23 ส.ค. 2023 เวลา 02:37 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“เศรษฐา” กำลังดัน SET พุ่ง 1,600 จุด

ใน 1 เดือนข้างหน้า รับนโยบาย “กระตุ้นเศรษฐกิจ”
ช่วยดึงนักลงทุนต่างชาติหวนซื้อหุ้นไทย
เป็นที่ทราบดีกันแล้วว่า นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกคนที่ 30 ของประเทศไทย แต่ในมุมมองของตลาดทุน จะส่งผลในด้านไหนบ้าง ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่า พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในสถานะที่คุมกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ คาดว่า SET INDEX ยังมีโอกาสตอบรับเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดเห็นแรงซื้อคืนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและหุ้นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เพราะรัฐบาลชุดใหม่ยังมีส่วนผสมใกล้เคียงกับชุดเดิม โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีโอกาสดันหุ้นไทยขึ้นทดสอบ 1,580-1,600 จุดในช่วง 1 เดือนข้างหน้า
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังโหวตนายกฯเสร็จสิ้น ขั้นตอนต่อไปคือการจัดตั้งรัฐบาลสถิติเป็นบวก โดยหลังจากโหวตนายกฯคนที่ 30 จากพรรคเพื่อไทยเรียบร้อยแล้ว ลำดับถัดไปคือ การจัดตั้งรัฐบาล และการนำคณะรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนก่อนเข้าบริหารประเทศในช่วงกลาง-ปลายเดือน ก.ย. 2566
โดยถ้าอิงสถิติหลังโหวตนายกฯ เมื่อ 5 มิ.ย. 2562 พบว่า SET INDEX ปรับตัวขึ้นเด่น 5.8% ในช่วง 1 เดือนหลังโหวตนายกฯ ดีกว่า MSCI Asia ex Japan ที่ปรับตัวขึ้น 4.7% ในช่วงเวลาเดียวกัน กลุ่มที่ขึ้นดีส่วนใหญ่เป็น Domestic play เช่น พลังงาน +7.4%, ค้าปลีก +6.9%, สื่อสาร +9.4%, ไฟแนนซ์+6.6%, และขนส่ง +9.4% จากความคาดหวังในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของรัฐบาลชุดใหม่
ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 4.8 หมื่นล้านบาท ในช่วง 1 เดือนหลังโหวตนายกฯ และซื้ออีก 1.8 หมื่นล้านบาทในเดือน ก.ค. 2562 รวม 2 เดือนซื้อสุทธิ 6.6 หมื่นล้านบาท ส่วนเงินบาทแข็งค่าขึ้นทันที 2.4%ในช่วง 1 เดือนหลังโหวตนายกฯ
ถ้าอิงจากข้อมูลในอดีต ถือว่า การโหวตนายกฯวานนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่หนุนให้ SET INDEX กลับมา Outperform ภูมิภาคในช่วงที่เหลือของปี หลังจากที่ปรับตัวลง 7% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน เทียบกับ MSCI Asia ex Japan ที่ลดลง 2%เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกัน
ดังนั้นคาด SET INDEX ฟื้นต่อเนื่อง จากความคาดหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจากคาดการณ์การจัดสรรกระทรวงของพรรคร่วมรัฐบาลเบื้องต้น พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในสถานะที่คุมกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ ได้แก่ Digital wallet 10,000 บาท, ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทภายในปี 2570 และเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ 25,000 บาท, เพิ่มราคาสินค้าเกษตร, และกัญชาทางการแพทย์
ทั้งนี้คาดว่า SET INDEX ยังมีโอกาสตอบรับเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว โดยมีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,580-1,600 จุดในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ด้วยเหตุผลสนับสนุนเพิ่มเติม คือ 1.ปรับขึ้นตามสถิติที่ SET INDEX จะกลับมา Outperform ภูมิภาคหลังโหวตนายกฯ
2.ความเชื่อมั่นในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะหนุนให้หุ้นในกลุ่ม Domestic play เช่น ธนาคารพาณิชย์ ไฟแนนซ์ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค ตอบรับเชิงบวกล่วงหน้า
3.คาดเห็นแรงซื้อคืนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและหุ้นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่ปรับตัวลงแรงนับตั้งแต่เลือกตั้ง 14 พ.ค. จากความกังวลในการรื้อสัมปทานที่ลดลง เพราะรัฐบาลชุดใหม่ยังมีส่วนผสมใกล้เคียงกับชุดเดิม
4.นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ หลังจากที่ขายสุทธิกว่า 6 หมื่นล้านบาทนับตั้งแต่ทราบผลเลือกตั้ง โดยจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ พบว่าทุก 1 หมื่นล้านบาทที่กลับมาซื้อสุทธิ จะเป็นบวกต่อ SET INDEX ราว 10 จุด ซึ่งจากการประเมินเบื้องต้น กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายพรรคเพื่อไทย และการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ คือ ธนาคารพาณิชย์, ไฟแนนซ์, ค้าปลีก, โรงไฟฟ้า, อาหารเครื่องดื่ม, สินค้าไอที,และสื่อสาร +Digital Transformationมี Market Cap. รวมกันราว 65% ของทั้งตลาด
นอกจากนี้จากความคืบหน้าด้านปัจจัยการเมือง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทาให้ SET INDEX เคลื่อนไหว Underperform ภูมิภาคอย่างมาก เมื่อมีความชัดเจนในตำแหน่งนายกฯและการจัดตั้งรัฐบาล นอกจากจะช่วยหนุนให้ SET INDEX ลดภาวะ Underperform แล้ว คาดว่าจะกระตุ้นแรงซื้อคืนในหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังปรับตัวลงลึกนับตั้งแต่ทราบผลเลือกตั้งด้วย
สำหรับหุ้นที่เข้าธีม Short Covering และแนวโน้มผลประกอบการครึ่งหลังปี 66 ยังโตดีคือ KBANK, SCB, TIDLOR, SAWAD, CPALL, CPAXT, OSP, TRUE, GPSC,GULF,GUNKUL รวมถึงหุ้นในกลุ่มสื่อสารขนาดเล็กที่จะได้แรงหนุนจากนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น BE8, SYMC, I2, SECURE เป็นต้น
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินหลังจากนี้ติดตาม 1.หน้าตา ครม. ใหม่ และทีมเศรษฐกิจว่าจะสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนมาก/น้อยเพียงใด และ 2. การขับเคลื่อนนโยบายหลักๆที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มองหนุนกลุ่มค้าปลีกอิงกำลังซื้อต่างจังหวัด KCS มองโครงสร้างนโยบายที่มี 2-3 องค์ประกอบหลัก คือ
ส่วนที่ 1 คือ เศรษฐกิจฐานราก+ดิจิทัล (Digital Wallet กระตุ้นบริโภคระยะสั้น, เพิ่มรายได้ต่อครัวเรือน หนุนระยะกลาง-ยาว ผ่านกลไกเพิ่มทักษะ (Platform สร้างอาชีพ+ 1 คนที่มีศักยภาพใน 1 ครอบครัว 1 Soft Power +จัดโครงสร้างธุรกิจเกษตร (ปลูก/เลี้ยงพืช สัตว์ตรงความต้องการโลก นำเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน)) และเมื่อ GDP เริ่มตั้งฐานเติบโตได้เป้าหมาย 5+/-% ต่อปี จะตามด้วยการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ+เงินเดือนป.ตรี
ส่วนที่ 2 คือ การขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน(ผลักดันรถไฟความเร็วสูง รถไฟเชื่อมระหว่างเมืองหลัก เมืองรอง, สนามบิน) และการลงทุน (เพิ่มพื้นที่นิคมใหม่ๆ อำนวยความสะดวกลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น ระบบรัฐบาลดิจิทัล ลดขั้นตอนติดต่อ และเพิ่มสิทธิประโยชน์ผลักดัน S Curve ใหม่ฝั่งดิจิทัลในกลุ่ม SMEs และ Start-up)
ส่วนที่ 3 คือ นโยบายต่างๆที่เสริมเข้ามาในภายหลัง อาทิ นโยบายเด่นๆ ในอดีตของพรรคเพื่อไทยที่อาจจะถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง อาทิ นโยบายด้านเกษตร (พยุงราคายาง) นโยบายที่จะหนุนการลงทุนตลาดทุน อาทิ กองทุนหุ้นระยะยาว และนโยบายการปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงาน รวมถึงนโยบายเด่นๆในอดีต เช่น รถยนต์คันแรก (คาดจะมีนโยบายคล้ายกันในส่วนการขับเคลื่อนผ่านรถยนต์ EV) บ้านหลังแรก ซึ่งส่วนดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนในปัจจุบัน แต่ควรติดตามใกล้ชิด เนื่องจากมีโอกาสจะส่วนช่วยเปิด Upside ด้านอื่นๆ
ดังนั้นกลยุทธ์: ให้เน้นลงทุนหุ้นอิงนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย CPAXT, DOHOME, GLOBAL, ADVANC, BE8, SCB, KBANK, WHA, STEC, PTT, AMATA, GULF
โฆษณา