5 ก.ย. 2023 เวลา 01:48 • ท่องเที่ยว

Diu Fortress .. Gujarat

Diu Fortress : ป้อมปราการดิอู, Gujarat
Diu แตกต่างจากอดีตอาณานิคมโปรตุเกสหลายแห่งในอินเดีย โดยยังคงรักษาสิ่งปลูกสร้างทางประวัติศาสตร์ สถานที่สำคัญ และบ้านเรือนของวัฒนธรรมโปรตุเกสหลายแห่ง .. เป็นเวลาเกือบ 400 ปีที่ชาวโปรตุเกสเป็นมหาอำนาจอาณานิคมใน Diu ซึ่งเป็นด่านหน้าของเกาะเก่าแก่
ในบรรดาสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมหลายแห่งที่สร้างขึ้นโดยอำนาจของยุโรป .. ป้อม Diu เป็นหนึ่งในสมบัติที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย
ฉันยืนมองป้อมประวัติศาสตร์แห่งนี้อยู่เนิ่นนาน .. ป้อมดิอู เป็นเหมือนแหลมขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปในทะเล โดยมี 3 ด้านล้อมรอบด้วยน้ำ ด้านที่ฉันยืนอยู่ขณะนี้เป็นด้านเดียวของป้อมที่ติดกับแผ่นดิน แต่ก็มีการขุดคลองที่ไม่กว้างนักเพื่อใช้เป็นที่กั้นระหว่างป้อมกับแผ่นดิน
... ความเก่าแก่ของป้อมและความชื้น นำตะไคร่น้ำและมอสสีเขียวจัดมาเกาะตามพื้นผิวของอิฐที่ใช้สร้างปราการแห่งนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน เป็นความงามที่ต้องใช้เวลาในการสั่งสม
ในท่ามกลางความสวยงามที่ปรากฏในสายตา .. ตัวป้อม เชิงเทิน และเสียงหวีดหวิวของสายลมรอบๆตัวฉันในขณะนี้ ดูเหมือนอยากจะเล่าสิ่งที่เป็นมา ซึ่งอิฐทุกก้อนที่ประกอบเป็นปราการสำคัญได้เป็นส่วนหนึ่งของประจักษ์พยานของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ .. ทั้งเสียงคำรามกีกก้องของปืนใหญ่ที่ถูกยิงไปยังศัตรูที่เข้ามาใกล้ .. เสียงวิ่งของทหารบนเชิงเทิน เสียงสั่งการของผู้บังคับการ รวมถึงเสียงโอดโอยของทหารที่ได้รับบาดเจ็บ..
ตำนานของป้อมปราการที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด .. ค่อยๆเผยโฉมจากคำบอกเล่าของประจักษ์พยานที่จ้องมองอยู่รอบตัวฉันในขณะนี้
ดีอู ถูกปกครองและเชื่อมโยงกับราชวงศ์ต่างๆ ตลอดยุคโบราณ ได้แก่ เมารยัน กษัตริย์ปศ กุปตัส ไมตระกัส ชาวาดา และจาลุกยะ .. ในช่วงยุคกลาง Diu ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม เมื่อในปี 1297 “Alauddin Khilji” เอาชนะ Rajputs และทำให้ Diu เป็นดินแดนของมุสลิม
ดิอู อยู่กับผู้ปกครองอิสลามมานานกว่าหนึ่งศตวรรษครึ่ง จนกระทั่งชาวโปรตุเกสกลับมาพิชิตมันได้หลังจากที่พวกเขาได้รับชัยชนะในยุทธการดีอู เป็นที่น่าสังเกตว่าอิทธิพลของภาษาโปรตุเกสที่มีต่อ Diu มีมากมายมหาศาล
ป้อมปราการที่สร้างโดยชาวโปรตุเกสแห่งนี้ สร้างขึ้นโดยในปี 1501 โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันที่ปลายด้านตะวันออก และเพื่อเสริมสร้างการค้าเครื่องเทศที่เฟื่องฟูในศตวรรษที่ 16
“Nuno da Cunha” ผู้ว่าการโปรตุเกสในอินเดียได้รับคำสั่งจากรัฐบาลโปรตุเกสให้สร้างป้อมในเมือง Diu ซึ่งเขาได้ทำการโจมตีทางทหารต่อ Diu และพยายามผนวกป้อมดังกล่าวหลายครั้งจากผู้ปกครองชาวอิสลาม ... แต่ก็ล้มเหลว
ในที่สุด “สุลต่านบาฮาดูร์ ชาห์” แห่งคุชราตในปี ค.ศ. 1535 เอง ก็ได้ขอความช่วยเหลือจากโปรตุเกสในการต่อต้านการโจมตีของจักรพรรดิโมกุล “หุมายูน” (Humayun)
ในเวลาต่อมา สุลต่านแห่งคุชราต และชาวโปรตุเกส ก็เข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้านการป้องกัน .. โดยใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้อย่างเต็มที่ ทั้งสองฝ่ายลงนามในสนธิสัญญาป้องกันเมือง บาสเซน กับสุลต่าน ซึ่งพวกเขาได้รับอนุญาตให้สร้างป้อมในดีอูและตั้งกองทหารรักษาการณ์ไว้ในนั้น
ป้อม Diu สร้างขึ้นโดยชาวโปรตุเกสในปี 1535 มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Fortaleza de São Tomé และเรียกที่นี่ว่า "Praça de Diu" (ป้อม Diu ตระหง่าน) ในภาษาโปรตุเกส
ชาวโปรตุเกสไม่เพียงแต่สร้างป้อมขนาดใหญ่ที่ Diu โดยการรื้อถอนป้อมปราการเก่าที่มีอยู่บนเกาะ แต่ยังทำให้เป็นป้อมปราการที่น่าเกรงขามต่อไปโดยเสริมกำลังอย่างต่อเนื่องในช่วงระหว่างปี 1535 ถึง 1546
หลังจากพบกับความทะเยอทะยานของโปรตุเกสในการสร้างป้อมที่ Diu ... ก็เกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างสุลต่านและโปรตุเกสในหลายประเด็น
.. ในปี 1537 ที่ท่าเรือ Diu สุลต่านถูกสังหาร ส่งผลให้เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์แห่งสุลต่านแห่งคุชราตโดยผู้อ้างสิทธิ์สองคน .. สิ่งนี้ทำให้ชาวโปรตุเกสต้องเผชิญหน้าบัลลังก์ และพวกเขาก็แก้ไขได้อย่างรวดเร็วโดยการเข้าสู่การสงบศึกกับสุลต่านองค์ใหม่
ในปี 1538 พวกเติร์กซึ่งมีทัศนคติไม่ดีต่อสุลต่านแห่งคุชราตและโปรตุเกส ... ได้ระดมกำลังทางเรือที่แข็งแกร่งซึ่งประกอบด้วยเรือ 66 ลำและทหาร 20,000 นาย เริ่มต้นจากอียิปต์ในปี 1538 และปิดล้อมป้อมปราการครั้งสำคัญ ด้วยการทิ้งระเบิดและโจมตีป้อมปราการซ้ำแล้วซ้ำเล่า .. เมื่อพวกเขาเกือบจะชนะและชาวโปรตุเกสเกือบจะยอมจำนนโดย ชาวเติร์กกลับยกการปิดล้อมขึ้นด้วยเหตุผลบางประการที่นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญไม่อาจจะคาดเดา
ต่อมา “D Joao de Castro” ได้สร้างป้อมนี้ขึ้นใหม่ในปี 1546 ด้วยทิวทัศน์อันงดงามและล้อมรอบด้วยผืนน้ำจากสามด้านที่มองเห็นทะเล .. ท่าเทียบเรือจึงถูกสร้างขึ้นบนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งยังคงใช้งานอยู่ ป้อมดังกล่าวมีการค้าขายกับ Cambay, Broach และ Surat ในรัฐคุชราต
แผนที่ดีอู ค.ศ. 1729 (แกะสลักโดย G. Child)
หลังจากนั้น ... ชาวโปรตุเกสก็เข้ายึดครองป้อมและเมืองในที่สุด แม้ว่าสุลต่านแห่งคุชราตและผู้ปกครองรัฐคุชราตคนอื่นๆ พยายามเข้าควบคุม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ดินแดนดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของโปรตุเกสตั้งแต่ปี 1537 ถึงธันวาคม 1961 (424 ปี)
จนกระทั่งการรุกรานของอินเดีย .. เมื่อรัฐบาลอินเดียเปิดปฏิบัติการทางทหารที่เรียกว่า 'ปฏิบัติการวิเจย์' เพื่อยุติการปกครองอาณานิคมของโปรตุเกสใน “กัว ดามัน” และ “ดีอู” ปัจจุบันป้อมแห่งนี้อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลอินเดีย
เราเดินมาตามทางเดิน .. ข้ามสะพานซึ่งใช้เป็นทางเชื่อมจากแผ่นดินเข้าสู่ประตูชั้นนอกของป้อม ที่มีคำจารึกเป็นภาษาโปรตุเกส ป้อมปราการที่ประตูมีชื่อว่านักบุญจอร์จ
ประตูสู่ป้อมปราการมี 3 ประตู โดยประตูทางเข้าหลักมีหน้าต่างบานใหญ่ห้าบานพร้อมห้องแสดงหินบนผนังด้านหน้าหลัก
สะพานที่ทอดไปสู่ทางเข้าหลักมีคำจารึกภาษาโปรตุเกสจารึกอยู่ ป้อมมีอุโมงค์หนีภัยใต้ดินหลายแห่งภายในป้อม
เราเลี้ยวซ้ายเข้าสู่บริเวณท่าเทียบเรือ .. ทิวทัศน์ ณ จุดนี้สวยงาม
เหมือนเรากำลังยืนอยู่บนแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลสวยๆ เพียงแต่มีปืนใหญ่ 3 กระบอกวางอยู่บนด้านในของลาน
ตรงข้ามเป็น “คุกของดิอู” Panikotha (Alfiston Jail) .. ซึ่งเป็นหนึ่งในคุกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในอินเดียที่ตั้งอยู่ในทะเล Diu ปานีโกธา ป้อมปราการแห่งฟอร์ติม โด มาร์ (ป้อมทะเลหรือปานีโกธา) มีโครงสร้างหินอันงดงามในทะเล มันถูกสร้างขึ้นบนเกาะในรูปของเรือ
Alfiston Jail เคยมีนักโทษ 7 คนและ 2 คนเป็นหญิง .. เมื่อ ASI เข้ามานักโทษ 4 คนถูกย้ายไปคุมขังที่อื่น อีก 2 คนอยู่ที่นี่จนครบระยะเวลาปลดปล่อย ยังคงมีนักโทษชายคนเดียวที่เหลืออยู่ในปี 2018 เพื่อรอคำพิพากษาถึงที่สุด หากเขามีความผิด ก็จะถูกย้ายไปขังที่เรือนจำแห่งอื่นเช่นกัน .. แล้วจะมีการปรับปรุงสถานที่ของคุก แล้วทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป
จากแพลทฟอร์มนี้ เมื่อหันกลับไปที่สะพาน .. จะเห็นประตูโค้งใต้สะพานเป็นช่องๆ ที่น้ำทะเลสามารถไหลผ่านได้ ทำหน้าที่เป็นคูน้ำสองชั้นระหว่างกำแพงทั้งสอง เพื่อปกป้องป้อม
เราเดินผ่านประตูชั้นในด่านที่สอง .. ป้อมใหญ่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยของเหล่าขุนนาง โกดัง และค่ายทหารสำหรับทหาร คลังอาวุธและเครื่องกระสุนปืน เรือนจำ โบสถ์ และห้องสวดมนต์ แต่น่าเสียดายที่ทั้งหมดนี้อยู่ในสภาพซากปรักหักพัง
เราเดินต่อ และเลี้ยวซ้ายจากลานกลาง ..
อาคารใกล้ทางขึ้นสู่เชิงเทิน ด้านในมีเสาที่รองรับส่วนย้อยของเพดานโค้ง สถาปัตยกรรมแบบยุโรปที่งดงามมาก โดยเฉพาะเมื่อมีตะไคร่เขียวๆเกาะ บรรยากาศจึงดูคลาสสิกมากขึ้น
ที่นี่ .. ครั้งหนึ่งอาจจะเป็นสถานที่เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องใช้ รวมถึงเป็นยุ้งฉางสำหรับเก็บอาหาร และน้ำ ปัจจุบันภายในอาคารนี้ว่างเปล่า
เรามุ่งหน้าสู่กำแพงด้านบนของป้อม ซึ่งมีทางลาดเอียงให้เดินขึ้น (ทางลาดอาจจะมีวัตถุประสงค์สำหรับการขนส่งปืนใหญ่ขึ้นไปบนเชิงเทินบนกำแพง)
เมื่อก่อนหากคุณมาเดินบนป้อมปราการ .. จะเห็นว่าป้อมได้รับการคุ้มกันอย่างดีด้วยปืนใหญ่จากทุกด้าน ปัจจุบันปืนใหญ่เหล่านี้ก็ยังคงถูกวางไว้ภายในป้อม และหากเป็นเมื่อก่อน คุณจะสามารถมองเห็นลูกปืนใหญ่และปลอกกระสุนเหล็ก กระจัดกระจายไปทั่วเชิงเทินของป้อม
ด้านนี้ของป้อมมีผนังก่ออิฐยอดแหลม .. เมื่อขึ้นไปด้านบนจะมองเห็นอ่าวและความเคลื่อนไหวในทะเลเบื้องหน้าได้ชัดเจน
ขณะที่เดินไปรอบๆ .. มองเห็นซากปรักหักพังของกำแพงป้อม ประตู ซุ้มประตู ทางลาด ป้อมปราการในพื้นที่ป้อมซึ่งครั้งหนึ่งเคยสร้างและใช้สำหรับการป้องกันทางทหาร
ป้อมปราการที่กว้างขวางและโอ่อ่าแห่งนี้แผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ 5.6 เฮกตาร์ แบ่งออกเป็นสามส่วน ซึ่งรวมถึงกำแพงด้านนอกตามแนวชายฝั่ง ผนังด้านในที่ใช้สำหรับติดตั้งปืน
กำแพงเหล่านี้มีป้อมปราการที่ตั้งชื่อตามนักบุญชาวคริสเตียน ได้แก่ ป้อมปราการของเซาตูเม (เซนต์โธมัส) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นป้อมปราการ Cavaleiro ในขณะที่ที่เก่าแก่ที่สุดเชื่อกันว่าเป็นของนักบุญจอร์จ
กำแพงที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ของคูน้ำสองชั้นสร้างด้วยหินทราย ซึ่งประสบความสำเร็จในการสกัดกั้นศัตรูให้อยู่ในอ่าวได้
เราเดินต่อ .. ตามทางเดินบนกำแพง สามารถมองลงไปเห็นด้านหนึ่งของกำแพงป้อมที่มีคลื่นจากทะเลซัดสาด ความสูงของกำแพง ผนวกกับอันตรายจากคลื่นและโขดหินน่าจะทำให้การเข้ามาของศัตรูจากทางด้านนี้ทำได้ลำบาก
พื้นที่ตรงกลาง .. น่าจะเป็นสุสาน
โบสถ์เก่า .. ในมุมสูง และสภาพของโบสถ์ที่ใช้งานไม่ได้แล้วในปัจจุบัน
อาคารสไตล์ยุโรปคลาสสิก ที่หลังคาหายไปแล่ว .. มองเห็นปืนใหญ่หลายขนาวางเรียงรายอยู่ภายใน ที่นี่อาจจะเป็นโรงซ่อมบำรุงของยุทโธปกรณ์ทางทหารที่สำคัญ
โบราณสถานที่สำคัญภายในป้อม ใกล้กับประภาคาร .. ไม่แน่ใจว่าฟังชั้นการใช้งานคืออะไร
ภายในมีแท่นหินยกสูง ตรงกลางมีหินก้อนใหญ่อยู่ในครอบกระจก มีจารึกปรากฏบนหินเห็นได้ชัด แม้ไม่รู้ ว่าข้อความเกี่ยวกับอะไร แต่คงมีความสำคัญไม่น้อย
เราเดินขึ้นไปยังพื้นที่ที่สูงที่สุดของป้อมปราการ อันเป็นที่ตั้งของประภาคาร ..
บริเวณนี้มีปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษกว่าในพื้นที่อื่นของป้อมม อาจจะเพราะว่าเป็นด้านที่อยู่ใกล้แผ่นดินมากที่สุด
ปืนใหญ่บางอันสวยมาก และหลายอันมีตราและอักษร ซึ่งอาจจะสื่อถึงที่มาของปืนเหล่านี้ ปืนใหญ่หลายกระบอก (บางกระบอกทำจากทองสัมฤทธิ์ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี) ยังคงพบเห็นได้ที่ด้านบนสุดของป้อม Diu
ณ จุดที่เรายืนอยู่ขณะนี้ .. สามารุถมองเห็นทิวทัศน์จากป้อมออกไปได้กว้างไกล ความสวยงามอาจจะเป็นสิ่งที่เราซึมซับได้ในตอนนี้ แต่ในสมัยก่อนที่นี่อาจจะเป็นพื้นที่สำคัญที่ต้องมีการลาดตระเวน ตรวจตราความเคลื่อนไหวทั้งจากระยะใกล้และระยะไกลอย่างเข้มงวด
ประวัติศาสตร์ อาจจะเป็นความเจ็บปวด เศร้าหมอง เป็นโลกยุคเก่าและประวัติศาสตร์อันยาวนานของผู้ปกครองชาวโปรตุเกส ..
.. แต่ปัจจุบันป้อม Diu ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่ของงานหินโบราณที่นำคุณไปสู่ยุคอดีตของทหารผู้กล้าหาญ ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี และถูกเลือกให้เป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโปรตุเกสในระหว่างการปกครองอาณานิคม
.. รวมถึงได้รับการบรรจุไว้ในแผนที่การท่องเที่ยวโลก ซึ่งแม้จะยังมีปืนใหญ่หลายกระบอกยังคงจ้องมองอย่างน่ากลัวจากด้านบน แต่ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของป้อม ป้อม Diu ได้เป็นอย่างดี
โฆษณา