11 ก.ย. 2023 เวลา 14:57 • ท่องเที่ยว
ลอสแอนเจลิส

แบกเป๋าแบกเป้ไปโร้ดทริป EP.1 ตอน Wassup LA (Los Angeles)

วันนี้ปันก็จะมารีวิว ประสบการณ์เที่ยวอเมริกา แบบโร้ดทริป เนื่องในโอกาสครบ 1 ปีพอดี สำหรับทริปในครั้งนี้ ปันก็เริ่มต้นเดินทางจาก Los Angeles หรือ LA ไปยัง San Francisco, Lake Tahoe, Las Vegas, Grand Canyon แล้วก็วกกลับมาที่ LA
ทั้งหมด 12 วัน 11 คืน ระหว่างวันที่ 8-19 กันยา 2022
*จริงๆ มีต่อไป DC แล้วก็ NYC ด้วยละ แต่เดี๋ยวจะมารีวิวหลังเสร็จโร้ดทริปนะ*
ระยะทางทั้งหมด มากกว่า 3,200 กิโลเมตร ผ่าน 6 เมือง/สถานที่สำคัญของ West Coast และ 4 มลรัฐ คือ California, Nevada, Arizona และ Utah
เส้นทางโร้ดทริปทั้งหมดของปัน
ทริปนี้ปันมากับเพื่อนๆ ที่มาเวิร์คด้วยกัน (เพราะนี่มา W&T เมื่อปีที่แล้ว) หลังทำงานเสร็จ ก็เลยมาเที่ยวได้นะ สูงสุด 1 เดือน ตามกฎของ วีซ่า J-1 เพื่อนที่มาเป็นเพื่อนคนไทยทั้งหมด 5 คน (1 คนมาจากการนัดผ่านกลุ่ม)
วันที่ปันเดินทางไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ ก็…
Day 1-2 LA
Day 3-5 SF
Day 6 Lake Tahoe
Day 7-8 Las Vegas
Day 9 Page (Grand Canyon & Antelope Canyon)
Day 10-12 LA
หมายเหตุ
  • ราคาที่ปันเขียน คือ รวม Tax ทั้งหมดแล้วนะ (แต่ไม่ได้รวมทิปที่เราต้องให้ทางร้านในอเมริกา)
🦅ธงชาติอเมริกา🇺🇸
DAY 1 ( 8 September 2022)
หลังจากที่แพ็คกระเป๋า แล้วเข้านอนแต่หัวค่ำ ถึงเวลาที่ต้องอำลาเมือง Snowmass และ Aspen ที่รัฐ COLORADO หลังจากที่มาอยู่-ทำงานตลอดโปรแกรม W&T ในช่วง 4 เดือนตั้งแต่เช้ามืด เพราะเรามีไฟล์ทที่บินตรงไปยัง Los Angeles หรือ LA ตอน 7 โมงกว่าเลย
ผู้คนที่นี่ รวมถึงเพื่อร่วมงาน คือดีมากเลยนะ (คิดถึงสุดๆ~ 🥹) อยากอยู่ต่อนะ
แต่คงต้องไปล่ะ สัก 2-3 ปีถึงจะกลับมา
ปันปัน แบกเป๋าแบกเป้
เรามาถึงที่สนามบิน Aspen Pitkin County Airport (ASE) เป็นสนามบินขนาดกลาง (อารมณ์สนามบินแม่สอด/สมุย บ้านเรา) ตั้งอยู่ตรงทางผ่านไปที่ทำงานปันเลย ตอนต่อรถ/นั่งระหว่างทางก็เห็นเครื่องบินขึ้น-ลงตลอด แต่เป็นเครื่องบินขนาดเล็กนะ เพราะจะต้องบินผ่านเทือกเขาสูงร็อกกี้ (Rocky Mountains) ที่ความสูงเฉลี่ยก็ 2500 เมตรเลยทีเดียว คือสูงกว่าดอยอินทนนท์ซะอีก
บรรยากาศสนามบิน Aspen (ASE)
ไฟล์ทที่ปันขึ้นเครื่องไป LA ครั้งนี้ เป็นของสายการบิน United Airlines (UA) เที่ยวบินที่ UA 5487 (ASE-LAX) ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง ขึ้นเครื่อง 7:20 ถึง LA ตอน 8:50 (เวลา LA) สามารถเช็คอินออนไลน์มาได้เลย ประมาณ 24-48 ชั่วโมงก่อนเดินทาง (ภายในประเทศ)
แต่ถ้ายังไม่ได้เช็คอินออนไลน์ คือมาเช็คที่หน้างาน ตรงเคาท์เตอร์เช็คอิน ก็สามารถทำได้ที่ตู้ KIOSK ของสายการบินได้ และตู้ KIOSK ของสายการบิน United รองรับภาษาไทยด้วยล่ะนะ
ตู้ KIOSK ของสายการบิน United Airlines
แต่ของปันและเพื่อนก็ได้เช็คอินมาจากที่พักแล้วล่ะ ฉะนั้นก็เหลือแค่การเอากระเป๋าเดินทาง ไปชั่งน้ำหนักที่เคาท์เตอร์ แล้วโหลดใต้ท้องเครื่อง แล้วก็เอาใบ Boarding Pass ออกมาเพื่อให้ Security เช็คด้านใน (จริงๆ โชว์จากมือถือได้เลย ไม่เหมือนตอนขึ้นที่สิงคโปร์ที่ต้องให้ดูจากใบจริงเท่านั้น)
E-Boarding Pass & ใบ Boarding Pass ของสายการบิน United Airlines
เมื่อโหลดกระเป๋าเสร็จแล้วก็มาโซนผู้โดยสารขาออก (Departure) แต่เราจะต้องตรวจ Security ก่อนเข้าไป ก็อย่างว่าแหละ เอา Boarding Pass จากในมือถือ สแกนได้เลย แล้วเข้ามาด้านในได้
ในโถง Departure ไม่มีอะไรเลย นอกจาก Gate ที่ขึ้นเครื่อง แบบว่า ออกจาก Security แล้วก็เป็น Gate ขึ้นเครื่องเลย ปันได้ Gate 4 ซึ่งเป็น Gate ที่อยู่หน้าจุด Security เลยนะ เราก็นั่งรอจนกว่า เจ้าหน้าที่จะเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง โดยเรียกเป็นกลุ่มๆ กันไป เราได้กลุ่ม 3 ก็รอจนเขาประกาศ Group 3 แล้วก็ขึ้นไปได้
เครื่องบินรุ่น CRJ-701 ER ของสายการบิน United
ความที่สนามบินค่อนข้างเล็ก แล้วก็ภูมิประเทศที่ค่อนข้างสูง ขนาบข้างด้วยเทือกเขาร็อกกี้ ทำให้เราได้นั่งเครื่องบินแบบ CRJ-701 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก ตัวใบพัดอยู่ทางท้ายเครื่อง ตามภาพ ที่นั่งด้านในจัดเป็นที่นั่งแบบ 2-2 ก่อนขึ้นเครื่อง ปันถ่ายรูปหน้าทางขึ้นเครื่อง ก็เห็นกัปตัน แกโบกมือทักทายพวกเราด้วย คือดีมากๆ 😄
มาถึงแล้วปันก็ได้นั่งที่ของปัน หมายเลข 16A เป็นที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้าย ดังนั้นปันก็ได้เห็นวิวตลอดการเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง ที่ด้านนี้เลยล่ะ เครื่องออกตรงเวลา ประมาณ 7:20 แล้วเครื่องก็ได้ Pushback ออกจาก Gate, Taxiing แล้วก็ไปที่รันเวย์ ตามลำดับ
เครื่องได้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากรันเวย์หมายเลข 33 (ใต้ขึ้นเหนือ) ทำให้ปันได้เห็นวิวของเมือง Snowmass เป็นครั้งสุดท้าย จริงๆเป็นทางเข้าแหละ แต่ตัว Snowmass ต้องเข้าไปลึกอีก แล้วก็เมืองค่อนข้างเล็ก สังเกตุยาก ก่อนเครื่องจะหันหัวไปทางทิศตะวันตก ไปทาง LA เห็นงั้นแล้วแอบใจหาย+น้ำตาซึมอยู่นะ เพราะความรู้สึกแบบว่า ที่ที่เราคุ้นเคย ตลอด 4 เดือน ได้เดินทางออกไปจากตรงนั้นแล้วจริงๆ
ทางเข้าไปที่ Snowmass
ถึงเวลาที่ต้องมูฟออนจากตรงนั้น แล้วก็มาเอนจอยกับทริปผจญภัยตลอด 12 วัน 11 คืนกันดีกว่า
*ลืมไปว่า มันมีที่ปันไปเที่ยวตอนอยู่ที่ Aspen ด้วยนะ คือ Maroon Bells แล้วก็ทัวร์เมือง Aspen* แต่ยังไม่ได้รีวิว ไว้เดี๋ยวมารีวิวคราวหลังละกัน
พื้นที่ ที่น่าจะเป็น Grand Canyon
เส้นทางที่เครื่องบิน บินผ่านก็จะบินผ่านรัฐ Colorado, Utah, Arizona,เหลือบๆ Nevada และ California ซึ่งเป็นปลายทาง ที่ LA
ระหว่างทางที่บิน ปันก็ได้เห็นสถานที่ที่เด่นๆ เลย คาดว่าน่าจะเป็นหุบเหว Grand Canyon ที่ทอดยาวสุดลุกหูลุกตา มองจากเครื่องบิน ก็คือสวยไปอีกแบบ ซึ่งปันก็จะเดินทางมาที่นี่ด้วยแหละนะ หลังจากเที่ยว Vegas
บนเครื่องบิน ไม่ค่อยมีอะไรมาก เพราะเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก ต่อให้เป็น Full Service ก็เถอะ แต่เราสามารถต่อ WiFi บนเครื่องบินได้ ถ้าบินมาถึงระดับของการบินแล้วนะ แล้วคือฟรีด้วยแต่ความเร็วก็ได้แค่ส่งข้อความกันเท่านั้น มีพนักงานเดินมาเสิร์ฟน้ำ ขนมเล็กๆน้อยๆ เท่านั้นแหละ
นั่งดูวิวข้างทางได้ 2 ชั่วโมง เครื่องบิน ก็ได้ Landing ที่สนามบิน Los Angeles Int’ Airport (LAX) ตอน 8:30 จอดเทียบ Gate Terminal 5 ตอน 8:45 ถือว่ามาเร็วกว่ากำหนด ประมาณ 5 นาที
*เวลาที่ LA จะช้ากว่าที่ Aspen อยู่ 1 ชั่วโมง = LA ช้ากว่าไทย 14 ชั่วโมง ในหน้าร้อน*
ยินดีต้อนรับสู่ LA
มาถึงสนามบินเสร็จแล้วก็เดินตรงมาที่รับกระเป๋าที่โถงผู้โดยสารขาเข้า (Arrival) แล้วก็รอเรียก Uber ไปที่พักในเมือง โดยเราจะต้องไปที่โซน Taxi ที่สนามบินจัดให้ เราจะต้องนั่ง Shuttle Bus ไป
เรานั่งรถ Uber ไปที่พักก็ราคาประมาณ 21.7$ (~650 บาท) จากราคาปกติ 36$ (~1100 บาท) หารสามคนที่มาด้วยกันก็ตกคนละ 215 บาทโดยประมาณ
รถบัสไปโซนจอด Taxi
มาถึงแล้วก็กลิ่นอายความเป็นวัยรุ่นเมกาก็มาทันทีเลยนะ ตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน เพราะภาพจำในหัวปัน ก่อนมา LA คือเป็นแบบแหล่งรวมแฟชั่นแบบ วัยรุ่น Rapper เมกางี้ ภาพคนเล่นสเก็ตบอร์ดที่ Venice Beach/Santa Monica งี้ สถานที่ที่เอามาทำเป็นตึกใน GTA V งี้ หรือเมืองคนรวย ระดับซุปเปอร์สตาร์ เพราะเป็นแหล่ง Hollywood ระดับโลกยังไงล่ะ ซึ่งเรามาดูกันดีกว่า ว่าจะเป็นอย่างที่ปันคิดหรือไม่?
Downtown LA 🤙🏻
เรานั่งรถมาประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เราก็มาถึงที่ Downtown ของ LA แล้ว แต่ว่าเราจะไปที่พักกันก่อน ชื่อว่า The Steady เป็น Hostel อยู่เขต Virgil Village ออกไปแบบชานๆ Downtown นิดนึง
พิกัดที่พัก :
ที่พักคือโอเค สำหรับคนที่จะมากันเป็นกลุ่ม เพราะเราจะได้เหมาห้องอยู่กันเองได้เลย เรามาพักคืนแรก 3 คนที่มาจาก Aspen ส่วนคืนต่อมามาอีก 2 คน จาก Alaska และ Indiana รวม 5 คน
แต่ว่าเรายังเช็คอินไม่ได้ เพราะเรามาถึงที่นี่ประมาณเกือบๆ 11 โมง ดังนั้น เราก็ฝากกระเป๋าที่ล็อบบี้ ก่อนออกไปเที่ยว ลืมบอกไปว่าตอนขึ้นมา เราต้องช่วยกันยกกระเป๋าด้วยนะ เพราะ Hostel มี 2 ชั้น ไม่มีลิฟต์ แล้วตัวล็อบบี้ก็อยู่ชั้น 2 คือแบบชั้น 1 เป็นเพียงแค่ทางขึ้นเท่านั้น
ทางเข้าที่พัก
หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จ เราก็เดินไปกินข้าวที่อยู่ใกล้ที่พัก เป็นร้าน Yoshinoya รู้สึกตาสว่างมาก เพราะอยู่ที่ Aspen 4 เดือนนี้ กินแต่เมนูชีส+เนื้อ สไตล์เม็กซิกันมาตลอด มาที่นี่ได้กินอาหารแบบ Asian สักทีแล้ว 😭(น้ำตาสายรุ้ง)
ปันสั่งเป็นเมนูหมูผัด ราคา 14$ (~420 บาท) รวม Tax แล้ว เป็นข้าว 10$, น้ำ 4$ ถ้าจำไม่ผิด คำเดียวเท่านั้นแหละ คือแบบ ความรู้สึก รสชาติที่ไม่ได้ลองมานาน คิดถึงอาหารแบบ Asian ไงล่ะ
หลักจากที่เรากินข้าวเสร็จ ที่แรกที่ปันจะไปเลยคือย่านคนไทย อย่างที่หลายๆคนรู้จักกัน ก็คือ Thai Town @LA นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Vermont/Santa Monica ไปที่สถานี Hollywood Western ประมาณ 2 สถานี
แน่นอนว่า เป็นย่านแหล่งรวมสินค้านำเข้าจากไทย ร้านอาหารไทย ร้านนวด ฯลฯ แต่ว่าส่วนใหญ่ปิดอยู่ ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าอะไร คิดว่าพิษจาก CoVid หรือเปล่านะ มีไม่กี่ร้านที่ยังเปิดอยู่อย่างเช่น ร้านของชำ เป็นต้น
บรรยากาศย่าน Thai Town
ในร้านค้าที่ปันเดินเข้าไป ก็บรรยากาศเหมือนอยู่ไทยนั่นแหละ มีทั้งขายสินค้าจากไทย พวกกระปุกพริก ซอสศรีราชาของไทย ซีอิ๊วฝาเขียว ฝาขาว น้ำปลา มาหมด
พิกัดย่าน Thai Town : (สถานี Hollywood Western)
หลังจากเดินเสร็จ เราก็ขึ้นรถบัสไปกันที่ Hollywood Forever หรือสวนอนุสรณ์ฮอลลีวูด เป็นสุสานหรือที่ฝังศพ ดารา Hollywood ที่มีชื่อเสียง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1899 ด้วยพื้นที่ 40 เอเคอร์ และตั้งอยู่หลังค่ายฟิล์มยักษ์ใหญ่อย่าง Paramount Pictures Studio ด้วยนะ
สุสาน Hollywood Forever
พิกัด Hollywood Forever:
หลังจากเสร็จจากตรงนี้แล้ว เราก็นั่งบัสไปที่ Apple Store สาขา Tower Theater ซึ่งเป็นสโตร์ที่ตั้งอยู่กลาง Downtown และค่อนข้างสวยด้วย เพราะเหมือนใช้ โรงละครเก่า มาทำเป็น Apple Store ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในวัง
บรรยากาศ Downtown LA
ในตัว Downtown คือน่ากลัวมาก เพราะที่นี่ Homeless เยอะมากๆ แล้วก็คนผิวดำเยอะ คือนี่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่อ่ะ บล็อคไหนที่มี Homeless เยอะๆ นี่ก็จะเดินเลี่ยไปเลยอ่ะ เพราะพวกเราก็เป็น Asian ด้วยอ่ะ เป็นเป้าสายตาอยู่เหมือนกัน 😨😨
มาถึงที่ Apple Store Tower Theater แล้ว เราก็ไปเดินดูข้างใน สถานที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสวยงาม เพราะเป็นการเอาโรงละครเก่า มาทำการรีโนเวทใหม่ ให้มีความสวยงามที่สุด ตามภาพ
แล้วก็จะคล้ายกับ Store ทั่วโลก ชั้นล่างก็จะมีโต๊ะวางตัวทดลองของ iPhone, iPad, Mac ฯลฯ ชั้นวางขายของ ส่วนชั้นบนก็เป็นโซนนั่งเล่น
Apple Store Tower Theater
พิกัด Apple Store Tower Theater :
หลังจากนั้น เราก็ไปเดินเล่นที่ตัว Downtown ไปแวะซื้อเสื้อแฟชั่นวัยรุ่นเมกาสักกรุบ ทั้งหมดก็โดนไป 67$ (~2000 บาท)
จากนั้นก็แวะซื้อกาแฟ ที่ร้าน LA Cafe แถวๆ สถานี Pershing Square ซื้อเป็นชาไทยเย็น ราคา 5.42$ (~160 บาท) รสชาติคือเข้มข้น หวานมันนะ ให้เลย 10/10 แถมร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมงด้วย
พิกัดร้าน:
จากนั้นเราก็กลับที่พัก โดยนั่ง Metro จาก Pershing Square ไปที่ Vermont/Beverly จากนั้นก็เดินไปประมาณ 10 นาที (ตัวที่พักอยู่ค่อนข้างไกลจาก Metro) เรามาถึงที่พักเวลาประมาณเกือบ 6 โมง ได้เวลาเช็คอินแล้ว
เราก็ได้ห้องมา เป็นห้องที่เยื้องมาจากล็อบบี้นะ รีวิวห้องที่ได้ จะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง, แล้วก็เตียงที่เป็นเตียงชั้น 3 เตียง, มีห้องน้ำแยกออกจากตัวห้องพักนะ เป็นห้องน้ำรวม มี Amenities ครบครัน (ไม่รู้ว่าเป็นแขกที่ลืมไว้ป่ะนะ 😁😁)
**ไม่มีรูป เพราะไม่ได้ถ่ายเลยอ่ะ มีแต่รูปถ่ายตัวปันเองบนที่นอน-ออกหน้าต่าง ไม่มีรูปภายในห้องเลย 😭😭**
หลังจากนั้นก็ไปกินข้างเย็นที่ร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้ที่พัก (ไม่ใช่ Yoshinoya เมื่อตอนเที่ยงนะ) เป็นร้านที่ฝรั่งทำอ่ะ ถือว่าชุดใหญ่พอควร ในราคา 14$ (~420 บาท)
บรรยากาศแถวที่พักนี่ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นะ สำหรับปัน แต่เพื่อนคิดว่า ปลอดภัยไว้ก่อน ก็รีบกินรีบกลับไปที่พักเลย แบบอยู่ข้างนอกที่นี่ไม่ควรเกิน 2-3 ทุ่มก็กลับได้ละ นี่ก็เลยกลับที่พัก อายน้ำนอน แล้วพรุ่งนี้มาลุยต่อ
ใน Ep. หน้า เราจะไปเที่ยวที่ Universal Studio Hollywood ทั้งวันเลย จะเป็นยังไง ก็มาติดตามก็แล้วกันน้า 👋🏻👋🏻
Contact Me
Instagram : @PunKT_Y2K
TikTok : PunPun_XXI_VII

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา