3 ก.ย. 2023 เวลา 08:21 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] The Loveliest Time - Carly Rae Jepsen >>> เต้นรำอย่างเริงร่า

-ผมคงเรียก The Loneliest Time Side B ได้ไม่เต็มปากนักเนื่องด้วยเหตุผลของเนเจอร์ซีรี่ย์ Side B ชุดนี้แทบไม่มีเค้าความเป็นอัลบั้มภาคหลัก แทบไม่ต่างจากเซ็ตเพลงทดลองที่จัดอยู่ในโหมดของคนคลั่งรักที่จะทำอะไรก็ได้สมชื่ออัลบั้ม
-เธอเองก็เปรยว่า เธอไม่สามารถจัดวางให้ The Loneliest Time มี 30 แทร็คในอัลบั้มรวดเดียวได้ เนี่ยแร็ปเปอร์ท่านต่างๆ และนักร้องสายคันทรี่บางคนควรดูเป็นตัวอย่างไว้นะครับ อะไรที่เยอะเกินก็อย่าฝืน แตกหน่อแบบนี้เถอะ และนั่นก็ทำให้เธอยังคงสานต่อธรรมเนียมแห่งการปล่อย Side B ต่อเนื่องเป็น era ที่ 3 แต่รอบนี้มาอย่างไว ไม่ต้องรอครบรอบ 1 ปีก็มาแล้ว
“ฉันคิดว่า b-sides เป็นสิ่งที่ฉันโปรดปรานมากที่สุดบนโลกใบนี้ เพราะฉันคิดว่าเรามีโอกาสทำให้มันแข็งแกร่งกว่า original album ได้ คุณมีเวลามากกว่าในการกลับไป workshop สานต่อ ด้วยวิถีแห่งเวลาเท่านั้นที่จะมอบมุมมองให้คุณเอง”
“ฉันคิดว่า b-sides เป็นสิ่งที่ฉันโปรดปรานมากที่สุดบนโลกใบนี้ เพราะฉันคิดว่าเรามีโอกาสทำให้มันแข็งแกร่งกว่า original album ได้ คุณมีเวลามากกว่าในการกลับไป workshop สานต่อ ด้วยวิถีแห่งเวลาเท่านั้นที่จะมอบมุมมองให้คุณเอง”
บทสัมภาษณ์ของ The Line of Best Fit
-เราคงตัดเรื่องกระแสที่เงียบเชียบออกไปได้เลย เรามั่นใจแล้วว่าคาร์ลี่ย์ไม่ยึดติด chart performance ไปตั้งนานแล้ว และเธอก็ยินดีที่จะสานต่อธรรมเนียมนี้จนสามารถซื้อใจ cult follower ของเธอไปได้ ด้วยความไม่หวือหวาของชื่อเสียงเนี่ยแหละ และข้อความข้างต้นที่ผมหยิบมาจากบทสัมภาษณ์ของ The Line of Best Fit ก็เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าประสงค์ของเธอมากพอในการงัดชุดเพลงแห่งการปลดล็อคได้อย่างถูกเวลา หลังจากที่เผชิญช่วงเวลาแห่งการสูญเสียและว้าเหว่ที่สุด อย่าลืมว่า The Loneliest Time เกิดขึ้นในช่วงโควิดเหมือนกัน
ภาพจากบทสัมภาษณ์ The Line of Best Fit
-คาแรคเตอร์ของ The Loveliest Time จึงเป็นห้วงอารมณ์แห่งการ recover จากความเหงา เพียงแต่ซาวนด์ในชุดนี้ค่อนข้างฉีกจากสิ่งที่เธอทำมากพอสมควร นั่นก็เป็นเรื่องที่ make sense อยู่ไม่น้อยที่เธอไม่ฝืนที่จะตั้งชื่อ The Loneliest Time Side B ซึ่งเป็นอะไรที่ตลกน่าดู เพราะมู้ดของงานชุดนี้โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอารมณ์แห่งความอาลัยอาวรณ์หรือครุ่นคิดแต่อย่างใด
-เปิดอัลบั้มด้วย Anything to Be with You ที่โหมกระหน่ำความ upbeat funk เป็นการส่งสัญญาณถึงมู้ดแห่งความกล้าหาญต่อจากนี้ Kamikaze ที่เผยความกล้าได้กล้าเสียเป็นพิเศษ โดยที่ไม่เกรงกลัวผลลัพธ์แห่งการทำร้ายตัวเองในภายหลัง เมื่อหันเหไปยังคนรักเก่าอย่างไม่ลังเล เริ่มเปิดบีทที่แปลกตาขึ้นเรื่อยๆในเพลง After Last Night ที่ให้กลิ่นอายความเป็น video game และความวูบวาบที่เริ่มเร่งสปีดขึ้นเรื่อยๆ
-Aeroplanes เพลงแห่งความซุกซนที่ lyrics คิดดีไม่ได้เลย ซินธ์ป็อปแบบดุ่มๆ มาเวย์สยิวใต้แสงเทียน Shy Boy เพลงที่แต่งไว้นานมากๆตั้งแต่ปี 2010 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่เธออ่อยใครบางคนใน local bar แห่งนึงในแวนคูเวอร์เมื่อนานมาแล้ว ด้วยความที่ยังหาตีมที่ลงตัวกว่านี้ไม่ได้ จนกระทั่ง James Ford โปรดิวเซอร์หลักของเพลงนี้รังสรรค์ซาวน์ด disco ได้สะดีดสะดิ้งตรงจริตเธอมากที่สุด จึงบังเกิดเพลงนี้ขึ้นมาจนได้
-ในขณะที่ Psychedelic Switch มีลูกเล่น house ตี๊ดๆแบบ Daft Punk ที่กลมกล่อมและเปี่ยมสุขจนผมรู้สึกคลิกเอามากๆ จากที่เคย insecure ตอนนี้ถูกสวิตช์ความคิดเหล่านั้นให้เกิดอณูแห่งความแช่มชื่น ตาเป็นประกาย และเซ็กซี่เร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม
-ในเพลง So Right จะมี skit ที่เป็นบทสนทนาประชุมงานระหว่างตัวเธอและแฟนหนุ่มโปรดิวซ์เซอร์ Cole M.G.N. โดยมีเสียงมอเตอร์ไซค์แทรกเป็นการเสริมบรรยากาศในการเล่าเรื่อง ในเนื้อเพลงยังสื่อถึงแฟนหนุ่มที่กลายเป็นคนที่ใช่ อีกทั้งชื่อเพลงยังพ้องเสียงกับชื่อเพลง So Nice ในชุดที่แล้วซึ่งเพลงดังกล่าวเป็นการบอกรักแฟนหนุ่มผ่านเพลงเป็นครั้งแรกด้วย Come Over เป็นการตอกย้ำโมเมนต์แห่งผีเสื้อบินในท้อง และการบอกรักแบบตะโกนให้แผ่ซ่านกลางใจสเตเดียมในเพลง Stadium Love
-ใช่ว่าจะเต็มไปด้วย vibe แห่งความคลั่งรักเสมอไป เธอยังสอดแทรกโหมด hurt มาแซม ประหนึ่งช่วงเปลี่ยนผ่านความเหงาที่ Kollage ซึ่งเป็นเพลงที่คารี่ย์โปรดปรานที่สุดและผมก็ชอบมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น vibe ยุค 80’s อันต้องมนต์ และการเอื้อนเอ่ยสุด emotional บาดลึกในแบบที่คนแพ้ย่อมต้องฮีลใจตัวเอง
-Put It To Rest เพลงเศร้าของคนรู้สึกผิดที่ไม่สามารถรักษาทุกสิ่งอย่างได้ โดยเฉพาะการกลับไปมีเวลาให้กับยายของเธอมากกว่านี้ ซึ่งการสูญเสียยายเป็น key message สำคัญที่เป็นหนึ่งในสารตั้งต้นของอัลบั้มชุดที่แล้ว โดยเฉพาะเพลง Bends แต่สำหรับเพลงนี้เดินบีทและเปียโนได้อย่างโหวงเหวงแปลกหูกว่าเพลงก่อน ซึ่งฉีกสูตรป็อปบัลลาดสุดเศร้าแบบเดิมๆที่คุ้นชินจากเพลงก่อนๆไปเลย
-ส่วนโบนัสแทร็คอย่าง Weekend Love ที่ให้อารมณ์ปล่อยวางแบบเดียวกับ No Thinking Over the Weekend อันเป็นเพลงแถมจากอัลบั้มก่อนเหมือนกัน เพียงแต่มู้ดของเพลงนี้แทบจะเป็นสูตรสำเร็จจ๋ามากกว่า No Thinking… ที่มีลวดลายอันน่าพิสมัยยิ่งกว่า ถือว่าเป็นเนเจอร์ของเพลงแถมที่รู้ๆกันในเรื่องของ fan service ซึ่งมักจะไม่สลักสำคัญต่อคอนเซ็ปต์หลักมากเท่าไหร่นัก
-ด้วยวัย 37 ปีของนักร้องสาวแคนาดายังคงสนุกอยู่กับการหยิบจับเรื่องราวความรักใกล้ตัว แล้วเอามาหยิบใส่ในเดรสใหม่ๆด้วยลูกไม้และเนื้อผ้าที่ระยิบระยับกว่าเดิม ราวกับว่าเธอเลือกที่จะไม่เก็บตัวแบบในยุค The Loneliest Time ที่ยังไม่ได้ร่าเริงเต็มที่ด้วยสถานการณ์และห้วงอารมณ์ความเหงา isolation มันพาไป
-และความแปลกตาของเดรสพร้อมออกงานดังกล่าวทำให้ The Loveliest Time มีความท้าทายในการฟังระดับนึงตรงที่ลูกเล่นอันไม่คุ้นชินจนเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ทุกครั้งที่ฟัง นั่นก็ทำให้เรายังจับความ catchy แบบชี้เป็นเพลงได้ตั้งแต่แรกฟัง
-ในแง่การหาความแปลกใหม่สไตล์หลุดจากเซฟโซนถือว่าสอบผ่าน แต่ถ้าเรื่องความแข็งแรงของ lyrics ยังสู้ The Loneliest Time ไม่ได้ รวมๆแล้วยังเสมอตัวเมื่อเทียบกันจริงๆ อย่างไรก็ดีการยืนหยัดในวงการของเธอคนนี้ที่ไม่มีเรื่องหวือหวามาเป็นธาตุไฟแทรกนั้นยังคงเป็นความสบายใจของ cult followers อย่างต่อเนื่องในแง่ที่ไม่ต้องแบกรับความคาดหวังไปมากกว่านี้ อย่างน้อยคงรอเสพ content ที่จับต้องได้จากนักร้องสาวบ้านๆที่ยังคงหวานปนขมในแบบที่แล้วแต่ที่ธรรมชาติจะนำพาไป
เงื่อนไขของเวลาก็มีส่วนเช่นกัน
Top Tracks : Kamikaze, After Last Night, Aeroplanes, Shy Boy, Kollage, Psychedelic Switch, So Right
Give 7/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา