27 ส.ค. 2023 เวลา 16:22 • ความคิดเห็น
ในความคิดของผมทั้ง 2 ข้อยังอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสักเท่าไหร่นัก
การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ แต่มันจะเสียเวลาเปล่าถ้าความรู้นั้นผลไม่ชัดแจ้งว่าจะใช้ปฎิบัติได้จริง ในโรงเรียนเรียนเก่งได้ที่ 1 คำถามคือที่ 1 ในโรงเรียน แล้วในโรงเรียนให้อะไรคุณ ในโลกนี้มีกี่โรงเรียน ที่ 1 จริงหรอ ลองเอาที่ 1 ทั้งโลกมาเรียนรวมกันสิ อาจจะอยู่ที่หลักหมื่นหลักแสนก็ได้ โรงเรียนเป็นเพียงการเรียนรู้แต่ไม่ได้การันตรีว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต จงเรียนพื้นฐานแค่พอประมาณ แล้วไปต่อยอดในสิ่งที่ตนถนัดมันจะไม่เสียเวลาเปล่า
1
ถ้าผมเป็นรมต.กระทรวงศึกษาธิการนะจะไม่ให้เด็กเรียนทั้งวันหรอก หรือเรียนวันทำงานวัน รัฐได้ประโยชน์จากผลงานที่นักเรียนสร้างขึ้นจากประสบการณ์จริง และมันไม่เสียเวลา เรียนครึ่งวันกลับมาเรียนรู้นอกโรงเรียนอีกครึ่งวันได้ความรู้และได้นำไปประยุกต์ปฎิบัติ ถ้าเด็กไม่ชอบเดี๋ยวมันเปลี่ยนของมันเองมันจะหาทางที่มันชอบเอง และเรียนฟรีจะไม่ปิดกั้นเด็กจะให้โอกาสให้เด็กทุกคนได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ การทำให้เด็กเสียเวลานั้นเป็นการทำให้ประเทศเสียเวลาในการพัฒนาประเทศไปด้วย จงเรียนรู้ไปพร้อมกับการปฎิบัติจริง
ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน แถมมีค่าจ้างในการปฎิบัติให้ตามผลงาน พ่อแม่ก็สบายใจ ลูกหลานก็มีประสิทธิภาพออกมาก็ทำงานต่อยอดในสิ่งที่เรียนได้ ประเทศจะหยุดพัฒนาเพียงเพราะความสามารถของผู้บริหารคนๆเดียวที่ขาดศักยภาพในมุมมองด้านการศึกษา ในโรงเรียนทั่วโลกสร้างคนเก่งเยอะ ทุกปีๆเป็นล้านๆคน แต่เก่งที่ชาวโลกยอมรับกลับเป็นเด็กที่ค้นพบตัวตน ชอบในสิ่งที่ถนัดที่สนใจ ไม่ชอบเลยกับการที่ต้องเรียนในวิชาที่ไม่ชอบ เสียเวลา สู้เอาเวลานั้นมาทำในสิ่งที่โลกตะลึงดีกว่า😊มันเป็นทัศนคติของผม เด็กๆด้อยโอกาสประเทศก็ด้อยไปด้วย
เกรดเฉลี่ย และ จบสายนี้เรียนสายนั้นไม่ได้ไม่รู้จะไปห้ามเด็กทำไม ถ้ามันไม่ไหวเดี๋ยวมันออกไปหาที่ชอบๆเองให้มันได้มีโอกาสลองหน่อย ผมจบสายศิลป์ภาษา แต่ไม่รู้ภาษา กลับไปสอบคณิตได้ที่ 1 สามสี่สาขาสอบรวมกัน สายตรงก็เข้าสอบด้วย ประสบการณ์ตรงผมเลย คนที่วางการศึกษาไม่รู้ทำไมถึงไม่เปิดกว้างเปิดโอกาส อย่างว่าละคนที่มีตำแหน่งแต่ไม่รู้ตำแหน่งก็มีเต็มสภาไปหมด ไม่รู้มันไปเป็นกันได้ยังไง ความรู้ในด้านนั้นก็ไม่มีแต่สามารถเป็นได้ อนาคตของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ลูกหลานมันขึ้นอยู่ที่ตำแหน่งเก้าอี้ในสภาว่าใครเป็น
โฆษณา