25 ส.ค. 2023 เวลา 00:38 • กีฬา

ดราม่าหนังกีฬาออสการ์ ความรัก ความอบอุ่น ชีวิตจริงทะเลาะเรื่องเงิน

ภาพยนตร์อเมริกันฟุตบอลที่สร้างออกมาสนุกใช้ได้ ชื่อของ The Blind Side น่าจะติดโผเป็นอันดับต้นๆ
แซนดร้า บุลล็อค ตัวเอกของเรื่อง กวาดรางวัลชนะเลิศทุกสถาบัน ทั้งออสการ์ และ โกลเด้นโกลบ นอกจากนั้นยังทำเงินได้มากกว่าทุนสร้าง 10 เท่า ถือเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากทีเดียว
ด้วยความที่หนังฉายไปแล้วเมื่อ 14 ปีก่อน ผมขออนุญาตเล่าเลยละกันนะครับ จะบอกว่าสปอยล์ก็ไม่เชิง เพราะมันสร้างมาจากชีวิตจริงอะนะ
The Blind Side มีชื่อไทยว่า "แม่ผู้นี้มีแต่รักแท้"
หนังเล่าเรื่องของ ไมเคิล ออร์ เด็กหนุ่มผิวดำวัย 16 ปี ที่มีชีวิตลำบากตั้งแต่เด็ก พ่อทิ้ง แม่ติดยา ไปอยู่กับญาติ ญาติก็รังเกียจอยากให้ย้ายออก ชีวิตมีแต่ความเจ็บปวด
ชีวิตของไมเคิลเติบโตมาในสลัม ชีวิตไม่เคยได้รับโอกาสอะไร ความรู้ต่างๆ ก็มีน้อย เรียนไม่เก่ง ได้เกรดเฉลี่ย 0.76 เท่านั้น
จุดเด่นที่อาจจะเป็นเพียงอย่างเดียวของเขา คือมีร่างกายที่ใหญ่โต สูง 193 เซนติเมตร ดังนั้นจึงเหมาะสมกับการเล่นกีฬา โดยเฉพาะอเมริกันฟุตบอลที่ต้องใช้ร่างกายปะทะ แต่ปัญหาคือไมเคิล ก็ไม่มีความรู้ว่า แผนแบบไหน เล่นยังไง วิธีการเล่นที่ถูกต้องคืออะไร นอกจากนั้นยังมีเกรดเฉลี่ยต่ำเกินไป จนไม่สามารถติดทีมโรงเรียนลงแข่งขันได้
ในคืนหนึ่ง ไมเคิลโดนญาติไล่ออกจากที่อยู่ เขาต้องเดินโซซัดโซเซ ไปนอนค้างในโรงยิมของโรงเรียน เพราะไม่มีที่ไป ก็มีโอกาสได้เจอครอบครัวทูฮี ประกอบด้วย ลีห์ แอนน์ (แม่), ฌอน (พ่อ), คอลลินส์ (ลูกสาวคนโต) และ เอสเจ (ลูกชายคนเล็ก)
1
ครอบครัวทูฮี เป็นผู้ร่ำรวยในเมืองเมมฟิส พวกเขาเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านอาหาร เช่น KFC, Taco Bell จำนวน 115 แห่งทั่วรัฐเทนเนสซี่ วันนั้นพวกเขาขับรถผ่านมาพอดี และเจอไมเคิลกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
1
ไมเคิล อยู่โรงเรียนเดียวกับลูกๆ ทั้ง 2 คนของครอบครัวทูฮี คือพอเคยเห็นหน้ากันอยู่ ดังนั้นลีห์ แอนน์ ที่แสดงโดยแซนดร้า บุลล็อค จึงเชิญไมเคิลมาอยู่ที่บ้านก่อนเป็นการชั่วคราว แม้ไมเคิลจะตัวใหญ่ดูน่ากลัว แต่เธอสงสารมากกว่า จึงให้นอนที่โซฟา
หลังจากผ่านคืนแรก ลีห์ แอนน์ ได้รู้จักไมเคิลมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้ว่าแม้จะเป็นคนตัวใหญ่ ดูไม่มีความรู้ แต่จริงๆ แล้วไมเคิลเป็นคนจิตใจดี เขาเพียงแค่ขาดโอกาสในชีวิตแค่นั้น
นั่นทำให้ลีห์ แอนน์ ตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลือทุกอย่าง ในชีวิตของไมเคิล ที่มีแต่แม่ติดยา พอมีคนมาเทกแคร์เอาใจใส่ ทำให้เขาเริ่มมีความสุขมากขึ้น
จากนั้นครอบครัวทูฮี ก็ซัพพอร์ทไมเคิลทุกอย่างที่ทำได้ เช่น สอนเรื่องแท็กติกอเมริกันฟุตบอล ทำให้เขาเข้าใจว่ากีฬาชนิดนี้ต้องเล่นอย่างไร แผนต่างๆ A B C D เป็นแบบไหน นอกจากนั้นยังจ้างครูพิเศษมาสอนให้ไมเคิลเรียนเก่งขึ้น ได้เกรดดีขึ้น เพิ่มเป็น 2.52
พอไมเคิลมีชีวิตดีกว่าเดิม มีบ้านให้นอน มีอาหารให้กิน มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน ทำให้เขาโฟกัสที่กีฬาได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายก็กลายเป็นตัวจริงของทีมโรงเรียน ในตำแหน่ง Tackle หน้าที่หลักคือ "ปกป้อง" ควอเตอร์แบ็กจากการโดนคู่แข่งบุกเข้ามารวบ
หนังเรื่องนี้มีชื่อว่า The Blind Side (จุดบอดที่มองไม่เห็น) ความหมายคือ เวลาเล่นอเมริกันฟุตบอล ควอเตอร์แบ็กมักจะโดนไลน์แบ็กเกอร์ของคู่แข่งเล่นงานในจุดที่มองไม่เห็น เข้ามาอัดในมุมอับ ซึ่งหน้าที่ของแท็กเกิ้ล เป็นการป้องกันจุดบอดตรงนี้ เพื่อให้ควอเตอร์แบ็ก สามารถปล่อยของออกมา เพื่อขว้าง หรือวิ่งทำแต้มให้กับทีมได้
1
หนังเรื่องนี้ จะเล่าว่า ในขณะที่ไมเคิล ออร์ กำลังต่อสู้กับชีวิต มันก็จำเป็นต้องมีใครสักคนที่เข้ามาซัพพอร์ทเขา ป้องกันอันตรายจากมุมต่างๆ ที่มองไม่เห็น ซึ่งในหนัง ก็คือครอบครัวทูฮี นั่นเอง
บทสรุปของหนังคือ ไมเคิล เคยมีชีวิตลำบากมาก แต่ครอบครัวทูฮี เข้ามาช่วยเหลือ และรับไมเคิลเป็นลูกบุญธรรม คอยจัดการเรื่องเอกสารให้กับไมเคิลทั้งหมด เนื่องจากไมเคิลไม่มีพ่อ ส่วนแม่ก็ติดยา เขาเองก็ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายอะไรด้วย
หลังเรียนจบมัธยม ไมเคิลได้ข้อเสนอจาก 4 มหาวิทยาลัยดัง แต่เขาเลือกเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปี้ ซึ่งเป็นอดีตสถาบันของ ลีห์ แอนน์ และ ฌอน
ไมเคิล เรียนที่มหาวิทยาลัย 4 ปีจนจบและได้รับปริญญา ส่วนในสนามก็ยอดเยี่ยมติดทีม All-American นั่นทำให้ในการดราฟต์ผู้เล่น NFL ปี 2009 ไมเคิล ออร์ ถูกดราฟต์ในรอบแรก เป็นคนที่ 23 โดยทีมบัลติมอร์ เรฟเวนส์ รับเงินค่าจ้างในสัญญารุกกี้ 13.8 ล้านดอลลาร์
ไมเคิล ออร์ ลงเล่นใน NFL 7 ฤดูกาลก่อนจะเลิกเล่นอาชีพ อย่างไรก็ตาม เขาไปถึงจุดสูงสุด ด้วยการคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้ 1 สมัย ถือเป็นเกียรติประวัติทีน่าประทับใจมาก
หนังเรื่องนี้ คือเส้นทางชีวิต จากเด็กมัธยมปลาย ที่เคยใช้ชีวิตแบบไร้บ้าน ย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่นรวม 11 ครั้ง ไม่เคยได้รับการดูแลใส่ใจจากใครเลย กลับได้รับความช่วยเหลือจาก ครอบครัวทูฮี จนเขาสามารถยืนหยัดได้ และกลายเป็นแชมป์ซูเปอร์โบวล์
ตอนจบของเรื่อง คือไมเคิล เรียกลีห์ แอนน์ว่า "แม่" เพราะเป็นคนที่ฉุดเขาขึ้นมาขุมนรก และให้โอกาสชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
เมื่อไมเคิลถูกดราฟต์เข้า NFL แล้ว ไมเคิล ลูอิส นักเขียนกีฬาคนดัง (คนเขียน Moneyball) ได้เอาเรื่องนี้มาเขียนเป็นหนังสือ จากนั้นค่ายหนัง 20th Century Fox ขอเอาเรื่องจากหนังสือ ไปทำภาพยนตร์ต่อ
โดยรายงานระบุว่า ค่าย Fox จ่ายเงินซื้อลิขสิทธิ์ค่าเรื่อง ให้กับไมเคิล ลูอิส เป็นจำนวน 350,000 ดอลลาร์ และ ครอบครัวทูฮี 350,000 ดอลลาร์
ซึ่งรายได้ 350,000 ดอลลาร์ ที่ครอบครัวทูฮีได้รับ ได้แบ่งออกเป็น 5 ส่วนเท่าๆ กัน คือให้ ลีห์ แอนน์, ฌอน, คอลลินส์, เอสเจ และ ไมเคิล
พอหนังเรื่องนี้ถูกฉายไป ผู้คนมีความซาบซึ้ง ว่าการช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่ไม่เคยรู้จัก อาจสร้างบุคลากรที่ดีของประเทศขึ้นมาก็ได้ แทนที่ไมเคิลจะไปติดยา หรือก่ออาชญากรรม ก็กลายมาเป็นนักกีฬาชั้นนำแทน
ส่วนลีห์ แอนน์ ก็มีชื่อเสียงมากนับจากหนังออกฉาย เธอเปิดมูลนิธิของตัวเอง กลายเป็นนักเขียน และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วสหรัฐฯ
1
------------------------
เหตุการณ์ควรจะจบด้วยแฮปปี้เอ็นดิ้ง ไม่น่าจะมีอะไรดราม่า ครอบครัวทูฮีก็ทำธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารต่อไป ส่วนไมเคิล ปัจจุบันแต่งงานมีลูก 4 คน เขาเขียนหนังสือวางขาย ชื่อ When your back's against the wall
แต่แล้วดราม่าก็บังเกิดจนได้ ในปีนี้เอง 2023 ก็เกิดดราม่าขึ้น เมื่อไมเคิล ออร์ เขียนแถลงการณ์ 14 หน้า เตรียมฟ้องศาล โดยแจ้งว่าครอบครัวทูฮี ยักยอกเงินของเขาไป และเล่าเรื่องโกหกหลายอย่างในภาพยนตร์นั้น
- ไมเคิล ออร์บอกว่า ลีห์ แอนน์ และ ฌอน ไม่ได้รับเขาเป็นลูกบุญธรรม แต่หลอกล่อให้ทั้งคู่เป็นผู้อุปถัมภ์ทางกฎหมาย (Legal Guardian) คือสองคนนี้จะมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องการเงินทั้งหมดของเขา โดยไม่ต้องมาถามเขาก่อนด้วยซ้ำ
ตอนเขายังเด็ก ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเอกสาร ให้เซ็นอะไรก็เซ็นไป แต่มาจนถึงวันนี้เขารู้แล้วว่าความจริงคืออะไร นี่คือแผนที่จะโกยเงินจากเขาตั้งแต่วันแรก
- ไมเคิลบอกว่า รายได้จริงๆ จาก "ค่าขายเรื่อง" เอาไปทำ The Blind Side คือ 225,000 ดอลลาร์ บวกกับส่วนแบ่ง 2.5% ของยอดตั๋วทั้งหมดต่างหาก นี่เป็นตัวเลขที่ครอบครัวทูฮีปิดบังไว้ แต่เขาไม่เคยได้รับเงินส่วนแบ่ง 2.5% เลย ทั้งๆ ที่หนังทำเงินไปถึง 300 ล้านดอลลาร์
1
- ไมเคิลโกรธ ที่ครอบครัวทูฮี เล่าเรื่องทำเหมือนเขาเป็นไอ้ทึ่ม ที่แม้แต่แท็กติกต่างๆ ก็ยังไม่รู้เรื่อง ต้องให้ลูกชายเอสเจ มาสอนวิธีการเล่นให้ และเมื่อหนังออกฉาย ผู้คนก็จดจำเขาในภาพลักษณ์ความเป็นไอ้โง่ แม้แต่โค้ชทีมต่างๆ คิดว่าเขาเป็นคนหัวช้า และไม่มีภาวะผู้นำ
- ครอบครัวทูฮี โดยเฉพาะลีแอนน์ ใช้ชื่อเสียงของเขาเอาไปทำมาหากิน ทั้งเขียนหนังสือขาย และ เอาไปพูดแนว Ted Talk โดยที่เขาไม่มีส่วนรู้เห็นกับรายได้ตรงนี้เลย
อยู่ๆ ไมเคิล ก็มาซัดใส่เอาๆ ครอบครัวทูฮีแบบไม่ยั้ง จนภาพลักษณ์ของครอบครัวทูฮีเสียหายมาก สังคมมองว่าแอบมาทำดี ตั้งแต่แรก เพื่อวางแผนจะโกยเงินตอนไมเคิลดังหรือเปล่า
ท้ายที่สุดแล้ว ครอบครัวทูฮี ออกมาอธิบายว่า รู้สึก "ใจสลาย" ที่ไมเคิล ที่พวกเขาชุบเลี้ยง และให้โอกาสมาตั้งแต่เด็ก คิดว่าจะมากอบโกยเงินทองกันแบบนี้ ฌอนบอกว่า เขาไม่เคยคิดเรื่องเงินเลย
- ฌอน บอกว่า ที่ช่วยดูแลการเงินทั้งหมด เพราะการที่ไมเคิลจะทำใบขับขี่ หรือรับทุนจากมหาวิทยาลัย ต้องมีผู้ใหญ่ ที่เป็นพ่อ-แม่ หรือมี Legal Guardian ขั้นตอนการขอรับเป็นบุตรบุญธรรมมีความซับซ้อนมาก แต่การอุปถัมภ์ทางกฎหมายสามารถทำได้ทันที
ถ้าหากไมเคิลต้องการยกเลิกให้ครอบครัวทูฮีดูแลเรื่องการเงิน สามารถมาบอกได้ทุกเวลา ที่ผ่านมา ตัวไมเคิลไม่เคยพูดอะไรเลย ใครจะไปรู้ว่าแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้
- ฌอน บอกว่า ก่อนที่ไมเคิลจะฟ้องศาล ได้ติดต่อมาหาเขาแล้ว บอกว่าให้จ่ายเงินมา 15 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนแบ่งที่เขาควรจะได้จากภาพยนตร์ ถ้าเกิดครอบครัวทูฮีไม่ยอมจ่าย จะเอาเรื่องนี้ไปบอกสื่อ และฟ้องศาล ทำให้ภาพลักษณ์เสียหายเละกันไปเลย
2
- ทนายของครอบครัวทูฮี บอกว่า เงินที่ Fox จ่ายให้ทั้งหมด อยู่ที่ประมาณ 5 แสนดอลลาร์เท่านั้น โดยแบ่งให้ 5 คนในครอบครัวคนละ 1 แสนดอลลาร์ แถมลีห์ แอนน์ กับ ฌอน ยังจ่ายภาษีให้ไมเคิลในเงินก้อนนี้อีกด้วย
1
- ทนายของครอบครัวทูฮีบอกว่า "ฌอนมีบริษัท ที่มีมูลค่ามากกว่า 220 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นทั้งลีห์ แอนน์ และ ฌอน ไม่ต้องการเงินใดๆ ที่มาจากไมเคิลเลย"
กลายเป็นความเห็นของ 2 ฝั่ง ฝั่งไมเคิลบอกว่า ครอบครัวทูฮีโกงเงินจากเขา แต่ครอบครัวทูฮีก็ตอบโต้ว่าบ้าหรือเปล่า ทำไมถึงตีค่าความหวังดีเป็นแบบนี้ได้
สิ่งที่ไมเคิลร้องขอคือ สิทธิ์ทางกฎหมาย ที่ตอนนี้ครอบครัวทูฮีถือครองในตัวเขาอยู่ ต้องถูกปลดทิ้งทันที ปัจจุบันเขาอายุ 37 ปีแล้ว และควรเป็นคนจัดการการเงินในชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาจัดการให้อีก
1
------------------------
ดราม่า The Blind Side สังคมอเมริกันยังฟังหูไว้หู ว่าจะเชื่อใครดีกว่า
คนที่เชื่อไมเคิลก็มี หลายคนมองว่า ครอบครัวทูฮี อาจจะไม่ได้รักอะไรไมเคิลแต่แรก แต่มองเห็นว่าเป็น Asset แค่นั้น คือเด็กคนนี้เล่นกีฬาเก่ง สามารถปั้นต่อให้เป็นสตาร์ได้ คือเห็นประโยชน์ว่างั้นเถอะ ถ้าเป็น นาย A นาย B ที่ไร้พรสวรรค์ คงไม่คิดจะช่วยเหลือแบบนี้แน่ๆ
1
แต่คนที่ด่าไมเคิลก็มีเยอะ มองว่าครอบครัวเขาอุตส่าห์ให้โอกาสคุณ ชุบเลี้ยง ดูแลอย่างดี จนมีโอกาสได้เป็นนักกีฬาอาชีพ ถ้าไม่มีเขาวันนั้น ไมเคิลอาจจะกลายเป็นอาชญากรไปแล้วก็ได้ แล้วมาวันนี้ คุณจะมาแว้งกัดพวกเขาเพราะเรื่องเงินงั้นหรือ นี่เป็นชาวนากับงูเห่าหรือเปล่า ไม่สำนึกในบุญคุณกันเลย
1
เรื่องนี้ ในสังคมก็มองสองมุม ส่วนเรื่องการสืบสวนก็จะดำเนินต่อไป ก็ต้องติดตามว่า ตอนจบจะเป็นอย่างไร
จริงๆ แล้วเวลาดูหนังที่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เราก็อยากให้มันคงอยู่แบบนั้นตลอดไป แต่ในชีวิตจริงนั้น ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
2
วันที่ถูกดราฟต์ ไมเคิลถ่ายรูปกับครอบครัวทูฮีบนเวทีพร้อมเสื้อบัลติมอร์ เรฟเว่นส์ จากนั้นตอนเขาได้แชมป์ซูเปอร์โบวล์ ก็กอดกับลีห์ แอนน์ อย่างมีความสุข แต่ ณ วันนี้ ไม่รู้ความรัก ความเชื่อใจ มันหายไปไหนหมดแล้ว
เมื่อเหตุการณ์ถึงขั้นฟ้องร้องกันแบบนี้ ต่อให้ตกลงกันได้ ประณีประณอมเรื่องเงินสำเร็จก็เถอะ มันก็ไม่ต่างอะไรกับแก้วน้ำที่มันแตกไปแล้ว ต่อให้เอากาวติดให้มีรูปทรงเหมือนเดิม มันก็ยังคงจะมีรอยร้าวให้เห็นตลอดไป
1
#THEBLINDSIDE
1
โฆษณา