21 ส.ค. 2023 เวลา 15:20 • ความคิดเห็น
ผมขออนุญาตแสดงความรู้อันน้อยนิด ถ้าไม่ถูกต้องขอผู้รู้สอนให้ถูกต้องด้วยนะครับ
คำว่าจิตคือการรับรู้แล้วจึงจะรู้สึกว่าชอบไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ จิตจะรับรู้ได้ต่อเมื่อมีอายตนะที่สมบรูณ์ ไม่หูหนวก ตาบอด ลิ้นไม่ลิ้มรส จมูกไม่ได้กลิ่น กายไร้ความรู้สึก เมื่อเป็นเช่นนี้จิตก็หมดทางที่จะรับรู้เพราะถูกปิดกั้นจากอายตนะ แต่ถ้าอายตนะปกติสมบูรณ์ดีพร้อม เมื่อนั้นจิตจะรับรู้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดการกระทบจากภายนอก (ผัสสะ) เกิดเป็นเวทนาคือความรู้สึกต่างๆ
สวยหรือไม่สวยจิตมันจะรับรู้ได้ทางการมองเห็นนั้นคือทางตา
คำชมเชยหรือคำนินทาจิตมันจะรับรู้ได้ทางการได้ยินนั้นคือทางหู
หอมหรือเหม็นจิตมันจะรับรู้ได้ทางกลิ่นนั้นคือทางจมูก
ของอร่อยไม่อร่อยจิตมันจะรับรู้ได้ทางการลิ้มรสนั้นคือทางปาก
พอจิตรู้สึกจากสิ่งที่มากระทบก็เกิดเป็นกามตัณหา ชอบไม่ชอบ พอใจไม่พอใจ หลงไม่หลง โกรธไม่โกรธ โลภไม่โลภ
จนกลายเป็นอุปทานความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน และเกิดเป็นภพเป็นชาติเป็นชรามรณะ เพราะต้นเหตุของอวิชาคือความไม่รู้จึงได้เกิดสังขาร วิญญาณ นามรูป และอายตนะที่ผมได้กล่าวออกไป
การรับรู้ที่ผิดหรืออวิชาคือความไม่รู้ของจิตเป็นรากเหง้าของการเกิด เราก็ต้องตัดรากถอนโคนถึงจะได้ไม่ต้องมาเกิดวนเวียนเป็นวัฏจักรแบบนี้อีกนั้นก็คือการใช้ มรรคมีองค์ 8 ศิล สมาธิ ปัญญา ทำควบคู่กันไปในทางสายกลางจนกว่าจะถอนรากของอวิชา เมื่อถอนรากของอวิชาได้แล้วก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก รู้แท้แน่แล้วตัดแท้แน่แล้วซึ่งทุกสิ่งทั้งปวงคลายความยึดมั่นถือมั่นจิตปล่อยวางได้ก็จะพ้นจากพันทนาการทั้งปวงสู่การหลุดพ้นหรือเข้าสู่พระนิพพานได้ในที่สุดครับ😊
1
โฆษณา