8 ก.ย. 2023 เวลา 11:03 • หนังสือ

⭐️ รีวิวหนังสือ “Manifest” 7 ขั้นตอนพลิกชีวิตสู่ความสำเร็จที่ใจปรารถนา! ⭐️

💫 Manifest : 7 Steps to Living Your Best Life
เขียนโดย Roxie Nafousi
📍 เชื่อว่าใครก็อยากมีชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองปรารถนา หรือมีความสุขกันดั่งใจหวังทั้งนั้นครับ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ให้แนวทางหรือวิธีคิดในการใช้ชีวิตเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามที่เราต้องการนั่นเองครับ
5
โดยหนังสือมีชื่อว่า “Manifest” ถ้าจะให้แปลตรงตัว ก็อาจจะแปลได้ว่า การทำ (บางสิ่งบางอย่าง) ให้เป็นที่ประจักษ์หรือทำให้เกิดขึ้น ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนได้ให้กรอบวิธีคิด 7 ขั้นตอนด้วยกัน
2
👉🏻ที่มาของวิธีการ “Manifest” ก็มาจากการที่ผู้เขียนเองนั้นประสบปัญหารุมเร้ามากมายในชีวิต แล้วได้มีโอกาสได้ฟัง podcast อันหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้ผู้เขียนสนใจศึกษาเพิ่มเติม แล้วนำมาปฏิบัติด้วยตัวเองจนกระทั่งเห็นผลลัพธ์จากการทำ “Manifest” อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนเลยอยากจะแชร์กรอบวิธีคิดนี้ เพื่อชี้แนะหนทางแห่งความสำเร็จแก่ผู้อื่นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงการเขียนหนังสือเล่มนี้ครับ
1
💡 “Manifest” นั้นเปรียบเสมือนการผสมผสานระหว่างปรัชญาและวิทยาศาสตร์ที่ผู้เขียนเชื่อว่าจะช่วยให้เราพัฒนาตนเองได้สามารถประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการรักตัวเองแล้วใช้ชีวิตในแบบที่ดีที่สุดของเราได้ด้วย ซึ่งขั้นตอนเหล่านั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยครับ
1
……………..
“Step 1: Be Clear in Your Vision” สร้างภาพความต้องการของเราให้ชัดเจนก่อน
💡 “Everything is created twice, first in the mind and then in reality”
1
👉🏻 ทุกอย่างจะเกิดขึ้นสองครั้งเสมอ คือ ครั้งแรกในความคิดของเรา และอีกครั้งคือเกิดขึ้นในความเป็นจริง
ซึ่งก็หมายความว่า การที่เราอยากจะทำอะไรให้สำเร็จนั้นขั้นตอนแรกเลยคือ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าเราต้องการจะทำอะไร และนึกคิด จินตนาการในหัวเราก่อนครับ หรือที่เรียกว่า “visualize” 💭
1
ใครที่เคยมีโอกาสอ่านหนังสือเกี่ยวกับการจะประสบความสำเร็จน่าจะเคยได้อ่านเจอมาก่อน เพราะวิธีการจินตนาการแบบนี้ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วนะครับว่าได้ผลจริง ๆ
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดหรือจินตนาการเรื่องใด ๆ ขึ้นมา สมองเราจะรับรู้ได้เปรียบเสมือนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ครับ และลองคิดตามว่าหากเราคิดถึงสิ่งที่เราอยากจะประสบความสำเร็จเป็นประจำ สมองเราก็จะจดจำสิ่งเหล่านั้นและจะกระตุ้นให้ตัวเราพยามยามวิ่งเข้าหาสิ่งเหล่านั้น เหมือนอย่าง “กฎแห่งแรงดึงดูด” หรือ “Law of Attraction” นั่นเองครับ 🧲
ตัวอย่างกรณีของคนที่ประสบความสำเร็จที่โดยใช้วิธีนี้ ก็อย่าง ไมเคิ่ล เฟลป์ส อดีตนักกีฬาว่ายน้ำเจ้าของสถิติเหรียญทองโอลิมปิคมากที่สุดครับ ที่เค้าใช้การจินตนาการถึงการแข่งขันและการเป็นผู้ชนะก่อนแข่งขันจริง มันเหมือนกับการที่เขาได้ฝึกเพิ่มในสมองของเขานอกเหนือจากการฝึกซ้อมทางร่างกายครับ
💡 โดยวิธีการหรือเทคนิคที่ในการ visualize ก็มีดังนี้ครับ
• พยายามระบุให้ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงถึงสิ่งที่เราต้องการหรืออยากเป็น ชัดเจนมากเท่าไหร่ สมองเราก็จะเห็นภาพได้มากเท่านั้นครับ
• ให้เราลองคิดถึงภาพบุคคลที่เราอยากจะเป็นในอนาคต
• สามารถใช้การทำสมาธิควบคู่ไปกับการคิดจินตนาการ
• การใช้ “vision board” เขียนหรือวาดสิ่งที่เราต้องการออกมาในกระดาษหรือบอร์ดให้ชัดเจนจะช่วยได้ยิ่งขึ้นครับ
……………..
“Step 2: Remove Fear and Doubt” กำจัดความกลัวและข้อกังขาในตัวเราออกไป
💡 การที่คนเราทำหรือแสดงออกสิ่งใด ๆ ออกมานั้น พฤติกรรมส่วนใหญ่มาจาก “subconscious mind” หรือจิตใต้สำนึก ถึง 95%
2
ถึงแม้ว่าจิตใต้สำนึกเราจะมีพลังมหาศาลที่จะทำอะไรได้มากมาย แต่มันก็มีพลังมหาศาลที่ฉุดรั้งเราไม่ให้กล้าทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งสิ่งนั้นคือ “ความกลัว” และ “ความสงสัยหรือข้อกังขาในตัวเอง” นั่นเองครับ
ความกลัวและความสงสัยเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาคู่กับมนุษย์เรา เพื่อที่จะปกป้องตัวเราจากความผิดหวัง และมันจะคอยส่งสัญญาณบอกตัวเราว่า เดี๋ยวก่อน เรายังไม่ดีพอ เรายังไม่พร้อม ที่จะทำสิ่งนั้น ๆ
ให้เราลองนึกถึงเวลาที่เราเขียนเป้าหมายของเรา หรือ vision board ในข้อแรก ว่าเวลาเราตั้งเป้าหมายสิ่งที่เราอยากเป็น อยากจะทำนั้น มีสิ่งใดมั้ยที่ทำให้เราฉุกคิด หรือหยุดไม่ให้เราเขียนสิ่งที่เราอยากได้จริง ๆ?
หลายคนมักจะคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราทำไม่ได้หรอก เราจะตั้งเป้าสูงไปทำไมกัน ถูกมั้ยครับ?
นี่แหละครับ ความกลัวและข้อกังขาในตัวเองที่เรากำลังเผชิญอยู่
☑️ การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จนั้น เราจำเป็นต้องเชื่อก่อนว่าเราสามารถทำได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราตั้งเป้าหมายหรือความฝันให้ใหญ่โดยไม่ยึดติดกับความกลัวว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อนั้นเองที่เราจะสามารถปลดล็อคให้เราทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้สำเร็จได้ครับ
1
พูดเหมือนง่าย แต่ทำได้ยากนะครับ เพราะคนเรานั้นมักจะมีรายการของสิ่งที่กลัวหรือความเชื่อต่าง ๆ ที่จำกัดตัวเอง (limiting beliefs) มากมายครับ
โดยที่เราเองสะสมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เรายังเด็ก และสิ่งเหล่านั้นถูกปลูกฝังเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเราเรื่อยมาไม่ว่าจะเป็นจากการเลี้ยงดู สั่งสอน ประสบการณ์ที่เจอมา เช่น เด็กบางคนที่ถูกพ่อแม่พร่ำบอกตลอดว่าเป็นคนเรียนไม่เก่ง ก็ยิ่งจะทำให้เด็กคนนั้นจดจำและฝังใจมาตลอดว่าตัวเองนั้นเรียนไม่เก่ง และสุดท้ายก็จะไม่เก่งจริง ๆ
แล้วการจะขจัดความกลัวต่าง ๆ เหล่านี้ออกไป มีวิธีการอย่างไรบ้างครับ? 🤔
• ฝึกควบคุมความคิดของตัวเราเองครับ เราทราบดีว่าสิ่งที่เราคิดนั้นจะโดนสะสมเข้าไปในจิตใต้สำนึกและสุดท้ายจะโดนแสดงออกมาโดยพฤติกรรมของเรา ดังนั้นเราจะต้องไม่คิดลบ ให้คิดบวกว่าสิ่งที่เราหวังจะเป็นไปได้ และเราสามารถทำได้
• ปรับภาษาที่เราใช้ เช่น เลิกพูดคำว่า “ถ้าเราทำ...ได้” เป็น “เราจะทำ...ได้ เมื่อไหร่?” แทน แค่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการพูดหรือเขียน มันจะส่งผลกระทบถึงความสำเร็จได้เลยครับ
• ในหนังสือใช้คำว่า “mantra” ความหมายน่าจะคล้ายกับการทำ “positive affirmation” หรือการพูดซ้ำๆ กับตัวเองเพื่อควบคุมจิตและความคิดของเรา การทำแบบนี้จะเป็นการช่วยเพิ่ม “awareness” แล้วยังช่วยยกระดับของ “vibes” หรือคลื่นความถี่เชิงบวกจากร่างกายเราด้วยครับ (หลักการเหมือนในหนังสือ Good Vibes, Good Life ใครสนใจอยากอ่าน สิงห์นักอ่านเคยสรุปหนังสือเล่มนี้มาแล้วครับที่ 👉🏻 http://bit.ly/3r0FGVO )
• ฝึกการทำ “visualization” หรือการจินตนาการถึงความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นครับ
• การทำ “self-love” ❤️ หรือการรักตัวเอง ซึ่งหมายความว่า ภูมิใจในตัวเราเองว่าตัวเรานั้นมีคุณค่าและสมควรที่จะได้รับสิ่งดีๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราอยากจะทำอะไรให้สำเร็จหรืออยากได้รับสิ่งดีๆ หากความปรารถนานั้นมากพอก็จะช่วยทลายความกลัวที่เรามีลงได้ครับ
1
……………..
“Step 3: Align Your Behavior” ปรับพฤติกรรมของเราให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 3 ก็คือขั้นตอนการปฏิบัติหรือแสดงออกทางพฤติกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเราครับ
• Be proactive หรือกระตือรือร้นในการปฏิบัติตามเป้าหมาย ไม่รอให้โอกาสมา แต่เราต้องวิ่งเข้าหาโอกาสครับ 🏃🏻‍♂️
• ให้ทำเหมือนกับว่าเมื่อเราทำสำเร็จแล้วเราจะต้องทำอย่างไร เช่น เป้าหมายเราอยากจะเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ ลองนึกตามว่านักกีฬาที่เขาประสบความสำเร็จ ในแต่วันเขาทำอะไรบ้าง?
• การจะเริ่มปฏิบัติหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างนั้นยากเสมอครับ การจะออกจาก “comfort zone” ให้เราค่อย ๆ ทำทีละเล็กทีละน้อย จนเราเริ่มชินและปรับตัวได้ สุดท้ายเราจะรู้สึกดีกับมันเองจนได้ครับ
• ต้องกล้าท้าท้ายและเอาชนะความกลัวและข้อกังขาต่าง ๆ ในขั้นตอนที่ 2
• การเริ่มทำสิ่งใหม่ๆให้เราเริ่มจากการถามตัวเองว่า “ทำไม” เราถึงจะต้องทำสิ่งนั้น การที่เรารู้ว่าทำไมเราอยากที่จะทำสิ่งนั้นจะทำให้เราทำมันได้อย่างสม่ำเสมอครับ
• ใช้เทคนิค 5-second rule ⏱️ จาก Mel Robbins ผู้เขียนหนังสือ “5-second rule” ที่บอกว่าเมื่อเราเริ่มคิดอยากจะทำสิ่งใด ให้เริ่มทำอะไรสักอย่างทันทีภายใน 5 วินาที ซึ่งเป็นช่วงที่ไฟในตัวเรายังแรงอยู่ หากปล่อยทิ้งไว้แล้วค่อยทำ มีโอกาสสูงที่เราจะไม่เริ่มสักทีครับ
• ฝึกสร้างนิสัยที่ดีที่สอดคล้องกับเป้าหมายเรา และเมื่อเราทำมันจนเป็นนิสัยแล้ว อะไร ๆ ก็ไม่ยากแล้วครับ
• ให้เราเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง (Authenticity) เพราะเมื่อสิ่งที่เราต้องการทำสอดคล้องกับความเป็นตัวตนของเรา มันจะช่วยส่งเสริมให้เราประสบความสำเร็จได้ดีขึ้น
……………..
“Step 4: Overcome Tests from the Universe” เอาชนะบททดสอบที่จะเข้ามา
⭐️ มี mindset อยู่สองแบบที่ผู้เขียนพูดถึงคือ “scarcity mindset” และ “abundance mindset”
❌ “Scarcity mindset” คือการที่เราเชื่อว่าความรัก ความสำเร็จ ความสุขต่าง ๆ ในโลกนี้นั้นมีจำกัด
✅ ส่วน “abundance mindset” คือตรงกันข้ามเลย โดยเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีเหลือเฟือ
คนที่มี mindset ทั้งสองแบบจะต่างกันอย่างไรครับ?
💡 ตอบได้ไม่ยากเลยครับ ว่า เราควรจะมองโลกเป็นแบบ “abundance mindset” ที่เชื่อว่า ความสำเร็จและความสุขมีเหลือเฟือ รอให้เราไปค้นหา ซึ่งหากเรามีความเชื่อแบบนี้จะทำให้เราพยายามค้นหาความสุข ความสำเร็จในสิ่งที่เราต้องการ รวมถึงไม่ยอมแพ้แม้เจออุปสรรค (ซึ่งทุกคนต้องเจอแน่นอน)
แน่นอนว่าระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายของเรานั้น จะต้องมีอุปสรรคและบททดสอบมากมาย สิ่งสำคัญที่เราต้องท่องขึ้นใจไว้ก็คือเราต้องเชื่อมั่นในตัวเราเองว่าเราสามารถทำได้ เราต้องเชื่อว่าเรามีคุณค่ามากพอที่จะได้รับความสำเร็จนั้นๆ เมื่อเราคิดได้เช่นนี้ เราจะไม่ยอมแพ้ และพยายามต่อไปแม้ว่าเราจะเจออุปสรรคใด ๆ ก็ตาม
👍🏻 บางครั้งเราจำเป็นต้องอดทนรอให้นานขึ้นอีกหน่อย ความสำเร็จนั้นอาจจะอยู่แค่เอื้อม เมื่อเจออุปสรรคให้คิดเสียว่าเป็นการเรียนรู้ให้ตัวเราเองเก่งขึ้น หรือแข็งแกร่งขึ้นครับ
“Sometimes you win, sometimes you learn” ⭐️
……………..
“Step 5: Embrace Gratitude” ยอมรับและตระหนักในสิ่งที่เรามี
“Gratitude” หรือ การขอบคุณ ซึ่งเป็นแนวคิดการพัฒนาตนเองจากทางตะวันตกนิยมมาก ๆ ครับ จะเห็นได้ว่าหนังสือแทบทุกเล่มจะพูดถึงเรื่องนี้ครับ
👉🏻 การที่เรารู้สึกขอบคุณหรือซาบซึ้งในสิ่งต่าง ๆ ที่เรามี หรือได้รับมา แม้กระทั่งความเป็นตัวเราจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้เรามีพลังบวกครับ
สำหรับคนไทยเราอาจจะไม่คุ้นชินกับการทำ “Gratitude” สักเท่าไหร่ ในหนังสือเล่มนี้ก็ได้ให้แนวทางหรือหัวข้อไว้ในกรณีที่เรานึกไม่ออกว่าเราควรที่จะรู้สึกขอบคุณอะไรบ้าง
• Gratitude for the self เริ่มต้นจากการขอบคุณตัวเราเอง กับทุกสิ่งในชีวิตที่เรามี ความขยัน หมั่นเพียร รวมถึงการต่อสู้ต่ออุปสรรคต่างๆ ที่นำพาตัวเรามาถึงจุดนี้
• Gratitude for your life ขอบคุณในสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเรา ตั้งแต่หน้าที่การงาน ครอบครัวของเรา เพื่อนของเรา คนที่รักเรา หรือสถานที่ ๆ เป็นที่พึ่งพิงให้เราอยู่อาศัย
• Gratitude for the world ขอบคุณสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา อากาศที่ดสิ่งแวดล้อมที่ดี
นอกจากนี้เทคนิคที่จะช่วยให้เราฝึกขอบคุณสิ่งต่างๆ ได้ก็คือ การจดบันทึก หรือการทำ “Journaling” นั่นเองครับ ✍️
ให้เราจำไว้ว่าไม่ว่าวันที่ที่เลวร้ายเพียงใด จะมีเรื่องดีๆ ซ่อนอยู่เสมอ ให้เราลองมองหาสิ่งดี ๆ ในวันนั้น แล้วจดบันทึกครับ การที่เรามานั่งคิดถึงสิ่งดี ๆ แล้วจดลงไป จะช่วยทำให้เราผ่อนคลายจากเรื่องร้าย ๆ ที่เราเจอมาได้ แล้วส่งพลังบวกกลับมาให้เราแทนครับ ✅
……………..
“Step 6: Turn Envy into Inspiration” เปลี่ยนความอิจฉาเป็นแรงบันดาลใจ
ความอิจฉานั้นเป็นพลังลบที่เกิดจาก “scarcity mindset” ครับ คือเราอิจฉาเพราะไปมองว่าคนอื่นได้ดี ประสบความสำเร็จ แต่ทำไมไม่ใช่เรา นั่นก็หมายความว่า เรานั้นไม่มั่นใจหรือไม่เห็นคุณค่าในตัวเราเองว่าเราก็สามารถทำแบบนั้นได้เช่นกัน
ส่วนแรงบันดาลใจนั้นเป็นพลังบวกที่ช่วยส่งเสริมให้เราเกิดความพยายาม ซึ่งเกิดจาก “abundance mindset” ที่เชื่อว่า ความสุข ความสำเร็จนั้นมีเหลือเฟือพอให้ทุกคนไขว่คว้า 👍🏻
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกรักตัวเองจริง ๆ อย่างไม่มีเงื่อนไข เราจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง แล้วเราก็จะไม่รู้สึกอิจฉาคนอื่นอีกเลยครับ
……………..
“Step 7: Trust in the Universe” เชื่อมั่นในจักรวาลว่าสิ่งดี ๆ จะต้องเกิดขึ้นกับเรา
🌟 สำหรับขั้นตอนสุดท้ายครับ เมื่อเราทำทุกอย่างตามขั้นตอนที่ 1-6 แล้วนั้น สิ่งที่เหลือก็คือให้เราเชื่อมั่นครับว่าสุดท้ายแล้วเมื่อเราได้พยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่แล้ว สิ่งที่เราหวังก็จะเกิดขึ้นในที่สุดครับ
ศัตรูตัวร้ายที่สุดที่เราจะต้องเจอ ก็คือ “ความไม่อดทน” ของตัวเราเองครับ ที่จะทำให้เรายอมแพ้ไปเสียก่อน หรือต้องการเห็นผลลัพธ์ความสำเร็จไว ๆ เมื่อไม่เห็นผลลัพธ์ก็อาจจะทำให้เราหยุดหรือเลิกทำสิ่งที่ถูกต้องไปเสียก่อนครับ
……………..
📌 หนังสือเล่มนี้มีความคล้ายคลึงกับหนังสือ Good Vibes, Good Life ที่ผมเพิ่งจะรีวิวไปมากทีเดียวครับ โดยหลักการสำคัญที่หนังสืออยากจะบอกเราเลยก็คือ การที่เราจะมีความสุขหรือประสบความสำเร็จใด ๆ ได้ เริ่มได้จากการสร้างพลังบวกจากตัวเราเองนี่แหละครับ
1
💡 กรอบวิธีการในหนังสือ “Manifest” เล่มนี้เป็นเพียงกรอบวิธีการคิดเพื่อให้เรานำไปปรับใช้จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสุดท้ายการกระทำก็อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่มีหนังสือเล่มไหนหรือใครจะมาช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้จริง ๆ หากตัวเราเองไม่ปฏิบัติ
🌟 ผมชอบแนวคิด “abundance mindset” ที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงมากทีเดียวครับ เมื่อเรามองว่าความสุข ความสำเร็จมีอย่างเหลือเฟือในโลกใบนี้และรอให้เราไปไขว่คว้าเอามา ในเมื่อตัวเรามีชีวิตแค่เพียงครั้งเดียว ทำไมเราถึงจะไม่ลองพยายามดูหละครับ เพื่อที่ว่าเราจะได้ใช้ชีวิตของเราในแบบที่ดีที่สุด แล้วประสบความสำเร็จแบบที่เราต้องการครับ 🌟
#BookReview #รีวิวหนังสือ #สิงห์นักอ่าน
ป.ล. ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางใน facebook : สิงห์นักอ่าน
โฆษณา