Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ปารีชะเอมเรื่องสั้น
•
ติดตาม
20 ต.ค. 2023 เวลา 11:17 • นิยาย เรื่องสั้น
ในฝันไร้ เก่า-แก่-เนิ่นนาน(1)
ผู้ชายเพียงคนเดียวเดินขึ้นมาจากป้ายรถสาธารณะชุมสายใหญ่ รถเมล์เอกลักษณ์สองชั้นทั้งคันมีย่านั่งอยู่คนเดียวจากต้นสายบ้านใหม่ชานเมือง เรามีนัดดินเนอร์และพักแรมที่บ้านเก่าของย่าที่ซึ่งปัจจุบันฉันครอบครองอาศัยเพียงลำพัง
ป้ายนั้นเป็นป้ายชุมทางสายใหญ่จุดเชื่อมต่อสลับไปในที่ต่างๆ ศูนย์กลางใหญ่ของใยแมงมุมยักษ์สู่ทั้งสองฟากสำคัญของเกาะ ปกติป้ายนี้ผู้คนเยอะเยอะ แต่ด้วยเวลาสายๆของวันธรรมดา ผู้คนในป้ายจึงน้อยถนัดตา เขาคนเดียวเท่านั้นที่เดินขึ้นมาสแกนบัตรข้างคนขับ มองเห็นถนัดถนี่ เพราะย่านั่งบนเบาะสำหรับผู้สูงอายุเบาะแรก
เขาเดินผ่านไปนั่งด้านหลังเบาะที่ย่านั่งอยู่ซึ่งเป็นที่นั่งปกติของผู้โดยสารทั่วไป ทั้งที่ ทั้งบน-ล่าง มีเบาะว่างมากมายเหลือคณานับ
ความบังเอิญชอบเกิดขึ้นเสมอ อดีตครูใหญเกษียณแร้วแต่ความจำและสุขภาพยังแข็งแรง ไม่กี่นาทีก่อนหน้า ฉันได้โชว์รูปทาง 'วอตส์แอปป์' ภาพถ่ายร่วมกันหน้าเคาน์เตอร์บาร์ระหว่าง ฉัน-พี่ใหญ่และลูกค้ารายแรกที่ได้ยลและชิมดริปถ้วยแรกฝีมือฉันเมื่อวันก่อน ภาพในร้านที่ฉันได้ไปฝึกงานให้ย่าดู ย่ายืนยันในใจทันที เมื่อเห็นผู้ชายคนนั้นเดินขึ้นมาบนรถ เธอมั่นใจซุ้ดๆโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเช็ควอตส์แอปป์ให้เสียเวลา ช่างบังเอิญเสียจิงๆ เขาคือลูกค้ารายแรกคนนั้น-คนเดียวกัน!?
ผู้ชายคนนั้นรับโทรศัพท์ที่มีเสียงสั่นเรียกเข้า เขาพูดจาเหมือนสะกดด้วยเสียงภาษาต่างประเทศ ถ้อยคำแผ่วเบาสองสามประโยคสั้นๆแล้วรีบกดวางหู บนรถมีผู้โดยสารเพิ่มมากกว่าเดิมแล้ว ส่วนใหญ่กำลังก้มหน้าก้มตาใช้อุปกรณ์สื่อสารโดยไม่มีใครกล้าริอาจใช้เสียง
เขาลงป้ายเดียวกับย่า ขณะเตรียมตัวลุกมายืนรอตรงประตูทางลงรถพร้อมกัน รถเคลื่อนใกล้ถึงป้าย ย่าส่งยิ้ม เขายิ้มตอบ ท่าทีนอบน้อมกว่าคนที่นี่มาก ย่าเหลือบเห็นชายสวมแว่นวัยละอ่อนแต่งตัวคล้ายๆกันกับเขายืนโบกมือให้ตรงจุดใกล้ๆป้ายรถเมล์
เหมือนกับเราจะเดินไปในกลุ่มเดียวกัน โดยที่ไม่เคยรู้จักมักจี่ พวกเรารวมทั้งคนอื่นๆยืนรอบนฟุตปาธตรงแยกสัญญาณไฟเขียวนานพอควร ทั้งที่ไม่มีรถแล่นผ่านมาสักคัน เมื่อไฟแดงฉ่าขึ้น เสียงจังหวะเคาะเร่งให้คนข้ามถนนเคลื่อนไหวจากระบบแจ้งเตือนของสัญญาณไฟ ทั้งหมดจึงรีบก้าวข้ามเดินไปตามทางม้าลาย กระทั่งมาถึงอีกฟากฝั่งถนน เสียงจังหวะเคาะในฝั่งนี้ดังถี่เร่งเร้ากว่าตอนเดินออกจากฝั่งโน้น เราทั้งสามแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง โดยไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยปากส่งคำลา
ไม่มีความแปลกอร่ายมั้กไปกว่า ทุกคนมีภารกิจต้องแยกย้ายไปทำ แต่ก็ใช่จะบังเอิญมากอะไรขนาดนั้น แล้วทั้งสาก็กลับมาเจอะเจอกันอีกทีในคาเฟ่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆร้านประจำของย่าร้านนั้นโดยไม่ได้นัดหมาย
ช่วงเวลาก่อนเที่ยงสักชั่วโมง จะเป็นช่วงว่างของบาริสต้าสาวมาดเซอร์แต่ใส่เอี๊ยมเสื้อกางเกงสะอาดสะอ้าน คล้ายได้พักแต่จริงๆแร้วมิได้เป็นเช่นนั้นหรอก เธอยังต้องตระเตรียมขนมปังเมนูยอดฮิตสำหรับเสิร์ฟกับดริปในช่วงพักเที่ยงของบรรดาลูกค้าขาประจำพนักงานออฟฟิศแถวนี้
ย่ากำลังดื่มดริปหลังได้สนทนากับเจ้าของร้านนิดหน่อย ย่าใช้เวลาหมดไปกับการนั่งนึกถึงลิสต์วัตถุดิบแถวตลาดสดใกล้ๆนี้ รายการที่จะต้องซื้อเพื่อปรุงอาหารมื้อเย็น หลังถ้วยดริปแสนฟินจากฝีมือเจ๊เซอร์ๆเจ้าของร้านเสร็จสิ้นลง
ลูกค้าสองคนในชุดกีฬาลำลองเดินเข้ามาในร้าน โดยที่ไม่ได้ทันสังเกตเห็นย่าที่นั่งอยู่คนเดียวในร้านหรือเห็นแต่ไม่ได้สนใจที่จะจดจำ ทบทวน
เมนูยอดฮิตถูกประเดิมภาคเที่ยงขึ้นจากลูกค้าสองรายนี้ เป็นไปได้หนึ่งในสองอาจจะเคยมากิน พวกเขานั่งหลังย่าซึ่งนั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ โต๊ะพวกเขาใกล้กับประตูทางเข้าออก เสียงสนทนาของพวกเขาแม้จะไม่ดังสนั่นลั่นร้าน โทนเสียงออกจะเรียกได้ว่า กระซิบกระซาบด้วยซ้ำ แต่ย่าก็สามารถได้ยินทุกถ้อยคำแม้ไม่อยากได้ยินหรือสนใจก็ตาม ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงเส้นเสียงแผ่วเบาลอยลมปนเปในอากาศ พวกเขาใช้ภาษาพูดจาต่อกันเป็นภาษาอื่น มิใช่ ภาษาท้องถิ่นที่เมื่อตะกี้คนที่นั่งรถมากับย่าพูดจาสั่งของกินกับบาริสต้า
เส้นเสียงลอยลมพร้อมระเหยไปในอุณหภูมิของแอร์คอนดิชั่น คล้ายเสียงพูดคุย ไม่มีใครเข้าใจ นอกจากพวกเขา แก่นแท้เรื่องราวของบทสนทนาคงไม่สามารถคลี่คลายหายวับไปกับลมเย็นในอากาศได้ทันท่วงที
คนสวมแว่นกำลังกดส่งรูปจากสมาร์ทโฟนที่คาดเดาว่าคงถ่ายตรงมุมยอดฮิตก่อนเข้ามาในร้าน ท่าทีดั่งตั้งใจส่งไปให้ใครสักคน
คนที่นั่งรถมากับย่าเอ่ยปากหลังเห็นภารกิจส่งภาพให้ใครสักคนของคนสวมแว่นเสร็จสิ้นลง
"ไหน ลองว่าใหม่สิ เมื่อตะกี้ พูดเร็วเกิ๊น จับใจความ เสียงข้างถนน ดังกลบหมด จับอะไรไม่ได้ศัพท์เลย"
ฝ่ายนั้นได้ยินพลางถอนหายใจ วางมือถือลงบนโต๊ะ สายตาเหม่อมองหน้าต่างกระจกผ่านออกไปยังพื้นถนนซอย บาริสต้าหญิงกำลังบรรจงรินน้ำร้อนเก้าสิบองศาในกาปากแหลมลงในถุงกรองที่หุ้มผงกาแฟไว้ในถ้วยเซรามิกทรงแปลกๆซึ่งซ้อนกันถึงสองใบ ควันคลุ้งกลิ่นโชยหอมฉุย ย่านั่งตรงโต๊ะหน้าเคาน์เตอร์บาร์ สมองกำลังสลัดความคิดทุกอย่างในหัวให้หลุดพ้นไป ทิ้งไว้เพียงสมาธิที่จดจ้องต่อเรียวสายน้ำเล็กๆที่รินไหลเอื่อยๆจากกาปากแหลมลงในถ้วยและหยดติ๋งๆลงในถ้วยด้านล่างอีกใบ
"พ่อผมทำงานใกล้ชิดกับเขามั้กๆเลยนะคับ สมัยนั้น เกือบยี่สิบปี พี่ก็คงรู้ดี ฟุตบอลบ้านเราเป็นอาชีพแล้วก็จิง แต่ระบบระเบียบมาตรฐานต่างๆมันไม่ได้เป็นโปรเฟสชั่นแนลขนาดทุกวันนี้" คนใส่แว่นก้มหน้าพูดเสียงเรียบๆ
"พ่อมารับผมที่โรงเรียน เรามาสนามซ้อมทุกวัน ผม ม.ปลายแล้วตอนนั้น ผมเจอ'อาชิ' ทุกวัน พ่อในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและผ.อ สโมสร ทุ่มเทอย่างมาก งานหลักที่กระทรวง เห็นชัดๆว่าพ่อแผ่ว ตั้งแต่ทีมขึ้นมาเล่นในดิวิชั่นหนึ่งหรือลีกสองในตอนนี้ ทีมงานผู้ก่อตั้งสโมสรทุกคนต้องการขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดให้จงได้ ทุกคนจึงทุ่มเท"
"วิทยาศาสตร์การกีฬาเต็มรูปแบบที่ อาชิ เอามาใช้กับสโมสร เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งเรื่องงบประมาณ บุคลากร และก้อ เออ..พี่-เองก็น่าจะรู้นะ สมัยนั้น นักเตะบ้านเรา ไม่ใช่ส่วนใหญ่ จิงๆคือเกือบทั้งนั้นทีมอื่นๆด้วย ไม่เข้าใจ และไม่เปิดใจรับในเรื่องนี้ บางคนบางที่ แอนตี้ด้วยซ้ำ"
"แต่มันก็เห็นผลได้ชัดเลยนะ เรื่องพละกำลังนักเตะ โชคดี ยุคต้นๆ นักบอลแอฟริกาใต้พวกอกหักจากลีกยุโรปเข้ามาเลียแผลอยู่ในทีมหลายคน พวกนี้คุ้นชินเรื่องนี้เลยช่วยสร้างทัศนคติดีๆต่อนักบอลเรา อาชิเอง เจออุปสรรคเยอะ โดยเฉพาะเรื่องโภชนาการ ซึ่งไม่ได้เห็นอะไรเลยตอนนั้น แต่รากฐานโดยรวมอื่นๆก็เกิดขึ้นสมัยเขาทำนะ ต้องชูเครดิตให้เต็มๆ...."
"แม้พ่อจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับสโมสรนี้แล้ว กลุ่มนายทุนที่ซื้อไปก็สานต่อเรื่องนี้ ถือว่าสโมสรเราคือต้นแบบที่เอาวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้ ทุกคนรู้ นับแต่เราขึ้นลีกสูงสุดมา ไม่แชมป์ก็อันดับสอง เท่าที่จำได้ แย่สุดๆไม่มีฤดูกาลไหนจบเกินอันดับห้า กี่ปีมาแล้วละพี่ นานมั้ก"
บาริสต้าสาวมาดเซอร์ตะโกนบอกลูกค้าในร้านว่าออเดอร์ที่สั่งได้แล้ว คนที่นั่งรถมากับย่าลุกขึ้นไปรับถาดตรงมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์บาร์
บนโต๊ะถูกวางด้วยเมนูโทสต์สูตรเฉพาะของที่นี่ คนละจาน กาแฟดริปแสนหอมถูกยกรินจากเหยือกใบใหญ่ลงแก้วใบเล็กสองใบ เรื่องเล่าถูกเบรคด้วยเวลาพักครึ่งในกติกามาตรฐานของการแข่งขันฟุตบอล
ขณะก้มหน้าก้มตาเคี้ยวและจิบ คนใส่แว่นก็อดที่จะส่งเสียงเล่าเรื่องสลับไปมาเป็นระยะๆมิได้
"ส่วนหนึ่ง ที่ผมได้แรงบันดาลใจเรียนด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาก็เพราะได้คลุกคลีกับอาชิในตอนนั้น" เขาเงยหน้าสบตาฝ่ายตรงข้าม ขนมปังคลุกครีมข้นยังผสมปนเปในปาก เสียงพูดคลุมเครือ ทำให้อีกฝ่ายได้ยินและพอทำความเข้าใจได้ จึงต้องพยักหน้ารับรู้เป็นระยะเช่นกัน
"เราอยู่ลีกสองเพียงปีเดียว เราก็เป็นแชมป์ได้ขึ้นมาลีกสูงสุด ปีถัดมา อาชิก็ย้ายกลับไปเจลีก ผมกับอาชิมีอีเมล์ส่วนตัวติดต่อกันเรื่อยมา อาชิเชียร์ผมเรื่องเรียนด้านนี้ ตอนผมใกล้จบมหาลัย อาชิย้ายไปอยู่ลีกในตุรกีแล้ว เขายังชวนผม พูดหยอกเล่นๆ ให้มาทำงานด้วยกันเลยนะ"
ทั้งคู่เว้นวรรคเพื่อซดดริปที่เหลือสุดท้ายในแก้ว หลังขนมปังยอดฮิตหมดไปก่อนหน้า
น้ำดำขมล็อตสุดท้ายไหลลงคอ ทว่า แปลกนัก มันกลับกลายสร้างความหวานต่อออกไปอีกเนิ่นนานแถวๆบริเวณทั้งแถบของลำคอ
เมื่อวางแก้ว ฝ่ายเล่ารีบเล่าต่อ
"ตอนแรก ผมเข้าใจว่า อาชิเป็นคนญี่ปุ่น แต่แท้จริงแล้ว เพิ่งรู้ อาชิ เป็นคนที่นี่! เขาเกิดและเติบโตใจกลางเมืองบนเกาะดังแห่งนี้ ตึกบ้านครอบครัวเขาก็อยู่ในย่านแถวนี้ ด้วยนะพี่ ที่เมื่อกี้ ตอนถ่ายรูปมุมฮิตตรงนั้น ผมตะโกนบอกพี่ไง แต่สมัยอาชิอยู่ มุมนี้คงยังไม่ฮิตอย่างนี้หรอก ฮ่าๆ"
"สองอาทิตย์ก่อนเป็นวันที่เขากับผมคุยไลน์เรื่องนัดมาที่นี่กันชนิดเข้าข่ายทีท่าจิงจัง เหมือนคณะผู้จัดงานออกโปรแกรมการแข่งขันเลย คริๆ แต่อีกฟิลลิ่งหนึ่ง พูดแร้ว ก็น่าขำ คล้ายๆทีมงานของอีธานฮัลท์ในมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ล ฉากร่วมประชุมก่อนเริ่มงานสำคัญ...แฮ่ะๆ แต่เอาเข้าจริงๆนะ-พี่ ตอนเขาเริ่มออกปากชวน ความรู้สึกผมก็เหมือนจะต้องมาทำภารกิจอะไรบางอย่างที่นี่แบบนั้น จิงๆด้วยอ่ะ มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลย ไม่มี สเก๊าท์ติ้ง-เทรนนิ่ง-กายภาพ เลยนิ จะว่าไป นัดกันมาเที่ยวเมืองนอก ก้อ..ไม่เชิงเท่าไหร่"
ผู้เล่าหยุดหายใจสักพัก มองออกไปยังถนนซอยหน้าร้าน ผู้คนขวักไขว่ เส้นถนนที่ทอดยาวด้านหนึ่งยาวไปจรดตรงมุมถ่ายรูปยอดฮิต และอีกด้านทอดยาวเกือบถึงปลายถนนซอยต้องผ่านทางเข้าตึกบ้านเก่าของย่าก่อน
"ผมขอย้อนกลับไปหน่อยนะพี่ ตอนพักลีกช่วงต้นปี เขาบินจากตุรกีแวะมาเจอผมที่บ้าน อ๋อ!..เจอพ่อด้วยนะ ไปกินข้าวกัน ไม่ได้เจอตัวเป็นๆ นานมั้ก เลยพูดคุยกันยาว หลังแยกกับพ่อ เราสองคนไปหาที่ดริงค์ต่อ เขาพูดคร่าวๆถึงการนัดกับผมเพื่อมาที่นี่ช่วงปลายปี มีเหตุสำคัญซึ่งเขายังไม่ได้บอกไว้ในเวลานั้น แต่ลึกลับประมาณ เขาต้องจากที่นี่ไปเพราะเรื่องนี้..." เสียงแจ้งเตือนในมือถือของใครสักคนดังขึ้น พ่อแว่นหยุดเล่าแป๊บ แต่ก็ไม่สนใจว่าจะใช่ข้อความแจ้งเตือนจากมือถือของตนหรือป่าว เขาพูดเสียงเรียบๆต่อไป
"การนัดเนี่ยะ ค่อนข้างลับๆ คล้ายมีบางสิ่งแอบแฝงซ่อนเร้น คำพูดบางคำ ผมจับใจความเอง ทำนอง อยากให้ช่วยสานเรื่องฝันให้เป็นจริง ฝันนี้ กินเวลามานานถึงสิบเจ็ดปีแล้ว..นานมาก ไม่เลือนหาย! โอ้!..พี่! เกือบลืม..."
"เออ..เรื่องผมมาที่นี่ พ่อไม่รู้เรื่องอาชินะ ผมบอกพ่อว่า มาที่นี่ เพื่อเจอพี่ เผื่อได้ความรู้ดีๆจากพี่ เกี่ยวกับสโมสรที่พี่ทำงาน ลีกที่นี่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ทีมชั้นนำอย่างทีมพี่ ในแวดวง คนพูดถึงกันเยอะ นักบอลบ้านเราหลายคนบอกสนใจที่จะมาเล่นที่นี่ แต่!..อืมม์..."
ชายหนุ่มชุดออฟฟิศคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาในร้าน เวลาเดียวกับย่ากำลังเดินออกจากร้านพอดี
เขาทั้งสองส่งยิ้มให้ย่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ย่ายิ้มตอบพลางยกมือผลักประตู ลูกค้าใหม่ยืนตรงเคาน์เตอร์บาร์ เขาคงสั่ง เมนูขนมปังและดริปร้อนแบบเทคอะเวย์
คนใส่แว่นพูดต่อหลังก้มหน้ามองแก้วดริปที่มีคราบกาแฟติดค้างอยู่ เสียงเขาดังพร้อมสบตากับอีกฝ่ายขณะประตูร้านถูกเปิดออก มีลูกค้าสองรายชายหญิงเดินเข้ามา
"อาชิ..ตาย!!!"
เสียงแผ่วเบาของชายสวมแว่น ถูกกลบด้วยเสียง 'ฮัลโหล' 'ฮัลโหล' คำกล่าวทักทายจากลูกค้าที่เดินเข้ามาใหม่แก่เจ้าของร้าน และเสียงฮัลโหลก็ถูกสะท้อนกลับจากเคาน์เตอร์บาร์ในเวลาทันท่วงที คนที่นั่งรถมากับย่าทำหน้าเลิ่กลั่ก แววตาสับสน
"เขาตายในบ้าน อืมม์..ห้องในคอนโดที่โตเกียว อาทิตย์ก่อน"
"เบื้องต้น แผนกพิสูจน์หลักฐานระบุเพียง อาชิกินยาเพื่อฆ่าตัวตาย!..แต่เมื่อไม่กี่วันเนี่ย ผมได้รับข้อความไลน์จากทีมงานอาชิคนหนึ่ง คนญี่ปุ่นคนนี้ผมรู้จักดี บ้านเขาอยู่ตึกใกล้ๆกับอาชิ แจ้งว่า ตำรวจมีหลักฐานเพิ่มเติมบางอย่าง ซึ่งอาจนำมาถึงการยังไม่สามารถสรุปปิดคดีได้ การสันนิษฐานเกิดขึ้น....เป็นไปได้ว่า.....อาชิ อาจถูกฆาตกรรม! เพราะน่าจะมีเรื่องส่วนตัวบางอย่างเข้าไปพัวพันกับกลุ่มมาเฟียท้องถิ่นด้วยอ่ะ เอาละสิ! ทีนี้! ทำไงดีละ!?"
ข้อความแจ้งเตือนบนมือถือเขาดังขึ้นเบาๆ เสียงดังฟังคล้ายเสียงนกหวีดของกรรมการเชิ้ตดำเป่าหยุดเกมกลางคัน ผู้เล่าเรื่องก้มพลิกอ่านดูก่อนที่จะผละหน้าจอหลังดูจบพลางพูดยิ้มๆใส่ผู้ฟังอีกฝ่าย
"แฟนผมส่งข้อความมารีเควส์อ่ะพี่ ขอรูปคู่กับพี่หน่อย เออ..ตรงมุม-ยอดฮิต ตรงนั้นอ่ะ เธออยากเห็น ทรงเจ้าถิ่น ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เมื่อกี้ ไม่มีภาพคู่ของเราเลยนะพี่ ผมดันเล่นเซลฟี่อยู่คนเดียว แย่จัง ไม่ชวนพี่เลย อิอิ ถ้าอย่างนี้ ถูกขอมา ต้องรบกวนพี่ จัดให้สักนิดแล้วละเนี้ยะ"
ลูกค้าที่ยืนรอหน้าเคาน์เตอร์ได้ของเรียบร้อยส่งคำลา 'บ๊ายบาย' ก่อนเดินออกจากร้าน ส่วนผู้ฟังที่ดีเพียงคนเดียวในโต๊ะพยักหน้ายิ้มๆ เขาเอื้อมมือไปเก็บของบนโต๊ะใส่ถาดแล้วลุกขึ้นยกไปวางยังมุมสำหรับใส่ภาชนะใช้แร้ว
ทั้งคู่กล่าว 'บ๊าย-บาย' แก่เจ้าของร้านและหันหลังผลักประตูเดินจากไปสวนกับผู้คนอื่นๆที่เริ่มทยอยเข้ามาในร้านมากขึ้น เสียงทักทายถ้อยคำภาษาอังกฤษเริ่มดังถี่ๆภายในคาเฟ่เล็กๆที่มีดริปและขนมปังแสนอร่อยแห่งนั้น.
มุมยอดฮิต
นิยายเรื่องสั้น
1 บันทึก
13
1
13
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย