28 ส.ค. 2023 เวลา 07:04 • กีฬา

สิ่งที่เห็น หลัง “หงส์แดง” โกงความตาย

By: Colly
"ผมคิดว่ามันยากกว่าเกม บาร์เซโลน่า เสียอีก” เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับตรงๆหลังเกมเฉือนชนะ นิวคาสเซิ่ล แบบสุดระทึกทั้งที่ต้องเหลือแค่ 10 คนตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก
เอาตรงๆมันก็จริงอย่างที่บอสว่านะครับ เพราะเกมนี้มันไม่มีอะไรเข้าข้างเราซักอย่าง ทั้งความผิดพลาดจนโดนออกนำก่อน การเสียใบเหลืองแบบไม่ควรเสีย การโดนใบแดงเร็ว การเล่นท่ามกลางเสียงกดดันจากแฟนบอลเจ้าถิ่น ฯลฯ แต่ ลิเวอร์พูล ก็เอาตัวรอดมาได้ จากที่ “แค่เสมอก็บุญแล้ว” กลับได้มาถึง 3 คะแนน
และนี่คือมุมมองส่วนตัวของผมจากเกมนี้ครับ
1. ได้กฎสุดเฮี๊ยบไม่เข้าท่าของพรีเมียร์ลีกนี่แหละ มันจะดึงให้ลีกเสื่อมความนิยมลง
ตั้งแต่ต้นเกม เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โดน แอนโธนี่ กอร์ดอน กระแทกหลัง แต่ผู้ตัดสินไม่เป่าฟาวล์ จากนั้น เทรนท์ โยนบอลเข้ามาในสนาม ผู้ตัดสินแจกใบเหลืองทันที 555 เวอร์เกินเหตุป่าววะ ต้นเกม ความผิดครั้งแรก ไม่มีใครเจ็บไม่มีใครเสียหาย จารย์จะรีบแจกเพื่อ?
จากนั้นใน 40 วินาทีต่อมา เทรนต์เอาแขนไปเหนี่ยวจนกอร์ดอนร่วง ตามหลักก็ต้องเป็นใบเหลือง แต่ผู้ตัดสินไม่แจก คงเห็นว่าเหลืองแรกมันดูซอฟต์มากแล้ว จะแจกอีกเหลืองในเวลาไม่ถึงนาทีมันก็ดูใจร้ายไป
สรุปทั้งหลายทั้งปวงเลยกลายเป็นว่า “มาตรฐาน” มันอยู่ตรงไหนวะ จังหวะควรแค่เตือนดันแจกเหลือง แต่พอจังหวะควรเหลืองดันไม่แจก
ส่วนใบแดงของ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค อันนี้ใบแดงได้ไม่มีปัญหา ไม่เถียง เคลียร์
2. Inverted Fullback หนักหนาเกินไปสำหรับ เทรนท์
ต้องเข้าใจว่าระบบนี้มันก็คือการเล่น 2 ตำแหน่งในคนๆเดียว (แบ็กขวา+กองกลาง) แบ็กขวาหน้าที่หลักก็คือการหยุดยั้งเกมรุกริมเส้นของคู่แข่ง รวมถึงการวิ่งสนับสนุนเกมรุกริมเส้นในยามเมื่อทีมได้บุก ส่วนกองกลางหน้าที่หลักก็คือการรับบอลจากแนวรับแล้วพลิกบอลเพื่อไปส่งให้ผู้เล่นแนวรุก รวมถึงการหยุดเกมรุกคู่แข่งในแดงกลาง
รับก็ต้องห่วง รุกก็ต้องทำ ริมเส้นก็ต้องดู ตรงกลางก็ต้องยืน ทีนี้เลยเงอะๆงะๆ ประกอบกับการโดนเพรสซิ่งหนักตามแท็กติกของเอ็ดดี้ ฮาว แถมยังใบเหลืองแบบไม่น่าโดนตั้งแต่ต้นเกม ทีนี้เลยสมาธิแตกซ่าน สุดท้ายผลลัพธ์เลยออกมาที่การจับบอลพลาดจนเสียประตูแรก
เลยกลายเป็น “ConTrent” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “เทรนท์ นักสร้างคอนเทนท์” ไปซะ 555
แล้วที่สังเกตอีกอย่างก็คือ สองนัดหลังสุดที่ ลิเวอร์พูล เหลือ 10 คน รูปเกมจะดีขึ้นทันทีที่ เทรนท์ ไม่ต้องเล่น inverted fullback รับผิดชอบแค่การเป็นแบ็กขวาอย่างเดียว
ดังนั้น ถ้าน้องมันยังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งเลยครับ ไว้เล่นระบบนี้ตอนเจอทีมอ่อนชั้นกว่าเยอะหน่อยก็ได้ อนาคตพอรู้สึกว่าพร้อมแล้วค่อยหยิบมาใช้เป็นจริงเป็นจัง
3. เปลี่ยนตัว=เปลี่ยนเกม
ประเด็นนี้คือความแตกต่างของกุนซือทั้งสองทีม
เจอร์เก้น คล็อปป์ วางหมากแก้เกมได้ดี ไม่บุ่มบ่ามเอาคืน เล่นอย่างอดทน แม้จะเล่น “รับแล้วโต้” แต่ปรับทางเลือกในแนวรุกได้หลากหลาย ตัวสำรองเกมนี้เลยกลายเป็นทีเด็ดทุกคน
- โจ โกเมซ สกัดเกมบุกคู่แข่งได้ดีไม่มีผิดพลาด สมาธิไม่หลุดง่ายเหมือนตอนเป็นตัวจริงซะงั้น
- จาเรลล์ ควอนซาห์ ยืนตำแหน่งได้ดี
- ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงมาทำหน้าที่เป็นมิดฟิลด์ box-to-box ทำได้ดีเกินคาด แถมยังแย่งบอลได้จนนำมาซึ่งประตู 2-1
- ดิโอโก้ โชต้า ผมว่าประโยชน์ของเขาที่ทำให้ได้เป็นตัวจริงก่อน นูนเญซ ก็ตรงการเล่นกับเพื่อนร่วมทีมได้ดีกว่านี่แหละ
- ดาร์วิน นูนเญซ นัดนี้ คมอย่างกะมีด นัดต่อๆไปพอเพื่อนจ่ายมาก็วอลเลย์อย่างเดียวนะ ที่ผ่านมาจับบอลทีไรลั่นทุกที พอวอลเลย์ดันแม่นซะงั้น
ตรงข้ามกับ เอ็ดดี้ ฮาว ที่เปลี่ยนตัวทุกครั้งเกมแย่ลงทุกครั้ง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ยังไม่พร้อมเป็นตัวจริง, ซานโดร โตนาลี่ เก็บบอลได้ดีก็เปลี่ยนออก, อเล็กซานเดอร์ อิซัค ว่าเงียบแล้ว คัลลั่ม วิลสัน ลงมาเงียบกว่าเดิมอีก ฯลฯ
4. ดาร์วิน นูนเญซ เหมาะกับคู่แข่งแบบนี้แหละ
ที่ผ่านมา ดาร์วิน นูนเญซ เจอปัญหาทุกครั้งยามที่ต้องปะทะกับคู่แข่งที่เน้นการตั้งรับลึก เพราะเจ้าตัวจะไม่สามารถใช้จุดเด่นเรื่องการหาช่องว่างระหว่างไลน์ได้เลย (เพราะมันไม่มีช่องว่าง)
แต่พอเจอทีมที่มาบุกเข้าใส่ ทีมที่แผงหลังดันขึ้นสูง ทำให้ นูนเญซ มีพื้นที่ให้เล่นมากขึ้น และการวิ่ง+ความเร็วของเขาก็นำมาซึ่ง 2 ประตูในนัดนี้
เพราะอย่างนี้แหละมั๊ง เจ้าตัวถึงหลุดจากตำแหน่งตัวจริงไป ทั้งๆที่ค่าตัวก็แพงกว่าชาวบ้านเค้าหมดจนเริ่มยอมรับว่าไม่มีความสุขกับการอยู่บนม้านั่งสำรอง
ซึ่งก็ทำท่าว่าเจ้าตัวก็คงจะต้องไม่มีความสุขต่อไปนั่นแหละ เพราะทีมที่มาดันแผงหลังขึ้นสูงแข่งกับลิเวอร์พูลน่ะ ในพรีเมียร์ลีกมีไม่ถึงครึ่งเลยมั๊ง
5. (อันนี้แถมเป็นการส่วนตัว) ครั้งก่อน ลิเวอร์พูลพลิกนรกชนะบาร์ซ่า จนโมเมนตัมเหวี่ยงมาเข้าทาง เล่นด้วยความมั่นใจจนได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์
หวังว่าชัยชนะแบบพลิกนรกครั้งนี้ จะทำให้ได้หยิบแชมป์ในบั้นปลายซักถ้วยนะครับ
โฆษณา