อธิบายประเด็น นโยบายแจกเงินหมื่น
เมื่อแหล่งข่าวเผยคลังทบทวนรูปแบบจากแจกเงิน
จาก blockchain สุดว้าวสู่แอพเป๋าตังที่คุ้นเคย
ที่มาที่ไป
1. ที่มาที่ไปของกระแสข่าวนี้เริ่มมาจากสำนักข่าวประชาชาติธุรกิจได้ออกมาเผยข้อมูลว่า พวกเขาได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐาว่าโครงการบล็อกเชนอาจต้องพับไปและหันกลับมาใช้แอพเป๋าตังแทน
2. สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่สูงมากของระบบบล็อกเชน หากรัฐบาลคิดจะทำให้บล็อกเชนเกิดขึ้นจริง ๆ รัฐจะต้องสูญเสียเงินในโครงการนี้โครงการเดียวสูงมาก ในขณะที่รัฐยังมีหลายโครงการรออยู่ เช่น โครงการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี
กลับมาใช้แอพเป๋าตัง ?
3. ถึงแม้ว่าจะพับโครงการโครงการบล็อกเชนลงไปแต่รัฐบาลเศรษฐาจะยังคงแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาทอยู่ดี เพียงแต่จะเปลี่ยนไปแจกผ่านแอพเป๋าตังที่มีระบบหลายอย่างรองรับอยู่แล้ว
4. อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับผู้บริหารของธนาคารกรุงไทยแล้ว ผลสรุปของการหารือได้ความว่าการจะแจกเงินดิจิตอลผ่านเป๋าตังไม่ใช่เรื่องยากเพราะมีลักษณะคล้ายกับคนละครึ่ง แค่เข้าไปปรับระบบนิดหน่อยก็สามารถตอบสนองนโยบายได้เลย
มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง
5. สิ่งที่เปลี่ยนไปจากตอนที่เพื่อไทยหาเสียงและใครหลายคนในพรรคพูดคือลักษณะของตัวเงินที่ในครั้งแรกถูกระบุไว้ชัดเจนว่าจะแจกในรูปแบบของ utility token
6. ถ้าข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เผยมาเป็นความจริงโครงการแจกเงินดิจิตอลนี้จะเปลี่ยนไปแจกในรูปแบบของ e-Money แทน และผู้ประกอบการไม่สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปเบิกเป็นเงินสดได้
7. ผู้ประกอบการที่รับเงิน e-Money มาจะต้องนำเงิน e-Money นี้ไปซื้อของสำหรับหมุนเวียนในธุรกิจของตัวเอง เช่น แม่ค้าหมูปิ้งก็นำเงินที่ได้มาไปซื้อหมูซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ สาเหตุที่ไม่สามารถนำไปกดเงินสดได้เป็นเพราะรัฐต้องการให้เกิดพายุหมุนในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง
8. ส่วนเรื่องระยะทางในการใช้เงินในรัศมี 4 กิโลเมตร เบื้องต้นจะนำเรื่องนี้ไปทบทวนใหม่และอาจเพิ่มรัศมีในบางพื้นที่ตามต่างจังหวัด
ที่มาของเงิน
9. โครงการแจกเงินดิจิตอลจะต้องใช้เงินราว ๆ 5.6 แสนล้านบาท ด้วยช่วงเวลาที่รัฐต้องการให้เริ่มโครงการยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะนำเงินจากงบปี 2567 มาใช้ได้ ทำให้รัฐต้องไปยืมเงินจากรัฐวิสาหกิจมาก่อน และค่อยใช้คืนทีหลัง
10. ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ เพราะตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ กำหนดไว้ว่า รัฐสามารถยืมเงินจากรัฐวิสาหกิจได้แต่ต้องไม่เกิน 32% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ตอนนี้เหลือให้กู้เพียง 18,000 ล้านบาท
11. นั่นหมายความว่าเหลือเพียงทางเลือกเดียวหากรัฐบาลเศรษฐาจะทำให้เกิดโครงการแจกเงินดิจิตอลได้ภายในเมษายน 2567 นั่นคือ "ขยายกรอบวงเงินให้ทะลุ 32% นั่นเอง"
มุมมองนักวิชาการ
12. ในมุมมองของนักวิชาการและผู้มีความรู้หลายคนแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เห็นด้วยที่จะใช้แอพเป๋าตังแทนการวางระบบบล็อกเชนขึ้นมาใหม่
13. เพราะการวางระบบบล็อกเชนขึ้นมาใหม่นั้นนอกจากจะมีต้นทุนเป็นตัวเงินแล้ว มันยังมีต้นทุนเป็นเวลาด้วย ในเรื่องนี้นายอาร์มผู้เป็น Software Engineer และคอนเทนต์ครีเอเตอร์สาย IT ได้ออกมาแสดงความเห็นทำนองว่า ต่อให้รวบรวมระดับหัวกระทิในไทยมาช่วยกันทำก็เป็นไปได้ยากที่จะสำเร็จภายใน 6 เดือน
14. อีกทั้งก่อนหน้านี้นายอาร์มได้พยายามติดตามทีมงานเพื่อไทยเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิตอลและระบบบล็อกเชนที่จะทำแล้ว ซึ่งทางคุณเศรษฐาก็ได้มาตอบกลับว่า จะให้ทีมงานพรรคเพื่อไทยติดต่อไป แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อไปแต่อย่างใด
15. แต่อีกมุมหนึ่งก็เกิดคำถามเรื่องวินัยการคลังว่า หากรัฐบาลจะขอขยายเพดานกู้ยืมเงินจากรัฐวิสาหกิจจาเดิมที่ไม่เกิน 32% เป็น 45%หรือมากกว่านั้น จะคุ้มค่าหรือไม่
16. นอกจากมุมมองที่ว่าจะคุ้มค่าหรือไม่นั้น ยังมีอีกประเด็นคือความโปร่งใสของโครงการเพราะ โครงการที่กู้ยืมเงินรัฐวิสาหกิจไม่อยู่ในงบประมาณทำให้ไม่ต้องนำเรื่องนี้ผ่านสภาและไม่ต้องโดนสภาตรวจสอบตอนอนุมัติงบ
ข้อมูลจากเพื่อไทย
17. หลังจากที่กระแสข่าวนี้กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ทางด้านของ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาเผยว่า
"นโยบายดิจิตอลวอลเล็ตจะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากเทคโนโลยีแบบเดิม"
//ใครถนัดตีความหรือคิดอย่างไรกับแถลงการณ์ ก็ลองมาแชร์กันในคอมเมนท์นะครับ
อ้างอิง
- 6
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
