แบกเป้เดินทาง เก็บความทรงจำแห่งเม็ดทราย "เกาะลันตา กระบี่"
เดินทางมาถึง EP.3 ของทริปสไลว์ไลฟ์สัมผัสวิถีชีวิตชาวเกาะลันตาแล้ว หนึ่งสัปดาห์บนเกาะเราพักที่ Lanta Harbour Hotel บ้านพักติดทะเลที่แสนเงียบสงบ เดินเล่นหาไอติมกินเล่นดูน้ำขึ้นลงที่ท้ายหาด เดินโต๋เต๋ไปที่ว่าอำเภอเก่าได้รู้ประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ของเกาะแห่งนี้ บ่ายคล้อยเดินเล่นที่ถนนคนเดิน และชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ารับลมทะเลที่สะพานเทียบท่าเกาะลันตาใหญ่
ใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้ใน EP. 1-2 ก็ไม่เป็นไร
เดี๋ยวเราแปะลิงค์ไว้ให้ท้ายโพสต์นะ แต่ตอนนี้ไปแว๊นมอไซค์เที่ยวเกาะกับเราก่อนใน EP.3 นี้กัน
เช่ารถมอไซค์
วันนี้เรามีแผนคร่าวๆ ว่าจะออกไปขี่รถเล่นชมเกาะสักหน่อย ช่วงสายเราเดินจากที่พักมาที่ถนนคนเดินเกาะลันตา แวะจิบกาแฟที่ "ร้านมาลี มาลี" ร้านเดิมร้านประจำในทริปนี้ของเรา ระหว่างนั้นก็เช็คข้อมูลสถานที่สักหน่อย ด้วยความที่ชอบซูมดูแผนที่ในกูเกิ้ลแมพ ซูมเข้าไปจนเจอหาดแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เลยขอปักหมุดไปที่นี่ก่อนล่ะกัน ได้ที่หมายแล้วก็เดินออกมาเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ร้านเยื้องๆ ในราคาวันละ 250 บาท วางบัตรประชาชนแล้วก็พร้อมมุ่งหน้าแว๊นกัน
🚩 ร้านมอไซค์เช่าในถนนคนเดินเกาะลันตา (อยู่ติดร้าน Fresh Restaurant)
ปักหมุดไปที่หาดอันเงียบสงบ
ในช่วงสายวันธรรมดาแบบนี้บนถนนเส้นนี้มีเพียงสาวน้อยที่กำลังแว๊นรถมอไซค์สีเหลืองสดใสของเธอขับไปตาม GPS ที่แสนชาญฉลาด ผ่านหมู่บ้านสังกะอู้ มุ่งหน้าที่ไปที่ชายหาดที่ชื่อว่า "Pirate Beach" ถนนหนทางดีเยี่ยมเลย มีขึ้นลงเขาบ้างเล็กน้อย ระยะทาง 7 กิโลเมตร ขับประมาณ 15-20 นาที แล้วแต่ความตะต๊อนย่อนในการขี่อีกที
Pirate Beach ไม่มีค่าเข้าชม ทางเข้ามีเพียงป้ายต้อนรับและเครื่องดื่มเย็นๆ แช่เตรียมไว้ในกล่องโฟมเพื่อดับกระหายคลายร้อยสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน ดีเลยเราหยิบน้ำเย็นๆ มาขวดหนึ่งแล้วหยอด 10 บาทใส่กระปุกให้เขาไป
🚩 Pirate Beach
Pirate Beach
หาดแห่งนี้คงเป็นหาดส่วนตัวของ Pirates Paradise Resort ที่ปิดทำการไปแล้วด้วยพิษเศรษฐกิจของโควิด19 แต่ยังคงมีป้าย ร้านอาหาร โครงสร้างตัวอาคารที่รกร้างไปแล้ว ความคึกคักของนักท่องเที่ยวอาจเลือนหายไป แต่ยังคงเหลือธรรมชาติของท้องทะเลที่แสนสงบให้ความสบายใจไม่เปลี่ยนแปลง
นั่งโง่ๆ เงียบๆ ตามประสา
หาดแห่งนี้มีลักษณะเป็นเวิ้งขนาดพอเหมาะพอดี ทะเลเงียบสงบ มีเสียงลมโกรกมาเบาๆ เราเดินเรียบไปตามหาดทรายก้อนเล็กใหญ่ขุระขระนิดหน่อย มานั่งพักดื่มน้ำเย็นๆ ใต้ร่มไม้นั่งมองวิวทิวทัศน์เงียบๆ อยู่ตรงนี้สักพัก ให้เท้าได้กระทบคลื่นที่ซัดเข้ามาที่ฝั่ง
หาด Pirate กลายเป็นหาด Private
ของเราไปซะแล้ว
Have a nice day
ตอนนี้ก็ 11 โมงแล้วออกเดินทางต่อกัน ด้วยที่ Pirate Beach เป็นท้ายหาดสุดถนนเส้นนี้ เราเลยต้องขับรถย้อนออกกลับถนนเส้นเดิมที่เข้ามา ตอนที่ออกมาก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสวนทางทยอยเข้ามาเที่ยวแล้ว
ร้านอาหารบนไหล่เขา วิวทะเล
ระหว่างขับออกมามองหน้าปัดรถ น้ำมันเหลือน้อยนิดเหลือเกิน เลยแวะเติมน้ำมันที่เป็นขวดๆ หน้าร้านอาหารริมทางบนไหล่เขา เหลือบเห็นวิวทะเลสวยเหลือเกินเลยแวะสั่งโค้กกระป๋องซ่าๆ คลายร้อนน่าจะดี ร้านชื่อ Sunshine Restaurant ห่างจาก Pirate Beach เพียง 1.7 กิโลเมตร 5-10 นาทีเท่านั้น
วิวเกินคำบรรยาย
เคยได้ยินคำว่า "จ่ายหลักร้อย วิวหลักล้าน" สำหรับโมเม้นท์ตอนนี้ของเราบอกได้เลยว่า "จ่ายหลักสิบ วิวหลักสิบล้าน" เพราะเราสั่งโค้กกระป๋องไป 30 บาทเอง นั่งมองวิวทะเลที่กว้างใหญ่จากมองสูง วิวเกินกว่าที่จะบรรยายจริงๆ อันที่จริงร้านเขาก็มีอาหารหลากหลาย ด้วยอากาศเริ่มร้อนขึ้นในช่วงเที่ยง จังหวะนี้เราอยากได้แค่เครื่องดื่มเย็นๆ เท่านั้นแหละ
ความชิลๆ ในวันที่อากาศอบอ้าว
ก่อนออกมาพี่เจ้าของร้านได้แนะนำสถานที่เที่ยวต่างๆ บนเกาะให้ด้วย วันนี้เราก็ไม่รีบเร่งไปไหน เราเลยจะไปที่ประภาคารเกาะลันตาตามคำแนะนำของพี่เจ้าของร้านนี่แหละ
ระหว่างทาง
ดูจากกูเกิ้ลแมพแล้วอันที่จริงประภาคารเกาะลันตาอยู่ใกล้กับ Pirate Beach มากๆ แต่เพราะเขาหินปูนขนาดใหญ่กั้นกลางไว้ เราเลยต้องขับย้อนไปผ่านโซนเมืองเก่าลันตาที่พักและไปออกไปทะลุทางโซนคลองนิน
ระหว่างทางที่ขับอ้อมเกาะก็อยากแวะไปร้าน "Shanti Beach House" ซึ่งเป็นร้านที่เราเคยมาเมื่อ 2-3ปีอยู่ที่โซนเมืองเก่า แต่ชาวบ้านบอกว่าร้านย้ายมาโซนนี้ ปรากฎว่าวันนี้ร้านหยุดเลยไปแวะไปกินมื้อเที่ยงที่ "Diamond Cliff" ร้านนี้อยู่ข้างไหล่ทางบนเขา นั่งริมระเบียงมองเห็นวิวของอ่าวนุ้ยด้วยนะ
🚩 Shanti Beach House
🚩 Diamond Cliff Beach Restaurant & resort
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
ช่วงบ่ายแก่ๆ เราก็มาถึง "อช.หมู่เกาะลันตา" ซึ่งเป็นที่ตั้งของ "ประภาคารเกาะลันตา" ระยะทางทั้งหมด 25 กิโลเมตร ใช้เวลา 40 นาที-1ชั่วโมง ระหว่างทางก็เจอแก๊งค์ลิงน้อยเจ้าถิ่นนั่งเล่นนอนเลยอยู่บนถนนด้วย ขับรถขึ้นเนินลงเนิน ทางค่อนข้างชันลากยาวหลายสิบกิโลเมตร เล่นเอากล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน
เดินทางมาเกินครึ่งทางแล้ว และแล้วก็เห็นทางเข้าอุทยาน ก็ชำระค่าบริการปกติพอดีเราพกพาสปอร์ตอุทยานแห่งชาติมาด้วย ได้ตราประทับอุทยานได้เพิ่มอีกอันแล้วดีจัง
🚩 ประภาคารเกาะลันตา Lighthouse Koh Lanta
ค่าบริการ 40 บาท/คน
ค่ายานพาหนะ 30 บาท/คัน
ประภาคารเกาะลันตา
จากลานจอดรถเดินมาไม่ไกล ถึงจุดชมวิวที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จะเห็นประภาคารตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ตรงปลายเกาะ เรามาถึงช่วงกลางวันบ่ายสองแดดค่อนข้างแรง แวะสั่งอะไรเย็นๆ กินที่ร้านสวัสดิการและขอชื่นชมความสวยงามของประภาคารอยู่ตรงนี้เพลินๆ แล้วกัน
นั่งหลบแดดกับเพื่อนคู่ใจ
สัญลักษณ์ของเกาะลันตา
ประภาคารสีขาวแห่งแหลมตโหนดบนเกาะลันตา เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเกาะลันตาก็ว่าได้ เป็นจุดชมวิวที่สวยงามมาก เราบินโดรนขึ้นไปจะมองเห็นทะเลสองฝั่งด้านหนึ่งเป็นหาดทรายขาว ด้านหนึ่งเป็นเขาหินปูนที่ยิ่งใหญ่สวยงาม เป็นเกาะที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยต้นตาลตะโหนด มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติด้วยนะ
ซึมซับบรรยากาศ
เดินเล่นจนเพลีย แต่แดดก็เริ่มเพลียอ่อนลงตามเวลา 4 โมงเย็นแล้วตอนนี้ เราถอดรองเท้าเดินบนทรายนุ่มละเอียด นั่งเงียบๆ ดูทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่ง มีโขดหินเต็มฝั่งไปหมดและมีภูเขาหินปูนดูแล้วแปลกตา แต่งดงามไม่เหมือนหาดที่ไหนเลย
ความทรงจำที่แสนหอมหวาน
สีของท้องฟ้าและสีครามของท้องทะเลมาบรรจบกัน ถึงอากาศวันนี้จะร้อนแต่ก็มีลมทะเลพัดมาให้ได้ชื่นใจตลอดเวลา แสงแดดเริ่มเบาลง นั่งชมพระอาทิตย์ตกที่นี่คงสวยไม่เบา แต่เราคงต้องกลับก่อนเพราะอุทยานจะปิดแล้วและต้องแว๊นกลับที่พักอีก ขอซึมซับบรรยากาศ ให้กล้องเก็บภาพถ่าย และปล่อยให้ประสาทสัมผัสของเราได้เก็บความรู้สึกนี้ไว้ในห้วงความทรงจำแห่งเม็ดทรายที่แสนหอมหวาน : )
🏖️ EP.1 ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์บน "เกาะลันตา กระบี่"
🌴 EP.2 สัมผัสความโรแมนติก ชุมชนเมืองเก่า "เกาะลันตา กระบี่"
- 47
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
