4 ก.ย. 2023 เวลา 11:56 • ธุรกิจ

Novo Nordisk เป็นบริษัทใหญ่สุดในยุโรป แซงหน้า เจ้าของหลุยส์ วิตตอง

วันนี้ Novo Nordisk บริษัทจากประเทศเดนมาร์ก มีมูลค่าแซงหน้า LVMH เจ้าของแบรนด์หรู เช่น หลุยส์ วิตตอง และซีลีน ขึ้นมาเป็นบริษัท มูลค่ามากสุดในยุโรปได้สำเร็จ
10
ถ้าถามว่า Novo Nordisk ทำธุรกิจอะไร ?
คำตอบก็คือ ยา โดยเฉพาะยาเบาหวาน ที่ผู้ใช้ยารักษาโรคเบาหวานกว่า 4 ใน 10 ใช้จากบริษัทแห่งนี้
3
Novo Nordisk เป็นมาอย่างไร
และโมเดลธุรกิจยา น่าสนใจขนาดไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Novo Nordisk เป็นบริษัทสัญชาติเดนมาร์ก ถูกก่อตั้งโดยคุณ August และคุณ Marie Krogh
1
ก่อนที่จะมาก่อตั้งบริษัท หนึ่งในสองคนนี้ เป็นโรคเบาหวานมาก่อน
1
แต่เมื่อทั้งสองคนได้ยิน เรื่องการรักษาโรคเบาหวานด้วยการใช้อินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
1
โดยหลักการทำงาน คือ ใช้อินซูลินเข้าไปลดน้ำตาลในเลือด ช่วยแก้ปัญหากับผู้ป่วยเบาหวาน ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากเกินไป
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ทั้งคู่เลยเข้าไปหาคุณ Frederick Banting และคุณ Charles ซึ่งเป็นผู้คิดค้นการใช้อินซูลินรักษาโรคเบาหวาน เพื่อขอวิธีรักษา
1
จนในที่สุด ผู้คิดค้นก็ยินยอมมอบวิธีการรักษาให้ คุณ August และคุณ Marie Krogh จึงกลับมาเปิดบริษัทยา ที่เดนมาร์กบ้านเกิด ในปี 1923
1
ซึ่งบริษัทที่ว่านั้น คือ
“Novo Nordisk” ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน Novo Nordisk เป็นบริษัทผู้ผลิตและคิดค้น ยารักษาโรคต่าง ๆ โดยมีสินค้าตัวชูโรงเป็นยารักษาโรคเบาหวาน
1
หากเราแบ่งตามสัดส่วนรายได้ปี 2022 แล้ว จะพบว่า
- รายได้จาก ยารักษาโรคเบาหวาน 79%
- รายได้จาก ยารักษาโรคหายาก 12%
- รายได้จาก ยารักษาโรคอ้วน 9%
2
โดยในปี 2022 ที่ผ่านมา
บริษัทมีรายได้ 901,818 ล้านบาท
กำไร 283,551 ล้านบาท
6
จะเห็นว่า อัตรากำไรของบริษัทมากถึง 31% ซึ่งมากกว่า อัตรากำไรของบริษัทแบรนด์หรูอย่าง LVMH ที่ 18%
2
แล้วทำไม Novo Nordisk สามารถทำกำไร ได้สูงขนาดนี้ ?
1. โมเดลธุรกิจของบริษัท
2
โดยโมเดลธุรกิจของ Novo Nordisk คือ
หลังจากที่บริษัทวิจัยและพัฒนายาเสร็จ
ก็จะได้รับ “สิทธิบัตรยา”
8
“สิทธิบัตร” ที่ว่านี้ จะเป็นการคุ้มครอง ทรัพย์สินทางปัญญา รูปแบบหนึ่ง ป้องกันไม่ให้คู่แข่งอื่นมาลอกเลียนแบบสูตรยา
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คิดค้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
บริษัทยาจึงมีความสามารถในการตั้งราคา หารายได้จากยาที่คิดค้นขึ้นมาได้อย่างเต็มที่
4
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่า สิทธิบัตรยาก็มีอายุที่จำกัดเช่นกัน ในระยะยาว บริษัทยาจำเป็นต้องวิจัยและพัฒนา ยาตัวใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาการเติบโต
4
2. อุตสาหกรรมผู้ผลิตยา มีคู่แข่งน้อยราย
2
ต้องบอกว่า บริษัทยาแต่ละเจ้า จะมีความเชี่ยวชาญต่างกัน และยังต้องลงทุนวิจัยยาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจนี้จำเป็นต้องใช้งบลงทุนสูง ยากแก่การเข้ามาแข่งขัน
ด้วยกำแพงกั้นนี้ ทำให้บริษัทเล็ก ๆ เข้าสู่ตลาดได้ยาก หรือถ้ามีแววว่าจะพัฒนายาได้สำเร็จ ก็มักจะถูกบริษัทยารายใหญ่ซื้อกิจการ
3. ลงทุนการตลาดไม่สูง
2
ก็ต้องบอกว่า บริษัทมีช่องทางในการจำหน่ายยากับลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ อยู่แล้ว ซึ่งเป็นการขายแบบ B2B หรือ ธุรกิจขายให้ธุรกิจ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดไม่ต้องลงทุนสูง
แตกต่างจากสินค้าแบรนด์หรูอย่าง LVMH หรือแบรนด์อย่าง Apple ที่ขายให้กับคนทั่วไปโดยตรง
ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดจึงสูง
3
พอเป็นแบบนี้ ทำให้บริษัทนำเงินส่วนใหญ่ไป
ลงทุนวิจัยและพัฒนายาได้อย่างเต็มที่
หากเราไปดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี จะพบว่า
- ปี 2020
รายได้ 648,279 ล้านบาท
กำไร 215,187 ล้านบาท
- ปี 2021
รายได้ 719,028 ล้านบาท
กำไร 243,882 ล้านบาท
1
- ปี 2022
รายได้ 901,818 ล้านบาท
กำไร 283,551 ล้านบาท
2
รายได้ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 17.9% ต่อปี
กำไร คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 14.8% ต่อปี
ที่น่าสนใจไปกว่าการเติบโต ก็คือ “ส่วนแบ่งตลาด”
ในตอนนี้ Novo Nordisk ถือเป็นเจ้าตลาด ยารักษาโรคเบาหวาน โดยบริษัทครองส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกอยู่ที่ 41%
2
โดยอันดับ 2 คือ Eli Lilly มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 23%
เรียกได้ว่า Novo Nordisk มีส่วนแบ่งตลาด ทิ้งห่างจากคู่แข่งอันดับ 2 เป็นอย่างมาก
อีกเรื่องที่น่าจับตามองคือ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หุ้นของ Novo Nordisk ปรับตัวขึ้นมามากถึง 38%
1
ซึ่งมีเหตุผลหลัก ๆ มาจาก บริษัทประสบความสำเร็จในการขายยารักษาโรคอ้วนตัวใหม่ ที่ชื่อ “Wegovy”
และในปี 2022 กำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจกลุ่มนี้ เพิ่มขึ้นถึง 84% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเลยทีเดียว
1
ปัจจุบัน มูลค่าบริษัทของ Novo Nordisk เพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านล้านบาท นับเป็นบริษัทมูลค่ามากสุดในยุโรป แซงหน้า LVMH ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไม Novo Nordisk บริษัทยาจากเดนมาร์กถึงมีกำไรสูง และเติบโตมาได้อย่างสม่ำเสมอ
1
และในวันที่ยังมีคนป่วยจากโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคหายากอยู่ Novo Nordisk ก็ยังได้ประโยชน์ต่อไป
ซึ่งถ้าถามว่าความเสี่ยงของธุรกิจนี้คืออะไร
คำตอบก็คือ โลกที่ไม่มีผู้ป่วย ทุกคนแข็งแรง สุขภาพดี และไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาโรค ซึ่งก็คงเป็นเรื่อง ที่เป็นไปได้ยากเลยทีเดียว..
7
โฆษณา