Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
AdminField
•
ติดตาม
4 ก.ย. 2023 เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์
กัญชาเสรี: ทำไมต้องเลือกด้วย! ถามก่อน...
เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2566 ขณะที่คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กำลังลงพื้นที่รณรงค์ต่อต้านนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทยอยู่ในพื้นที่ถนนข้าวสารนั้น ได้มีทางผู้จัดงานเข้ามาพูดคุยกับคุณชูวิทย์ แทบหวิดปะทะกันเลยก็ว่าได้ จนมีช่วงหนึ่งที่ผู้จัดงานท่านหนึ่ง ถามกลับคุณชูวิทย์ ตามที่ปรากฏในข่าวว่า “...พี่อยากให้ลูกพี่สูบกัญชาหรือว่าสูบยาบ้า หรือว่าสูบไอซ์...” (
https://www.youtube.com/watch?v=rWTfYVxvWvc
)
(ภาพ: รายการ เรื่องเล่าเช้านี้)
แอดมินได้ยินประโยคดังกล่าวแล้ว ถึงกับสะดุ้งจนอยากร้องโอ้ว! ให้ดังสามบ้านแปดบ้านและยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้เลยทีเดียว แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น แอดมินต้องขออนุญาตทุกท่านนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับกัญชากันก่อนก็แล้วกันนะครับ เผื่อว่าบางท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า กัญชามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เอาประดับเป็นความรู้ไว้กันนะครับ อย่างน้อยก็รู้เป็นเพื่อนแอดมินก็ยังดีครับ
กัญชา หรือ กัญชา-กัญชง เดิมเป็นพืชที่ขึ้นอยู่ในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย สันนิษฐานว่ามีการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้างอยู่ทางตอนกลางของทวีป ได้แก่ พื้นที่ทางตอนใต้ของเมืองไซบีเรียในประเทศรัสเซีย ทางตอนเหนือของเมืองแคชเมียร์ในประเทศอินเดีย เชิงเขาหิมาลัย และในประเทศจีน
คำว่า “กัญชา” เป็นคำเรียกมาจากภาษาอินเดีย ซึ่งชาวอินเดียได้มีการนำพืชชนิดนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางต่าง ๆ ทั้งการใช้เป็นเส้นใย ตลอดจนสิ่งเสพติดมาตั้งแต่สมัยโบราณ จากนั้นได้มีผู้นำกัญชาเผยแพร่เข้ามาถึงยังประเทศอินโดนีเซีย หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตลอดจนประเทศในพื้นที่เขตร้อนและอบอุ่นของโลก
ในปี 960 – 1279 ก่อนคริสตกาล ได้มีการบันทึกไว้ว่า ประเทศจีนได้นำกัญชงมาปลูกเป็นพืชสำหรับทำเส้นใย และในสมัยโรมันก็ได้มีการนำเข้าพืชชนิดนี้จากทวีปเอเชียมาปลูกไว้ในประเทศอิตาลี แล้วก็ได้แพร่กระจายไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ขณะเดียวกันได้มีการระบุว่า ถ้าจะสืบย้อนกลับไปถึงที่มาของกัญชาแล้ว พบว่ามีการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยหินเก่าแล้วด้วยซ้ำราว 26,900 ปีก่อนคริสตกาล โดยนักโบราณคดีได้ค้นพบเชือกโบราณที่ทำด้วยเส้นใยของต้นกัญชาจากประเทศสาธารณรัฐเช็ก เมื่อปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)
รวมถึงประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการค้นพบแปลงเกษตรที่คาดว่า จะเป็นแปลงสำหรับปลูกกัญชา แล้วนำเส้นใยที่ได้จากกัญชานั้นมาใช้ในงานเครื่องปั้นดินเผาของชาวไต้หวันสมัยโบราณ ต่อมาราว 6,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนยุคโบราณได้มีการนำเมล็ดของกัญชามาสกัดเป็นน้ำมัน สำหรับการปรุงอาหาร แต่ก็ไม่ได้ระบุถึงผลข้างเคียงว่าดป็นอย่างไรบ้าง ไม่ปรากฏ
ภาพต้นกัญชาที่วาดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 512 (พ.ศ. 1055, ภาพ: ไทยรัฐออนไลน์)
นอกจากน้ำมันกัญชาแล้ว ที่ประเทศจีนก็เช่นเดียวกัน ได้มีการนำกัญชามาสกัดเป็นยาในสมัยสมเด็จพระจักรพรรดิเสินหนง หรือเฉินหนง ทำให้ช่วงนี้กัญชาเริ่มมีบทบาทในการเชื่อมโยงเข้ากับตำนานและพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้ามากขึ้น จากผลข้างเคียงของกัญชาที่ส่งผลให้เกิดอาการจิตล่องลอย ประหนึ่งว่าสามารถสื่อสารกับพลังเหนือธรรมชาติได้ เพราะกัญชามีสารที่เรียกว่า “เตตราไฮโดรแคนนาบินอล” (Tetrahydrocannabinol, THC) ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นทางประสาท จนทำให้ผู้ที่ใช้สารจากกัญชามีอาการตาเยิ้ม
สมเด็จพระจักรพรรดิเสินหนง หรือเฉินหนง ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาแห่งการแพทย์สมุนไพรจีน" และ "เทพกสิกรรม" ตามตำนานของจีน (ภาพ: ไทยรัฐออนไลน์)
แล้วกัญชาเองก็ยังเป็นหนึ่งในเครื่องบูชาที่สำคัญ อันจะขาดตกบกพร่องไปไม่ได้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ชาวอินเดียสมัยโบราณมีการนำใบกัญชาแห้ง เมล็ด และกิ่งก้านมาใช้เป็นยาที่เรียกว่า “บัง” (Bhang) ซึ่งอยู่ในฐานะที่เป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์ตามที่ปรากฏในคัมภีร์อาถรรพณ์เวท และถวายเป็นเครื่องสักการะแด่พระศิวะตามความเชื่อของพวกเขา
ภาพวาดพระศิวะ หรือพระอิศวรกำลังทรงบดกัญชา (ภาพ: Exotic India Art)
นอกจากอินเดียแล้ว ประเทศอียิปต์ก็ได้มีการนำกัญชา หรือที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า “เชมเชมตู” (Shemshemtu) มาใช้ประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการนำไปแปรรูปเป็นเส้นเชือกและใบเรือเหมือนกับชนโบราณกลุ่มอื่น ๆ ของโลก หรือการนำกัญชาไปผสมกับน้ำผึ้งทำเป็นยาที่ช่วยในการคลอดบุตร เป็นส่วนผสมในการทำยาสำหรับล้างตาเพื่อรักษาอาการต้อหิน
แล้วใครกัน! ที่นำกัญชามาเสพสร้างความบันเทิงใจเป็นคนแรก เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยชาวไซเทียน (Scythians) ที่อาศัยอยู่ตอนกลางทวีปเอเชียและประเทศอิหร่าน เริ่มต้นจากการปลูกกัญชาเพื่อใช้ในการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม หลังจากนั้นประมาณ 480 ปีก่อนคริสตกาล ชาวไซเทียนได้นำกัญชามาเสพเพื่อความบันเทิงเป็นครั้งแรกของโลก
โดยเฮโรเดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ว่า ชาวไซเทียนจะโยนเมล็ดกัญชาลงไปบนหินที่ร้อนแดงจนมันพ่นควันออกมา ชาวไซเทียนจะร้องโหยหวนด้วยความสุขกับไอควันนั้น พวกเขาอาบควันแทนน้ำ เพราะพวกเขาไม่เคยอาบน้ำเลย จากนั้นเป็นต้นมา กัญชาก็ได้อยู่ในฐานะพืชบันเทิงใจ ดังที่ชาวโรมันเขาเรียกกันว่า “ใบไม้แห่งเสียงหัวเราะ” (Leaves of Laughter)
กัญชา นอกจากจะเป็นทั้งเชือก ยารักษาโรค หรือแม้แต่เครื่องสร้างความปรีดิ์เปรมทางจิตใจแล้ว ยังถือเป็นส่วนผสมหนึ่งที่อยู่ในอาหารและเครื่องดื่มอีกด้วย โดยชาวโรมันจะนำกัญชาผสมลงไปในไวน์สำหรับดื่มเพื่อความมึนเมา
หลังจากนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 800 (พ.ศ. 1343) กัญชาก็ได้รับความนิยมอย่างมากในทวีปตะวันออกกลาง อันเป็นผลมาจากการแผ่ขยายอำนาจของชาวมุสลิม แม้ในพระคัมภีร์อัลกุรอานจะได้บัญญัติไว้ไม่ให้ชาวมุสลิมดื่มหรือเสพของมึนเมาต่าง ๆ ก็ตาม แต่กัญชาไม่ได้ระบุไว้แต่อย่างใด นั่นจึงเป็นเหตุที่ให้พืชชนิดนี้แพร่หลายไปทั่วตะวันออกกลางอย่างรวดเร็ว
ราวปี ค.ศ. 1621 (พ.ศ. 2164) ได้มีรายงานเรื่อง กายวิภาคศาสตร์ของโรคซึมเศร้า (Anatomy of Melancholy) โดยนายแพทย์โรเบิร์ต เบอร์ตัน (Robert Burton) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคซึมเศร้า ระบุว่ากัญชาอาจจะใช้รักษา หรือบรรเทาอาการที่เกิดจากโรคซึมเศร้าได้
ภาพวาดของนายแพทย์โรเบิร์ต เบอร์ตัน (ภาพ: Wikipedia)
จึงทำให้กัญชากลายเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมากสำหรับคนทุกวงการ โดยเฉพาะวงการนักเสพที่มักจะมีการซื้อขายครั้งละหลาย ๆ กิโลกรัม ไม่ว่าจะเป็นแบบต้น แบบใบ แบบผง หรือแบบอัดแท่ง ส่วนราคาไม่ต้องพูดถึง เพราะยิ่งปริมาณมาก ราคาก็สูงลิ่วตามไป ดังนั้น เมื่อความอยากมาก ปริมาณในการส่งออกและนำเข้ากัญชาก็ย่อมมีมากด้วยเช่นกัน แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเอาไปเสพเพื่อความบันเทิงใจส่วนใหญ่ จนกลายเป็นการเสพติดไปก็หลายรายพอสมควร
ดังนั้นในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515) ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ได้พยายามทำสงครามกับยาเสพติด เขาจึงให้เวลาทีมวิจัยจากรัฐเวอร์จิเนียเป็นเวลา 2 ปีในการศึกษาว่ากัญชาส่งผลต่อมะเร็งปอดในมนุษย์อย่างไร โดยหวังว่าถ้าผลลัพธ์ออกมาว่ากัญชามีผลเสียเหมือนกับบุหรี่ก็จะได้จัดการกำราบอย่างเด็ดขาด
แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์กลับออกมาตรงกันข้าม รายงานกลับสรุปว่ากัญชาสามารถเข้าไปโจมตีเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ แถมยังไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย ทำเอาท่านประธานาธิบดีริชาร์ดถึงกับ “หัวร้อน” เลยตัดสินใจทิ้งรายงานฉบับนั้นลงถังขยะไปเหมือนกับ “ทิ้งรักลงแม่น้ำ” ปานนั้นทีเดียว ก่อนจะปิดเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับมาอย่างยาวนานหลายสิบปีเลยทีเดียว เมื่อกล่าวว่ากัญชาอาจจะสามารถรักษาโรคซึมเศร้าได้แล้ว
ส่วนหนึ่งของผลการวิจัยเกี่ยวกับกัญชา ในปี ค.ศ. 1972 (พ.ศ. 2515, ภาพ: NORML)
ในประเทศไทยก็ได้ปรากฏหลักฐานว่ามีการนำกัญชามาใช้เพื่อรักษาโรคผ่านตำรับตำราต่าง ๆ เช่น ตำราโอสถพระนารายณ์ สมัยอยุธยาตอนปลายที่ระบุว่า กัญชานำไปเป็นหนี่งในส่วนผสมเพื่อบรรเทาอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ และยังใช้เป็นส่วนผสมของยาที่ช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย แต่! ต้องกินพอสมควรเท่านั้น หมายความว่าชนโบราณทราบดีว่ากัญชาจะส่งผลเสียเมื่อมีการบริโภคมากเกินไป
ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้การใช้กัญชาในรัฐโคโลราโดถูกกฎหมายตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557)
ส่วนประเทศไทยก็ได้ค่อย ๆ ปลดล็อกกัญชาให้สอดคล้องกับนโยบายกัญชาเสรีที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้ใช้หาเสียงและเสนอต่อรัฐสภา โดยได้นำกัญชาออกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เพื่อใช้ในทางการแพทย์
อีกทั้งยังมีการออกประกาศและระเบียบของกระทรวงสาธารณสุข ให้แพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มให้การรักษาด้วยสารสกัดกัญชา เรื่อยมาจนถึงการเสนอ “ร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ. ...” และ “ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์กัญชา กัญชง พ.ศ. ....” ซึ่งอยู่ในระหว่างการปัดตก รอการเสนอใหม่ “ถ้า” ได้เป็นรัฐบาล หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 เสร็จสิ้นลง
(ภาพ: ข่าวสดออนไลน์)
กลับมาตรงประโยคที่ว่า “...พี่อยากให้ลูกพี่สูบกัญชาหรือว่าสูบยาบ้า หรือว่าสูบไอซ์...” แอดมินก็ต้องขอย้อนถามกลับไปที่ผู้พูดนะครับว่า “ทำไมเราต้องเลือกด้วย!” ลำพังยาเสพติดก็เป็นปัญหาใหญ่มากพออยู่แล้ว มีการลักลอบซื้อ ขาย เสพอยู่ร่ำไป เพราะมันราคา “ถูก” มาก เผลอ ๆ แล้วอาจจะถูกกว่ามาม่าซองนึงด้วยซ้ำไป
ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่สามารถสรุปได้สักทีว่า นโยบายกัญชาเสรีนั้น เสรีเพื่ออะไรกันแน่! จะเพื่อการแพทย์ หรือเพื่ออะไร? แต่ไม่ทันที่ความชัดเจนจะ “กระจ่าง” กลับปรากฏว่ามีพี่น้องกลุ่ม “สายเขียว” คิดเองเออเอง พร้อมใจกันเผยโฉมและสูบพี้กันอย่างอิ่มหมีพีมันอย่าง “ไม่สนใจโลก” เท่านั้นไม่พอยังพบการนำกัญชาไปแปรรูปเป็นสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย (ส่วนหนึ่งมาจากการที่หัวหน้าพรรคภูมิใจได้เคยปราศรัยไว้
https://www.mtoday.co.th/33695
)
และมีข่าวที่มีคนเสพสมกัญชาหรืออะไรก็ตามที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมในนั้น แล้วเกิดอาการหลอน คลุ้มคลั่ง จนก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นเขา ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนตาย ทำร้ายคน ปล้นจี้อย่างบ้าบอ เพราะนโยบายกัญชาเสรี “งี่เง่า” พันธุ์นั้น ซ้ำยังมีเด็กที่เข้าไปพัวพันกับของพวกนั้น ในฐานะผู้ซื้อและผู้เสพ เด็กสุดแค่ชั้นประถมฯ อีก
พอมาเจอประโยคที่ว่า “...พี่อยากให้ลูกพี่สูบกัญชาหรือว่าสูบยาบ้า หรือว่าสูบไอซ์...” อย่างที่แอดมินบอกไปเบื้องต้นนะครับว่า ถึงกับสะดุ้งจนอยากร้องโอ้ว! ให้ดังสามบ้านแปดบ้านและยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้เลยทีเดียว แต่แอดมินขอแถมให้อีกนิดว่า เมืองไทยมาถึงจุดนี้แล้ว...ลำพังยาเสพติดก็เป็นปัญหาพออยู่แล้ว
อย่าว่าแต่เรื่องยาเสพติดเลย เรื่องปากท้องก็เรื่องใหญ่นะครับ ภาครัฐเคยเลียวแลมองบ้างหรือเปล่าครับ ดีแต่แจก ๆ นึกว่าอยู่งาน “ทิ้งกระจาด” ไม่ก็งาน “ชิงเปรต” แต่เอาเถอะ...นั่นคงจะเป็นสติปัญญาที่รัฐบาลพอจะทำได้ กัญชาก็เหมือนกัน คิดวึคนจะสูบแล้วอารมณ์ดีกันหมดหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับใช้กัญชาเกินขนาดเกิดขึ้นมากมายอยู่แล้ว
แอดมินเห็นด้วยนะครับ ถ้าจะนำกัญชาไปใช้ในประโยชน์ในทางการแพทย์จริง ๆ แต่ถ้าเพื่อเป็นการสันทนาการแล้ว เห็นทีแอดมินคงไม่ขอร่วม “สังฆกรรม” ด้วยคนละครับ คิดหรือว่า คนไทยมี “วิจารณญาณ” มากพอขนาดนั้นเลยหรือครับ ลำพังระบบการศึกษายังเป็นแบบ “ท่องจำ” อยู่เลย จะเอาอะไรมามีประโยชน์
คุณอยากจะสูบก็สูบไป อยากจะพี้ก็พี้ไปนะครับ แต่ถ้าสูบแล้วช่วยกรุณาควบคุมจิตใจไม่ให้กมล ันดานตัวเองออกมาสร้างความปั่นป่วนให้กับคนอื่นให้ได้ก็แล้วกันนะครับ
คุณบอกว่าลูกคุณก็สูบ ก็เรื่องของลูกคุณ แต่ขอให้คุณรู้ไว้นะครับ คุณคือพ่อคนที่ใช้ไม่ได้อย่างยิ่ง รู้ทั้งรู้ว่ามันดีไม่ได้ดียังไง ก็ไม่ห้ามปราม แถมยังสนับสนุนอีก ต่อให้ลูกคุณจะบรรลุนิติภาวะแล้วหรือไม่ มันก็ไม่ดีอย่างที่คุณคิดหรอกครับ ยังมีหน้ามาถามอีกว่า อยากให้สูบกัญชาหรือว่าสูบยาบ้า หรือว่าสูบไอซ์อีก ดูสิครับ...คนเรา
ถ้าเป็นไปได้...แอดมินอยากให้มีการออกกฎหมาย “ควบคุม” กัญชา กัญชงมาก ถ้าใครนำไปเสพเพื่อความบันเทิง แล้วสร้างความเดือดร้อน ให้ยึดทรัพย์ไปเลย เพราะไม่ต่างอะไรกับการประหารชีวิตหรอก ลำพังทุกวันนี้ การไม่มีเงินก็ไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็นหรอกครับ
แต่ถ้าสูบพี้แล้วไปทำร้ายร่ายกายจิตใจคนอื่น หนักสุดถึงกับมีการฆ่าคนตายแล้ว ควรให้มีโทษประหารชีวิตเหมือนกับผู้ที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษเพื่อจำหน่าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ไปเลย จะได้รู้ว่าการปล่อยให้กัญชาเสรีมากเกินไปควรเป็นแบบนี้
ดังนั้น แอดมินจึงขอฝากไปถึง “พรรคภูมิใจไทย” ด้วยนะครับ ถ้าท่านยังจะเดินหน้านโยบายนี้ต่อ (ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม) ขอให้พวกท่านจึงพึงสังวรไว้ว่า พวกท่านกำลังมอมเมา เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง ไม่ต่างอะไรจากการ “ปล้น” อำนาจอธิปไตยมาจากประชาชน อันเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเลยสักนิดครับ
สุดท้ายนี้ แอดมินฝากไปถึงทุกท่านด้วยความปรารถนาดีไว้นะครับว่า คิดดีแล้วหรือ? ที่จะให้กัญชาเป็นสิ่งเสรี ตราบใดที่วิจารณญาณของคนไทยยังไม่มากพอ อย่าเอาใจตน หรือพวกพ้อง หรือผลประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่นะครับ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งนะครับ จำเอาไว้!
อ้างอิง:
●
กัญชง-กัญชา และประวัติความเป็นมา โดย สำนักงาน ป.ป.ส. (
https://www.oncb.go.th/ncsmi/hemp7/กัญชง-กัญชา.pdf
)
●
ประวัติศาสตร์ฉบับย่อของ “กัญชา” โดย ไทยรัฐออนไลน์ (
https://www.thairath.co.th/news/society/1570476
)
●
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 โดย สำนักงาน ป.ป.ส. (
https://www.oncb.go.th/Home/DocLib3/รวมกฎหมายยาเสพติด/กฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับยาเสพติด/03law.pdf
)
●
เลือกตั้ง 2566 : "ศุภชัย" ชี้ ไม่เกินสิ้นปี 2566 "ก.ม.กัญชา" คลอดแน่นอน โดย ไทยรัฐออนไลน์ (
https://www.thairath.co.th/news/politic/2639871
)
●
เส้นทางปลดล็อกกัญชา ไม่ผิดกฎหมาย สายเขียว ต้องรู้ โดย ไทยรัฐออนไลน์ (
https://www.thairath.co.th/scoop/infographic/2298547
)
#AdminField #ชอบเล่าชอบแชร์แต่ไม่ชอบเป็นคนดีย์
#กัญชาเสรี #พรรคภูมิใจไทย
กัญชา
สังคม
การเมือง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย