4 ก.ย. 2023 เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“ดอกเบี้ยสหรัฐ” ใกล้จุดสูงสุด และยังทรงตัวสูงต่อเนื่อง

แนะมีหุ้น “สหรัฐ-อินเดีย” ติดพอร์ต โอกาสสร้างรีเทิร์นดีมี !!!
Fun of Funds: ความกังวลหลายอย่างในช่วงต้นปีดูจะคลี่คลายลงไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าสถานการณ์ลงทุนจากนี้จะไว้วางใจได้แต่ประการใด
ดอกเบี้ยสหรัฐน่าจะใกล้สู่จุดสูงสุดในปีนี้ และยังน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเพราะตัวเลขเงินเฟ้อยังคงห่างไกลเป้าหมายอยู่พอสมควร ส่วนเศรษฐกิจโลกปีหน้าล่าสุด “ธนาคารโลก” ก็เพิ่งปรับเป้าลงเหลือ 2.4% ลดลงจากเดิม -0.3%
เรียกว่า “ความท้าทาย” ในโลกการลงทุนยังคงมีอยู่และนักลงทุนเองคงต้องขยับปรับพอร์ตรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงด้วยเช่นกัน
ซึ่งวันนี้ทีมงาน ‘โต๊ะกองทุน Wealthy Thai’ มีมุมมองการลงทุนและคำแนะนำที่น่าสนใจมาฝากกัน
“ปรับกลยุทธ์”…ชู “Core & Satellite” รับ 4 ความท้าทายโลกการลงทุน
โดย “อดิศร เสริมชัยวงศ์” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย มองว่า ภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับในแต่ละประเทศแกนหลักของโลกต่างก็ให้ภาพจังหวะการฟื้นตัวที่แตกต่างกัน โลกของการลงทุนจึงต้องปรับตัวให้ทันกับความท้าทายที่โลกต้องเผชิญใน 4 เรื่องหลัก
ได้แก่ 1) การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) 2) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ต่างๆ (Uncertainty) 3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global Heating) และ 4) สังคมสูงวัยขยายตัว (Silver Gen) อย่างไรก็ดี ทุกการเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาส ซึ่งผู้ประกอบการที่มองเห็นโอกาสนั้นก่อนย่อมได้เปรียบทางการแข่งขัน ในแง่ของการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีได้ทันกับความต้องการของผู้บริโภค และการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตร 3 ต่อ ทั้งต่อลูกค้า ต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืนในที่สุด
“อย่างไรก็ตาม ‘ทุกการเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาส’ การลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์บางประเภท ถือเป็นความเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่ง แนะจัดพอร์ตแบบ ‘Core and Satellite’ โดยแบ่งสัดส่วน Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 70%-80% ของพอร์ตผ่านกองทุนผสมกสิกรไทย และ Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20%-30% ของพอร์ต โดยเลือกลงทุนตามสถานการณ์เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร”
“หุ้น S&P500” ให้ผลตอบแทน 7 – 15% หลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย 3 – 6 เดือน
ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) หรือไม่นั้น
“วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์” รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย มองว่า โอกาสเกิดถือว่าน้อยลงและถ้าจะเกิดก็คงเป็นแบบบางๆ ไม่รุนแรงอะไร ส่วนทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ ปัจจุบัน Fed ขึ้นมาอยู่ระดับ 5.5% น่าจะใกล้ระดับสูงสุดแล้ว ถ้าจะมีโอกาสปรับขึ้นก็อาจจะทำได้อีกครั้งก่อนสิ้นปีนี้
แล้วจะคงดอกเบี้ยในระดับสูงไว้เพื่อรอดูว่าจะสามารถเอาเงินเฟ้อให้ปรับตัวลดลงมาได้หรือไม่ คงไม่รีบลดดอกเบี้ยลงเร็วแต่ประการใด เพราะเงินเฟ้อสหรัฐแม้จะชะลอตัวลงและผ่านจุดสูงสุดไปแล้วก็จริงแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ค่อนข้างมาก
“จากสถิติหลัง Fed หยุดขึ้นดอกเบี้ย ดัชนี S&P500 จะให้ผลตอบแทน 7 – 15% หลังจากนั้น 3 – 6 เดือน แม้เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะโตต่ำแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ดี เศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าที่เคยบอกจะ recession เริ่มเห็นโตได้อ่อนๆ และบางไตรมาสอาจจะโต 0.1% หรือติดลบ -0.1% ยังไม่น่ากังวลมาก
เพราะจากที่เคยมองกันว่าจะเข้าสู่ recession มาสู่พาร์ตรงนี้ ถ้ามองไปไกลๆ เศรษฐกิจสหรัฐที่โตอ่อนๆ ขนาดนี้เพราะการเติบโตเขากระจายไปในทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม ของทุกชนชั้น โดยคาดว่าจะโตได้ 0.7% ในปี24 และเร่งตัวเป็น 1.9% ในปี25 ซึ่งถือว่าไม่เลวสำหรับเศรษฐกิจที่ใหญ่โตอย่างสหรัฐ”
“สหรัฐ-อินเดีย” 2 ตลาดที่ควรมีติดพอร์ต
เช่นเดียวกับ “มทินา วัชรวราทร” ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย ที่มองว่า “หุ้นสหรัฐ” ถือเป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจแม้ว่าปีนี้ตลาดจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากแล้วก็ตาม แต่เป็นการขึ้นที่มีการเติบโตของกำไรรองรับ ไม่ใช่แค่ขึ้นมาเพราะ P/E หรือ Sentiment ของตลาดเท่านั้น
แม้กำไรบจ.ไตรมาส2จะชะลอตัวลงไม่มีอะไรโดดเด่น แต่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกำไรบจ.ในครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ไตรมาสที่3 ก็น่าจะดีกว่าไตรมาสที่2 นักวิเคราะห์ไม่ได้ปรับประมาณการกำไรลงแล้ว มีปรับขึ้นด้วย ช่วงประกาศผลประกอบการบจ.ที่ผ่านมา จะเห็นว่าทั้ง “Nasdaq” และ “S&P500” ตลาดค่อนข้างไซด์เวย์ย่ำฐานอยู่กับที่ เพราะว่าหุ้นบางตัวที่เกี่ยวกับ AI ซึ่งเป็นหุ้นขนาดกลาง-เล็กบางตัวขึ้นมา 100-200% พอกำไรออกมาเป็นไปตามคาด
ก็เจอขายทำกำไรลงมา -30 ในช่วงตลาดหุ้นสหรัฐกำลังย่ำฐานสะสมกำลังหรือปรับฐานในตอนนี้เป็นโอกาสในการซื้อ
“อีกตลาดที่น่าสนใจและไม่อยากให้นักลงทุนพลาดไป คือ ‘หุ้นอินเดีย’ แม้นักลงทุนจะมองว่าแพงแต่เราจะไม่เห็นหุ้นอินเดียถูกในระยะเวลาอันสั้นเพราะเป็นตลาดที่มีพื้นฐานรองรับ ถ้าซื้อหุ้นอินเดียแล้วถือมาตั้งแต่ปี2020 ผลตอบแทน outperform หุ้นสหรัฐ, หุ้นจีน, หุ้นไทย และหุ้นเอเชีย
ปัจจุบัน P/E ประมาณ 19 เท่า ใกล้เคียงกับ S&P500 แต่กำไรโต 15% สูงกว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีเงินลงทุนของรายย่อยอินเดียเองที่เข้าไปลงทุนตลอดจนเงินลงทุนจากต่างชาติที่เห็นถึงโอกาสจากการเติบโตที่มาจากการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอินเดียเอง อินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจโตไม่ต่ำกว่า 5% ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยแนะนำให้มีหุ้นอินเดียในพอร์ตไม่เกิน 10 – 15%”
แม้เศรษฐกิจและตลาดการลงทุนในปีหน้าจะมีความท้าทายที่รออยู่ แต่ต้องไม่ลืมว่าในทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมีโอกาสในการลงทุนอยู่เสมอ และการจัดพอร์ต (Asset Allocation) อย่างเหมาะสมยังเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในกลยุทธ์ที่แนะนำก็คือ “Core & Satellite” ที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตลงทุนได้เป็นอย่างดี และไม่ควรพลาด 2 ตลาดหุ้น “สหรัฐ-อินเดีย” ติดไว้ในพอร์ตด้วยเช่นกัน
โฆษณา