18 ก.ย. 2023 เวลา 05:01 • ท่องเที่ยว

รีวิวเที่ยวญี่ปุ่นในงบ 18,000 บาท 3 วัน 4 คืน ที่ฟุคุโอกะ [2023]

เป็นทริปที่วางแผนกันมาอย่างดีแล้วก็เตรียมใจไว้ด้วยว่ามันจะไม่เป็นไปตามแผน555 ทริปนี้ เราไปกับเพื่อนสาวสองคน เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต!!
เดินทางเดือน ก.ค. ช่วงฤดูฝนกึ่งร้อน ซึ่งเป็นเดือนที่ตามพยากรณ์อากาศจะมีฝนมากที่สุด ก่อนเดินทางไม่กี่วันเราเห็นข่าวน้ำท่วมเมืองที่เราจะไปด้วย แต่ไม่เป็นไรกว่าจะไปถึงน้ำคงแห้งแล้ว..มั้ง
ตามมาอ่านกันค่ะว่า ทริปนี้เราจะเป็นนักท่องเที่ยวหรือจะเป็นผู้ประสบภัย...
พร้อมแล้วไปกันเลย!!
ก่อนเดินทาง
ไปทำพาสปอร์ตเพื่อใช้เป็นเอกสารในการจองตั๋วเครื่องบิน
และใช้เป็นเอกสารในการเดินทางระหว่างประเทศด้วย
- ค่าทำพาสปอร์ต 1,065 บาท
- ค่าเครื่องบินไปกลับ กทม.- ฟุคุโอกะ 6,563 บาท (รวมประกันเดินทาง+ค่าเลือกที่นั่ง)
- ค่าทำประกันสุขภาพ+ประกันเดินทางกับซมโปะประกันภัย 349 บาท
- ค่าที่พัก มอนตัง ฮากาตะ 3 คืน 3,948 บาท
หลังจากนั้นก็โหลดแอพ Youtrip มา เพื่อทำบัตรที่เอาไว้ใช้กดเงินสดในต่างประเทศ
ในแอพนี้เราสามารถแลกเงินเก็บไว้ได้เลย เรทวันที่เราแลกถูกมาก 1 เยน อยู่ที่ 0.24 บาท เราแลกไป 3000 บาท ได้ 12,000 เยน!! เก็บไว้ไปกดเงินสดที่ญี่ปุ่นเลย
ค่าบริการทำบัตรฟรี!!! ถอนเงินก็ไม่เสียค่าธรรมเนียม (ถ้าใช้ตู้ 7-11 และตู้ AEON นะ)
บัตรกดเงินจากแอพ Youtrip
การเงินเสร็จ การเข้าประเทศต่อ!
เราเข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการเดินทางของเราที่เว็บ visit Japan ซึ่งข้อดีของการกรอกข้อมูลไว้ก่อนคือ เราไม่ต้องเสียเวลาไปกรอกข้อมูลที่ตม. สามารถแสกนคิวอาร์โค้ดจากเว็บไซต์ไปได้เลย ทีนี้ก็ผ่านตม.ไปได้อย่างรวดเร็ว (ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติอ่ะนะ)
ตัวอย่างคิวอาร์โค้ดที่ได้หลังจากกรอกข้อมูลในเว็บ Visit Japan
และแน่นอนสิ่งที่จะพลาดไม่ได้ในยุคนี้คือ อินเทอร์เน็ต!!
เราซื้อ SIM2Fly ของ AIS มา เน็ตดี เสถียร ไม่กระตุก ไม่ค้างเลย ดูแผนที่ได้ลื่นปรื๊ดๆ หลงทางไปอยู่ส่วนไหนของญี่ปุ่นสัญญาณก็ไปถึง หายห่วง!
- ซิม2flyราคา 378 บาท ใช้ได้ 10 วัน
จบไปแล้วกับการเตรียมตัว แพคกระเป๋าออกเดินทางได้!!
สรุปค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัว
เตรียมตัว = 12,303 บาท
วันที่ 1
ขาไปบินกับเวียดเจ็ตแอร์ ตอนต่อแถวเช็คอิน มีคนไทยน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น ท่ามกลางเสียงพูดคุยที่ไม่ใช่ภาษาไทยและไม่ใช่ภาษาท้องถิ่นที่ได้ยินในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกมันเหมือนกำลังต่อแถวไปอีกโลกหนึ่งอยู่เลย เช็คอินเสร็จ ก็รอขึ้นเครื่องประมาณเที่ยงคืนกว่า(ไม่ได้ดูเวลา) หลับๆตื่นๆจนถึงตีสาม ท้องฟ้าสว่างแล้ว วิวข้างนอกหน้าต่างสวยมาก ง่วงก็ง่วงแต่วิวก็อยากเห็น ลืมตาสู้ นานๆทีจะได้มีโอกาสนอนบนท้องฟ้า เห็นเมฆแล้วอยากลงไปวิ่งเล่นมาก เหมือนฝันไปเลยแฮะ
ถึงญี่ปุ่น 7:35 เวลาญี่ปุ่น (ถ้าที่ไทยตีห้าอยู่เลย) หลังจากลงเครื่องก็จะมีช่องแบ่งไว้ให้เราเดินสองช่อง เป็นช่องสำหรับคนญี่ปุ่น และ คนต่างชาติ ตอนเห็นป้าย foreinger passport ละแบบ เฮ้ย นี่เราเป็นคนต่างชาติแล้ววหรอ..!! พอเดินเข้าไปก็จะเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง พนักงานที่นั่นพูดแต่ภาษาญี่ปุ่น ไม่พูดอังกฤษเลย ตื่นเต้นมาก ในใจแบบจะได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นสักที แต่ต้องฟังเขาพูดสองรอบอ่ะ ถึงจะเข้าใจ
ขั้นตอนของตม.รวดเร็วมาก เพราะเรากรอกข้อมูลใน Visit Japan แล้ว ไปถึงแค่ยื่นคิวอาร์โค้ด ตรวจ passport สแกนมือ สแกนหน้า ไม่ถึง 20 นาทีก็เสร็จแล้ว Let's enjoy your trip in Japan!! โลดดดด
เข้ามาถึงในสนามบิน ก็ไปถอนเงินที่เราแลกเก็บไว้ในแอพออกมา ใช้บัตร Youtrip สะดวกสบายมาก ไม่เสียค่าธรรมเนียมด้วย
จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วรถเมล์เพื่อเข้าไปในเมือง ลงที่สถานีฮากาตะ ตอนต่อแถวรอขึ้นรถ พนักงานที่คอยรับส่งผู้โดยสารขึ้นรถเมล์สุภาพมาก ตอนปิดประตูรถเมล์เสร็จ เขาโค้งทำความเคารพเหมือนขอบคุณด้วย
ยืนต่อแถวขึ้นรถเมล์ไปสถานีฮากาตะ
พอมาถึงสถานีฮากาตะก็หลงทางเลย เดินวนไปวนมาตามกูเกิลแมพ ทั้งหิว ทั้งร้อนเลยแวะกินราเมงแถวๆนั้น รสชาติแรกที่ได้ลิ้มรสอาหารญี่ปุ่น น้ำซุปเค็มมาก ตอนแรกว่าจะเติมพริกป่น แต่เครื่องปรุงมีซีอิ๊ว, เกลือ, น้ำตาล, น้ำมันงา.. ไม่มีอะไรน่าเติมเลยแฮะ555 แล้วก็ทุกโต๊ะจะมีตะกร้าใบหนึ่งวางอยู่ ตอนแรกก็นึกว่าถังขยะ ตลกมาก เกือบจะทิ้งทิชชู่ละ แต่เห็นคนที่นั่งโต๊ะข้างๆเขาวางกระเป๋า เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตามสินะ555
ตะกร้าใส่กระเป๋าที่นึกว่าเป็นถังขยะ แหะๆ
ราเมง มื้อแรกในญี่ปุ่น
กินเสร็จก็สู้ชีวิต หาที่พักต่อ หลงไปมาอยู่หลายรอบ เพราะโดนกูเกิลแมพทำแท้ง เปลี่ยนภาษาในแอพเป็นภาษาญี่ปุ่นให้โดยอัตโนมัติ ระหว่างเดินไปยังที่พัก ก็มีโอกาสได้ดูบ้านเมืองผู้คน..
สวนลอยฟ้าบาบิโลน เอ้ยไม่ใช่!
ด้วยความที่เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของภูมิภาคคิวชู ส่วนใหญ่ก็จะมีตึกสูงๆเต็มไปหมด คนก็เยอะ แต่มันมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ถนนสะอาด ต้นไม้ก็เยอะ ลมพัดเย็นสบายมาก ทั้งๆที่อุณหภูมิ 30กว่าๆ มีมุมสำหรับคนสูบบุหรี่ บนถนนฟุตบาทก็จะมีบล็อกปุ่มๆสำหรับคนตาบอดด้วย ไม่ใช่แค่บนถนนนะ ไม่ว่าจะบันได หรือแม้แต่ทางม้าลายมีหมด เป็นการออกแบบเมืองที่คำนึงถึงทุกคนจริงๆ
นี่คนหรือมด ต่อแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
แล้วอีกอย่างทุกคนเองก็เคารพในกฎระเบียบที่สังคมกำหนดขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสังคมแบบนี้มันน่าอยู่จัง เหมือนทุกคนใส่ใจและให้เกียรติกันเป็นอย่างดีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เคารพกฎระเบียบของสังคมก็เหมือนเป็นการให้เกียรติกันและกันแล้ว
บรรยากาศในเมือง
พอมาถึงที่พัก มอนตัง ฮากาตะ!! เจอพนักงานต้อนรับที่เป็นลูกครึ่งพูดไทยได้ พวกเราก็สบายบรื๋อเลย เขาบริการเราดีมาก สุภาพมาก ประทับใจนะ รู้สึกตั้งแต่มาญี่ปุ่นพนักงานส่วนใหญ่บริการเราดีหมดแบบไม่สนลูกใครอ่ะ แล้วเราก็ได้เช็คอินตอนเที่ยง(จริงๆเช็คอินได้สี่โมง) เพราะเรามาก่อน มีห้องว่างพอดี แพลนวันนี้ จริงๆจะไปสวนโอโฮริ แต่ขออาบน้ำนอนพักก่อนนะ เจ็ตแหลกไม่ไหว55555
มอนตัง ฮากาตะ เดินมาจากสถานีฮากาตะไม่ไกลมาก กำลังดี!
ตื่นอีกทีสี่โมง!! ไปหาข้าวกินที่สถานีฮากาตะ จริงๆร้านอาหารเยอะมาก แต่พวกเราก็หิวกันมาก เห็นร้านแรกเป็นร้านข้าวแกงกะหรี่ก็เลยเดินเข้าร้านแบบไม่ลังเล มีสิ่งใหม่สิ่งหนึ่งที่ค้นพบนั่นก็คือ ทิชชู่!! ตอนหยิบมาเช็ดนั่นนี่ก็รู้สึกว่าทำไมผิวมันๆแบบนี้นะ เลยไปหาอ่านในเน็ต เขาบอกว่า ที่มันมีเนื้อผิวแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่อาหารเขาจะมีความมันๆ ทิชชู่เลยถูกออกแบบมาให้สามารถซับความมันได้นั่นเอง นารุโฮโดะ!!
ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม
วันแรกผ่านไป เที่ยวเหมือนคนขี้เกียจ เน้นกินอิ่ม นอนอุ่น พี่ไม่เน้นสู้ชีวิต5555
ยามเย็นริมแม่น้ำใกล้ๆกับที่พัก
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
ตั๋วรถเมล์จากสนามบินไปสถานีฮากาตะ 270yen
น้ำดื่ม 130yen
ราเมง 550yen
ค่าภาษีโรงแรม 600yen
แกงกะหรี่ 1000yen
ซื้อของใน Family mart 791yen
=3,341yen (835.25 บาท)
วันที่ 2
วันนี้เราจะไปเที่ยวยานากาวะ เมืองปลาไหลกัน! ตื่นมาด้วยความรู้สึกไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้อยู่ญี่ปุ่น มองไปทางไหนก็มีแต่ตึกนะ แต่เสียงจั๊กจั่นดังมาก เหมือนอยู่ในป่าเลย
ตึกเต็มไปหมด แต่ได้ยินเสียงจั๊กจั่นดังมาก
จริงๆตั้งใจจะออกจากที่พักเช้าหน่อย แต่ฝนตกไม่หยุดเลย ฟ้าครึ้มมาก เลยนั่งดูทีวีรอในห้อง จะบอกว่าเซอร์ไพรส์กับรายการต่างๆมาก ตั้งแต่เช้า มีรายการออกกำลังกาย เต้นแอโรบิคแบบยืนเต้นและนั่งเต้น ใครยืนไม่ไหวก็นั่งออกกำลังกายได้ (ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว) เขาใส่ใจกันเนอะ อีกช่องก็รายการสำหรับแม่บ้านทำอาหาร วิธีหั่นผักเป็นรูปทรงต่างๆ อีกช่องก็มีข่าวเช้า นึกถึงตอนเรียนวิชาจริยธรรมสื่อเลย อ.เคยยกตัวอย่างสื่อญี่ปุ่น ได้มาศึกษาดูงานของจริงก็วันนี้นี่แหละ555
มีการ์ตูนด้วย5555
กว่าฝนจะหยุดก็ประมาณ 9 โมง ออกเดินทางได้!! ตอนนี้เราพักอยู่มอนตัง ก็จะเดินไปที่สถานีฮากาตะ เพื่อขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานีเทนจิน แล้วก็เดินไปที่สถานีนิชิเท็ตสึอีกที เพื่อนั่งรถไฟไปเมืองยานากาวะ ตอนพิมพ์มันง่ายมาก แต่พอเดินทางจริงนะ หลงให้วุ่นเลย
เดินไกลมากกกกก
เราซื้อตั๋วแบบทัวร์ไปยานากาวะ เป็นแบบ one day pass สำหรับขึ้นรถไฟไปกลับ แวะเมืองดาไซฟุได้ ล่องเรือได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.ครึ่งก็ถึงที่หมาย ระหว่างทางนั่งรถไฟวิวเหมือนอยู่เชียงใหม่เลย เป็นเมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ มีการทำเกษตร มีโรงงาน ชอบขนส่งสาธารณะที่นี่มาก สะดวกสบาย ตรงเวลา สะอาด ปลอดภัย อยู่นอกเมืองก็สามารถเข้ามาทำงานหรือเรียนในเมืองแบบไปกลับได้ ถ้าอยู่ไทยมีขนส่งสาธารณะดีขนาดนี้ คงจะไม่ซื้อมอเตอร์ไซค์ ไม่ซื้อรถยนต์เหมือนกัน ชอบเดินทางแบบนี้มากกว่า
รายละเอียดแพกเกจตั๋วล่องเรือ
ตั๋วทัวร์ล่องเรือ + บรรยากาศบนรถไฟ
ไปถึงยานากาวะประมาณเที่ยง ที่สถานีเขาจะมีบริการนักท่องเที่ยว พนักงานพูดอังกฤษ จีน เกาหลีได้ สบายเลย เขาให้แผนที่เราพร้อมกับตารางเดินรถบัสฟรีของวันนั้น เราได้ลงเรือรอบเที่ยงตรง จะบอกว่าโคตรร้อน แดดเที่ยงตรงอ่ะ ในใจคืออยากลงไปลอยตัวในน้ำมาก แต่ระหว่างทางบางจุดก็มีมีต้นไม้ใหญ่ให้เราได้พออาศัยร่มเงาอยู่เป็นจุดๆ คนที่ถ่อเรือให้เราเขาก็จะบรรยายประวัติของเมืองนี้ ตรงนี้เป็นบ้านเก่าของซามูไร ตรงนี้เป็นที่จับปลาไหล ลักษณะคลองเขาจะเป็นเหมือนคูเมืองที่ขุดไว้รอบๆเมืองเหมือนเชียงใหม่เลย
แผนที่เดินไปท่าน้ำจากสถานีรถไฟ
บรรยากาศระหว่างล่องเรือตอนเที่ยงตรง
ที่จับปลา ใหญ่มากกกกก
ที่ประทับใจคือ เขาสามารถทำให้"ปลาไหล"ของที่มีอยู่ในท้องถิ่นกลายเป็นจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ แล้วทำได้ดีอะ ตรงนี้เห็นความร่วมมือกันที่ดีระหว่างภาครัฐส่วนกลางและภาครัฐท้องถิ่นเลย บริหารจัดการดี เป็นระบบ การเดินทางสะดวก มีข้อมูลตารางเวลาที่แน่นอนชัดเจน นักท่องเที่ยวมาไม่หลงไม่งงแน่นอน สถานที่ บ้านเมือง ห้องน้ำสะอาด ประทับใจครับ!
ป.ล.นึกถึงสบโขงเลย ที่นี่มีแค่ปลาไหลยังดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ขนาดนี้ เขาล่องเรือ เราก็ล่องแพ555555
ล่องเรือเสร็จ ก็หาข้าวกิน มาถึงเมืองปลาไหลก็ต้องได้กินข้าวหน้าปลาไหลสิ! ตกใจราคามาก 3300 เยน ประมาณ 825 บาท นี่เป็นมื้อที่แพงที่สุดในชีวิตเลยนะเนี่ย แต่ก็คุ้มนะ รสชาติปลาไหลอร่อยดี ข้าวเหมือนคลุกซีอิ๊วด้วยจะหวานๆเค็มๆ น้ำซุปใสๆอร่อยบริสุทธิ์มาก มีผักเครื่องเคียงเปรี้ยวๆเสิร์ฟคู่กันด้วย เหมือนใส่น้ำส้มสายชู แต่ไม่ใช่ผักดองนะ เอาไว้กินกันเลี่ยน แต่กินไปกินมาก็เลี่ยนอยู่ดี55555
อูมามิ! ข้าวหน้าปลาไหล
ขากลับ นั่งรถบัสฟรีไปลงที่สถานีรถไฟเพื่อเข้ากลับเข้าเมืองฟุคุโอกะ เมืองนี้แปลกนะ เป็นเมืองเล็กๆ แต่พนักงานส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก นี่พยายามพูดญี่ปุ่นด้วยแต่เขาตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ พูดคล่องมากด้วย กลับกันในตัวเมืองนี่พูดภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่เขาตอบกลับเป็นภาษาญี่ปุ่น แปลกดี55555
เด็กๆนั่งรอรถไฟกลับบ้าน
ระหว่างรอรถไฟ เห็นเด็กๆนักเรียนใส่หมวกสีเหลืองเดินกลับบ้านกันด้วย น่ารักมาก แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นคือ เราขึ้นรถไฟผิดคัน เป็นขบวนที่ไกลออกจากเมืองไปเรื่อยๆ เรานั่งไปจนเกือบสุดสายรถไฟอะ ลนลานมาก รู้สึกขอบคุณโลกนี้ที่มีกูเกิลทรานสเลทเลย มีคนญี่ปุ่นแถวนั้นช่วยเราให้กลับไปขึ้นรถไฟขบวนที่เข้าเมืองได้ เขาน่ารักมาก โบกมือลาให้กันด้วย พูดเลยว่า ตั้งแต่เรียนภาษาญี่ปุ่นมา วันนี้แหละ ขุดมาใช้หมดละ พูดผิดพูดถูกผันกริยาผิดๆถูกๆไม่สน วันนี้พี่ต้องรอด5555
หลงทางมาอยู่เมืองอะไรครับเนี่ย.. //ขอบคุณกูเกิลทรานสเลท
สุดท้ายก็กลับมาที่ฟุคุโอกะได้ และด้วยพิษราคาข้าวหน้าปลาไหล เลยกลับมาหาของกินในแฟมิลี่มาร์ทพอ เป็นวันที่สนุกมาก ตอนหลงทางมันน่ากลัวนะ สื่อสารกับใครไม่ได้ จะเดินทางกลับไปยังไง ไม่รู้จักใครแถวนี้เลย แต่พอผ่านมาได้ก็กลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งอ่ะ เป็นสีสันของทริป5555
หน้าแฟมิลี่มาร์ท มีโซบะปังในตำนานขายด้วย
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
ตั๋วทัวร์เมืองยานากาวะ 3340yen
ตั๋วรถไฟไปเทนจิน 210yen
นมสด 125yen
ปลาไหล 3300yen
ตั๋วรถไฟไปฮากาตะ 210yen
ซื้อของในแฟมิลี่มาร์ท 1,072yen
ไอศกรีม 750yen
=9,007yen (2251.75 บาท)
วันที่ 3
วันนี้ตั้งใจจะไปเดินตลาด Sunroad แต่พอไปถึงตลาดยังไม่เปิด พี่เดินทางมาไกลมากนะรู้ไหม เสียเที่ยวเลย แงงง วันนี้เราแพลนจะเที่ยวกันในเมือง เลยตัดสินใจซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินแบบ one day pass ใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งใน 1 วัน คุ้มมากพูดเลย!
ตั๋ว one day pass for subway in Fukuoka
ตอนหลงทาง ดอกไม้ข้างทางสวยมาก
เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าวเช้า พวกเราเลยตัดสินใจไปฝากท้องไว้ที่ อิจิรันราเมง หรือ ราเมงข้อสอบ ราเมงชื่อดังของที่นี่ ตามรีวิวบอกว่าอร่อยมาก ต้องไปลองสักหน่อย พอไปถึงปุ๊บ เจอแต่คนไทยทั้งนั้นเลย คิวต่อแถวยาวออกมานอกร้าน แต่คุ้มค่ากับการรอนะ เพราะมันอร่อยมาก ฟีลก๋วยเตี๋ยวน้ำข้น อร่อยสมรีวิวและเป็นอาหารที่อร่อยถูกปากที่สุดตั้งแต่มาญี่ปุ่นเลย
อิจิรันราเมง อร่อยสมกับที่เป็นตำนาน
กินเสร็จก็ไปเที่ยวสวนโอโฮริต่อ!! บรรยากาศดีมาก เป็นสวนสาธารณะที่อยู่กลางเมือง ลมพัดเย็นมาก มีคนมาพักผ่อนทำกิจกรรมเยอะแยะเลย ทั้งออกกำลังกาย ถ่ายรูป ปั่นเป็ด อ่านหนังสือ นอนเล่น ต้นไม้ร่มรื่น มีนก มีเต่า มีเป็ด มีปลา ธรรมชาติมาก ห้องน้ำก็สะอาด นี่เป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อย เข้าห้องน้ำเกือบทุกที่ที่ไป คอนเฟิร์มว่าห้องน้ำสะอาดมากทุกที่เลย (ยกเว้นที่ชายหาดโมโมจิ!!)
สวนโอโฮริ
หลังจากเดินเล่น ถ่ายรูป ชมธรรมชาติเต็มอิ่มแล้ว เราก็ไปเที่ยวชายหาดโมโมจิกันต่อ เห็นว่าเป็นอีกแลนมาร์คนึงของฟุคุโอกะเลย เป็นชายหาดที่มีอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปตั้งอยู่ริมทะเล แล้วก็มีฟุคุโอกะทาวเวอร์ด้วย กว่าจะไปถึงก็หลงทางขึ้นรถเมล์ผิดสาย วุ่นวายมากชีวิต555
ชายหาดโมโมจิ
พอไปถึงป้ายรถเมล์ที่ชายหาดโมโมจิ เราก็ต้องเดินต่อไปอีกนิด ที่หาดมีคนเกาหลีเยอะมาก นักท่องเที่ยวเกาหลีที่เจอวันแรกในสนามบินมารวมตัวกันอยู่ที่นี่นี่เอง555 ทะเลที่นี่เป็นทะเลที่เย็นอ่ะ ต้นไม้บนหาดเป็นต้นสนไม่ใช่ต้นมะพร้าว เวลาลมพัดทีเย็นสบายมาก แต่ถึงจะอย่างนั้น ไอศกรีมที่ซื้อมาก็ละลายภายในไม่ถึง 1 นาที5555
ไอศกรีมละลายในพริบตา
แต่รู้สึกที่นี่วันนี้ที่เรามาชายหาดดูค่อนข้างสกปรก ห้องน้ำไม่ค่อยสะอาด น้ำทะเลไม่น่าเล่นเลย บนหาดมีแต่ขยะ พวกรองเท้า ถุงพลาสติก ขวดน้ำ เศษไม้ เหมือนถูกพัดมากับคลื่น แต่ก็ยังมีคนลงไปเล่นน้ำนะ มีไลฟ์การ์ดที่คอยดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำด้วย ตอนนั่งพัก เห็นถังขยะที่แยกระหว่างขยะที่เผาได้กับเผาไม่ได้ จะว่าไปที่นี่ค่อนข้างเคร่งเรื่องการทิ้งขยะนะ ถึงจะเห็นถังขยะน้อยมาก แต่บ้านเมืองเขาก็สะอาด บางทีมีป้ายบอกว่า มีกล้องวงจรปิดด้วย นี่กลัวทิ้งผิดเลยเก็บเอาขยะที่มีไปทิ้งที่โรงแรมแทน555
ถังขยะมีตา
กินเสร็จแล้วก็ไปร้านดองกี้ ซื้อของฝาก คนเยอะมาก ของก็เยอะมาก มีทั้งขนม ตุ๊กตา เสื้อผ้า เครื่องดื่ม ของใช้ต่างๆ แค่ไปดูเฉยๆแหละ เพราะมีเงินไม่พอละ ตอนนั้นก็ปวดขามาก ปวดจนยืนเกือบจะไม่ไหวละ สภาพพวกเราเดินกลับที่พักคือเหมือนซอมบี้สุดๆ 555 เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เวลาจะไปเที่ยวเนี่ย สุขภาพมันต้องพร้อมด้วยนะ!!
สายัณห์สุดท้ายที่ฟุคุโอกะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ญี่ปุ่น เหมือนฝันเลย..
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
ตั๋วรถไฟไปตลาด Sunroad 630 yen
One day pass ticket 640 yen
ของฝาก 558 yen
รถบัส 840 yen
ราเมนอิจิบังถ้วยที่ 1 1,570 yen
ราเมนอิจิบังถ้วยที่ 2 1,110 yen
ไอศกรีม 450 yen
=5,798 yen (1449.5 บาท)
2
วันที่ 4
ขออนุญาตพูดสั้นๆว่า "ยังไม่อยากกลับเลย"
ยามเช้าที่สนามบินฟุคุโอกะ
เที่ยวบินกลับไทย เวลา 7.45 ซึ่งเราจะต้องไปเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พวกเราเรียกแท็กซี่ไว้ผ่านแอพดีดี เวลา 5.40 เผื่อเวลาเดินทาง เผื่อแท็กซี่มาช้าไรงี้ ความตรงเวลาของคนญี่ปุ่น เขามารอตั้งแต่ 5.30!!! แล้วก็บอกว่ารอได้ไม่เกิน 15 นาทีนะ ไม่งั้นจะแคนเซิล กลายเป็นว่าพวกเรานี่แหละที่ต้องรีบไป ขอบคุณเน่อ55555
จองแท็กซี่ผ่านแอพดีดี
นึกว่ามาเช้าแล้ว มาถึง 5.50 คนเยอะมาก ต่อแถวเช็คอินยาวเลย ขากลับเราบินกลับกับแอร์เอเชีย ตอนขึ้นเครื่อง พนักงานที่คอยบริการรับส่งสัมภาระขึ้นเครื่อง โบกมือและโค้งให้ด้วย น่ารักมาก ประทับใจจนวินาทีสุดท้ายที่จะกลับ แล้วจะไม่ให้อยากมาอีกได้ไง
จย้า มัตตะเนะ!
สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
ค่าแท็กซี่ 550yen
ขนม 410yen
น้ำดื่ม 110yen
= 1,070yen (267.5บาท)
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด
เตรียมตัว = 12,303 บาท
วันที่ 1 = 835.25 บาท
วันที่ 2 = 2,251.75 บาท
วันที่ 3 = 1,449.5 บาท
วันที่ 4 = 267.5 บาท
รวม 17,107 บาท
แยกตามประเภทค่าใช้จ่าย
- ค่าทำพาสปอร์ต 1,065 บาท
- ค่าเครื่องบินไปกลับ กทม.- ฟุคุโอกะ 6,563 บาท (รวมประกันเดินทาง+เลือกที่นั่ง)
- ค่าทำประกันสุขภาพ+ประกันเดินทางกับซมโปะประกันภัย 349 บาท
- ค่าที่พัก มอนตัง ฮากาตะ 3 คืน 4,098 บาท
- ซิม2flyราคา 378 บาท
- ค่าเดินทางในญี่ปุ่น 1,672.5 บาท
- ค่าอาหาร 2,842 บาท
- ของฝาก 139.5 บาท
รวม 17,107 บาท
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะ
สามารถดูรีวิว ฉบับวีดีโอได้ที่ช่องยูทูป: angsumein
จิ้มลิงค์ได้เลย >>> https://youtu.be/CX9pQCswXzY
โฆษณา