าเป็นช้อน เค้าบอกช้อนเป็นกะละมัง ก็นึกว่า ช้อนเป็นกะละมัง มันมืดมิดด้วยการหนุนกรรมให้เรานั้นเอง
เพราะฉะนั้น การที่ขณะนี้ เรามีนิติภาวะที่ คิดอ่านเรื่องราวต่างได้..ให้มีปัญญาธรรม ให้คลี่คลาย ออกมา ในสิ่งที่ที่ถูกต้อง อย่าให้ใครมาเขียขี้ผงในตา เขี่ยมันเสียเอง ให้ได้ ไปเรียนวืธีเขี่ยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้ตามันช้ำ ตามันเสีย ทำยังไงถึงจะเขี่ยออก
เราก็ต้องไปรู้ไปสืบ เค้าบอกมา เราก็ต้องตรวจเรื่องนี้ให้ละเอียดละออ ว่าถูกหรือผิด พอฟังไปแล่วว่าถูกเลย แต่กลายเป็นเอาขี้ผงเข้าตา เค้าไม่ให้คนอื่นเค้าเขี่ย แต่ก็จำเอาจำเรื่องต่างๆที่มาเป็นบวก(เพิ่มกรรม) ตามันก็มิดไป เห็นดีเห็นงามในสิ่งที่เค้าพูดที่เค้าชี้แนะ นี่แหละ เรื่องราวต่าง ที่ไหน ที่เค้าพอช่วยเราได้ เตือนสติเราได้ รีบเข้าไปหา แล้วต้องตรวจสอบ โดยจิตของเรา อย่าไปลบนึกว่า สิ่งนั้นดี เรายังไม่ได้ตรวจสอบอะไรเลย ว่าดีแล้ว
โฆษณา