12 ก.ย. 2023 เวลา 12:11 • นิยาย เรื่องสั้น

ผจญภัยมิติพิศวง 11 ภัยร้ายจากดาวหางฮัลเลย์

.
บทที่ 14 การเดินทางวันที่ 10 และ ล่องไพรลำดับที่ 9
.
เทวรูปชาวอินคา บทประพันธ์ของ น้อย อินทนนท์
.
10.ผจญมนุษย์เสือดาว
.
เหนืออื่นใดลูกธนูที่ปลิวว่อนอยู่นั้นมิได้สัมผัสร่างกายแกแม้แต่น้อย แกก้าวอย่างช้าๆ ทุกอิริยาบทเหมือนอยู่ในความเคลื้มฝัน ทันทีที่ถึงกลางลานเหนือหน้าผาแกก็หยุดยกมือชี้ไปที่ไหล่เขาด้านหนึ่งร้องเตือนมาซูบีว่ายังมีเวลาเหลืออีกเพียงเล็กน้อยที่จะพาชีวิตกลับไป นางให้โอกาสอีกครั้งก่อนที่มันจะสาย กลับไปพร้อมกับยามินีสหายมนุษย์เสือดาวรวมทั้งพวกบริวารด้วย
.
เสียงหัวเราะดังลั่นจากเนินเขาที่รกทึบข้างหน้า "แกยังไม่ตายอีกหรืออะวาโม อยู่ต่อไปทำไมให้มันทุกข์ทรมาน อภินิหารช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอก"
 
อีกครั้งหนึ่งที่ลูกธนูปลิวมาราวห่าฝนแต่หามีดอกใดสัมผัสร่างกายของแม่เฒ่าไม่ นางแหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าหัวเราะเสียงอหาย "หมดโอกาสเสียแล้ว มาซูบี จงรับเคราะกรรมจากความชั่วของเจ้า"
.
อะวาโมหลับตาเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าท่องบ่นคาถาอยู่พักหนึ่ง แล้วแสงอาทิตย์ที่ลับไหล่เขาไปแล้วกลับพุ่งขึ้นมา ไม่มีเค้าเมฆว่าจะเกิดพายุหรือฝน แต่ทันทีที่แกลืมตาขึ้นแล้วชี้ไปที่ท้องฟ้ากระทืบเท้าติด ๆ กัน 3 ครั้ง เสียงอสุนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงมา
.
ภายในพริบตานั้นท้องฟ้าอากาศเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน แสงสว่างแดงฉานเมื่อสักครู่สลัวลงทันทีเพราะเมฆหมอกที่ลอยมาบัง
เสียงพายุดังสนั่นป่า ฟ้าร้องครืนมาแต่ไกล สายอสุนีบาตแลบแปลบปลาบอยู่ทั่วทิศ อากาสเย็นจัดลงทุกที ทันใดนั้นฝนก็ตกลงมาเสียงฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ
.
อะวาโมหัวเราะลั่น "มาซูบี ดูให้ดี ก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาสดู ใครบ้างที่ทำได้อย่างข้า บังคับลมให้พัด บังคับฟ้าให้ผ่า บังคับฝนให้ตก เดี๋ยวสายฟ้าจะฟาดลงบนต้นบัลซาที่เจ้ากำบังอยู่"
.
"อย่า อะวาโม" เสียงเจ้าหัวหน้าเผ่ามาซูบีเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ "อย่าทำข้าที่จะขออยู่ในคำสั่งและบังคับบัญชาของแกต่อไป ข้าเชื่อแล้วว่ามนต์ของแกยังไม่เสื่อม ไม่มีใครมีอำนาจมากเหมือนแก"
.
อะวาโมหัวเราะและหัวเราะอยู่นาน มาซูบีให้คำมั่นสัญญาอย่างนี้กี่ครั้งแล้วที่ทำลายมันแล้วใครจะเชื่อได้ มาซูบีจึงขอสาบานเป็นครั้งสุดท้ายซึ่งแม่เฒ่าบอกว่า"สายเสียแล้ว มาซูบี ไม่มีครั้งสุดท้าย สำหรับเจ้าอีกต่อไป"
.
อะวาโมเงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าชูมือทั้ง 2 ขึ้น กระทืบเท้าติด ๆ กัน 3 ครั้ง แสงสีเขียวปัดก็แลบขึ้นที่ไหล่เขาซึ่งเสียงมาซูบีดังมา เสียงเปรี้ยงดังสะเทือนเลือนลั่น มาซูบีร้องจนเสียงหลงขอชีวิต
.
อะวาโมหัวเราะ "ในที่สุด เจ้าก็ไม่ต่างจากพ่อของเจ้า มาซูบี ทีคนอื่นเจ้ารังแกได้รังแกเอาโดยไม่คิดถึงความเจ็บปวดทรมาน แต่พอถึงทีตัวเองกลับกลัวตายเพราะความขี้ขลาดตาขาว อย่าอยู่ให้หนักโลกเลยตายเสียเดี๋ยวนี้เถิด
แต่สายฟ้าฟาดมันทำให้เจ้าตายง่ายเกินไป เจ้าจะต้องตายช้า ๆ โลหิตออกจนหมดตัว ฟังดูซินั่นเสียงอะไร"
.
มีเสียงเป่าเขาดังมาแต่ไกล เสียงหอนของมนุษย์ค้างคาว เสียงร้องขอชีวิตของมาซูบี เสียงแม่เฒ่าที่จะมอบความเมตตาต่อชีวิตของมาซูบี สหาย และ บริวารของพวกมัน ให้อยู่ในความกรุณาของมนุษย์ค้างคาว
.
ท่ามกลางความมืดเหมือนสีหมึกซึ่งหว่านลงมาปกคลุมโดยเร็ว ไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างมนุษย์ค้างคาวกับมนุษย์ยักษ์เผ่ามาซูบี และ มนุษย์เสือดาวเหล่านั้น
.
เสียงเป็นอย่างเดียวที่พอจะประมาณได้ถึงความดุเดือดของการต่อสู้ที่เป็นไปอย่างฉกาจฉกรรจ์ ทำนองเดียวกันแสงสว่างเป็นความเสียเปรียบของมนุษย์ค้างคาว
ความมืดในเวลากลางคืนก็เป็นความเสียเปรียบของมนุษย์ยักษ์เผ่ามาซูบี และ มนุษย์เสือดาวเหล่านั้นอย่างที่ไม่อาจชดเชยด้วยปริมาณหรืออาวุธได้
.
ภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้นพวกมาซูบี และ มนุษย์เสือดาวต่างกระเจิดกระเจิงหนีลงไปซ่อนตัวในหุบลึกข้างล่างรอจนกว่าจะรุ่งสว่าง อันเป็นทางเดียวที่จะหนีรอดจากคมเล็บและเขี้ยวของมนุษย์ค้างคาว
.
ตลอดเวลาร่างอันสูงสง่าของหญิงชรายืนอยู่ในเงามืดนั้น ฝนที่ตกพรำหยุดสนิทท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ดารดาษด้วยดวงดาวระยิบระยับ อย่างเดียวที่คงสภาพเดิมคืออากาศที่เย็นยะเยือกเพราะอยู่ในที่สูง
.
ทันทีที่เสียงการต่อสู้ยุติ อะวาโมก็หันมากวักมือเรียกไมรา "มาเถอะ ลูกรัก เจ้าและเพื่อน ๆ คงจะหิว อาหาร และเมรัยจัดไว้พร้อมแล้ว จงเป็นสุข สนุกใจ"
ตาเกิ้นถึงกับยิ้มพึมพัมเบาๆ "ตรงนี้คุณย่าพูดจาน่าฟัง ได้ยินเข้าแล้วที่เหนื่อยก็หายที่หน่ายก็รัก"
.
"เจ้าแก่มันว่าอะไรของมัน" อะวาโมหันไปถามไมรา ซึ่งเธอหัวเราะตอบว่า "ซามอเกิ้น คิดถึงเมรัยจนน้ำลายไหลน่ะ" เมื่อตาเกิ้นรู้ว่าอะวาโมเรียกแกว่าอย่างไร จึงแอบกระซิบไมราให้ช่วยบอกอะวาโมว่า "ซามอเกิ้น ยังไม่แก่ อายุยังไม่ถึง 100 ขวบด้วยซ้ำ"
.
อะวาโมมองลงไปที่หุบเขาข้างล่างบอกไมราว่า แกหวังว่ามาซูบีจะรอดชีวิตเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ตายของมันและวันตายของมันก็ไม่ใช่วันนี้ ศักดิ์ถามว่ามาซูบีจะไม่รวบรวมคนมารังควานที่นี่อีกหรือ อะวาโมตอบว่าไม่แน่นอนเพราะปาฏิหารย์ที่แกแสดงในวันนี้จะทำให้มาซูบีเข็ดไปจนวันตาย แต่เป้าหมายต่อไปของมันคือที่อื่น
.
อะวาโมมิได้ออกมาพบทุกคนอีกเลยในคืนนั้น ได้ยินเสียงสวดมนต์ในคูหาของนาง ราวเที่ยงคืนมนุษย์ค้างคาวก็ทยอยบินกลับเข้ามาในถ้ำทีละฝูง 2ฝูง แสดงว่าการติดตามมนุษย์ยักษ์มาซูบี และ มนุษย์เสือดาวเหล่านั้นสิ้นสุดลง
.
ศักดิ์ถามไมราถึงคำพูดของแม่เฒ่าอะวาโมหมายถึงอะไรเมื่อพูดถึงอนาคตของมาซูบีและอวสานของมัน ซึ่งไมราคิดว่าอะวาโม และ มาซูบี จะต้องพบกันอีกแต่เป็นที่อื่นไม่ใช่ที่นี่และวันนั้นจะเป็นวันตายของมาซูบี
.
ไมรา ศักดิ์ และ ตาเกิ้น พากันมหัศจรรย์ใจในสิ่งที่อะวาโมแสดงให้เห็นในวันนี้เหมือนเช่นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของโยคีที่ฟันแทงไม่เข้า งูเห่า งูจงอาง กัดไม่ตาย บางคนจำศีลภาวนาเป็นเดือน ๆ โดยอาหารไม่ตกถึงท้อง นักวิทยาศาสตร์หลายคนทดลองให้กินเข็ม เศษแก้ว และยาพิษก็ไม่มีอันตราย
.
"อย่าไปอธิบายมันเลย คุณนาย" ตาเกิ้นว่าพร้อมทั้งป้องปากหาว "ปล่อยให้มันเป็นความลึกลับอยู่อย่างนั้นแหละ มีรสชาติกว่ากันแล้วก็ฝันสนุกดี ตาเกิ้นชอบ"
.
11.สู่ปาฮัว
.
ในที่สุดเช้าอันสว่างไสวก็มาถึงอีกครั้งทันทีที่ทุกคนตื่น อาหาร และ เครื่องดื่มตั้งอยู่บนโต๊ะอย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่มีใครรู้ว่าอาหารถูกยกเข้ามาโดยใครและเมื่อไหร่
.
ตลอดวันนั้นทั้งวันไม่มีใครพบแม่เฒ่าอะวาโม คูหาส่วนตัวของแกว่างเปล่า สิ่งที่ครุ่นคิดในใจของทุกคนคือการเดินทางไปปาฺฮัวจะเริ่มได้เมื่อใด เมื่อไม่พบแม่เฒ่าทุกคนจึงทำได้เพียงจัดการทำความสะอาดปืนและคอย
.
ถึงกระนั้นไมราก็บอกกับศักดิ์ว่า เธอสังเกตเห็นอาการเจ็บปวดบาดแผลของแม่เฒ่า จนกระทั่งพลบค่ำได้ยินเสียงเป่าเขาและเสียงมนุษย์ค้างคาวทยอยบินกันเข้ามาในถ้ำอะวาโมจึงปรากฎกายขึ้นในคูหาที่แกจัดไว้ให้ทุกคนพัก
.
ศักดิ์ตะลึงอยู่กับที่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองที่ภายใน 24 ชั่วโมงอะวาโมเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ กิริยาอาการหมดความกระปรี้กระเปร่าฺอีกต่อไป นางเดินแต่ละก้าวด้วยความยากลำบาก ตัวงอ ไหล่งุ้ม คิ้วทั้ง 2 ขมวด นัยน์ตาที่เคยแจ่มใสหม่นหมอง มือข้างหนึ่งกุมท้องไม่ยอมวาง
.
ไมรารีบวิ่งไปหาประคองให้นั่ง อะวาโมยิ้มอย่างเศร้า ๆ นางบอกให้ทุกคนเตรียมตัวได้เวลาออกเดินทางแล้ว ตลอดวันนี้ทั้งวันนางไปภาวนาบนยอดเขาคนเดียว นางอ่านหัวใจทุกคนออกที่ต้องการเดินทางเร็วที่สุดเพราะฤดูฝนได้เริ่มขึ้นแล้ว
การเดินทางจะยิ่งยากลำบาก มนุษย์ยักษ์มาซูบี และ มนุษย์เสือดาวพร้อมทั้งเหล่าบริวารของมันกำลังมุ่งไปที่นั่น ปาฮัว
.
มาซูบีเข้าสู่ปาฮัวไม่ได้หากปราศจากเจ้าหน้าดำตาแดง แต่มาซูบีไม่ใช้คนโง่มันรู้ว่าคณะเดินทางกำลังมุ่งไปที่ปาฮัว มันจึงไปคอยดักจับเจ้าหน้าดำตาแดงที่ปากทาง แต่สิ่งที่มาซูบีไม่รู้ก็คือชาวคณะจะเดินทางทางไหน การเดินไปตามพื้นดินไม่มีทางรอดจากมือมาซูบีได้ หนทางที่ปลอดภัยคือไปถึงปาฮัวก่อนทางฟ้า โดยมนุษย์ค้างคาวของนาง
.
ไมราเป็นห่วงอาการของอะวาโม แกจึงบอกว่าตลอด 200 กว่าปีที่ผ่านมา คนเดียวที่ดูแลแกคือตัวแกเอง ศักดิ์ขอให้ใช้ยาสมัยใหม่ระงับอาการเจ็บปวด แม่เฒ่าจึงบอกว่ายาทั้งหลายที่ใช้ในปัจจุบัน ชาวมายาบรรพบุรุษของนางเคยใช้มาก่อนหลายศตวรรษมาแล้ว
.
แต่ใช้ได้กับผู้บาดเจ็บที่อายุยังน้อยไม่ใช่ 200 กว่าปีเช่นนาง เมื่อศักดิ์ถามว่าจะได้พบนางอีกหรือไม่ ที่ไหน เมื่อไหร่ คำตอบของนางก็คือ "ที่ที่พวกท่านอยู่ในเวลานั้นแหละ นายพรานใหญ่ มันอาจจะช้า แต่มันก็อาจจะเร็ว แล้วแต่พวกเปรตอสุรกายในหัวใจของเจ้าพวกนั้นจะปรากฎออกมา"
.
แล้วนางก็หันไปถลึงตากับโรเบอร์โตที่ตัวสั่นนั่งคุกเข่าเอามือปิดหน้าพร่ำพูดว่าจะไม่ผิดสัญญาอีกต่อไป อะวาโมจึงกล่าวว่า "เจ้าพูดคำเดียวกันกับที่มาซูบีพูด และ อย่างมาซูบี เจ้าทำลายมันได้อย่างง่ายดาย"
.
เสียงเป่าเขากังวานมาจากข้างนอกช้า ๆ 2-3 ครั้ง อะวาโมบอกให้ทุกคนตามนางออกไปอย่างแช่มช้า ผ่านคูหาใหญ่รูปท้องพระโรงอันมีเทวรูปยุคสมัยมายา มนุษย์ค้างคาวเรือนร้อยชุมนุมอยู่ในคูหานั้น
.
อะวาโมพาทุกคนเดินผ่านตรงไปที่ปากคูหาซึ่งมนุษย์ค้างคาวอีกกลุ่มคอยอยู่ การเดินของแม่เฒ่าเชื่องช้าลงเป็นลำดับ โลหิตที่ท้องเริ่มไหลซึม ไมราวิ่งเข้าไปประ
คองและขออยู่ช่วยดูแลจนกว่าอาการแม่เฒ่าจะดีขึ้น
.
"เจ้าจะต้องไป ลูกรัก" อีกครั้งที่เสียงของแกดุดันแล้วบอกต่อว่า "อย่าตื่นเต้น อย่าตกใจ การเดินทางระยะนี้อาจจะไกล ผ่านเทือกเขาที่ไม่เคยมีมนุษย์เคยขึ้น ผ่านป่าซึ่งแม้แต่มนุษย์พื้นเมืองก็ไม่เคยผ่าน แต่เจ้าทุกคนจะปลอดภัย"
.
ที่ลานกว้างนอกปากถ้ำเหนือเหวลึก มนุษย์ค้างคาวกว่า 20 ยืนคอยอยู่ท่ามกลางแสงดาวส่องสลัว สายลมที่พัดแรงจนหนาวสะท้าน อะวาโมพยายามยืดตัวตรงชี้มือไปที่บริวารของนางเปล่งเสียงที่สั่นเครือแต่เด็ดขาด "เราจะจากกันที่ตรงนี้ ไปดีเถิดลูกรัก ก่อนที่มันจะสายเกินไป"
.
ศักดิ์พึมพัมว่าจะไม่ลืมบุญคุณที่ท่านมีต่อพวกเขาเลยในขณะที่อะวาโมตอบว่า "พวกลูก ๆ ของเราก็จะไม่ลืมบุญคุณที่พวกท่านมีต่อหัวหน้าของมันเหมือนกัน นายพรานใหญ่"
.
ท่ามกลางความสลัวของแสงดาวและแสงไฟที่ส่องออกมาจากภายในถ้ำ มนุษย์ค้างคาวตัวแรกที่เข้ามาหาไมราและหันหลังให้หล่อนเกาะคือตัวที่ไมราช่วยไว้ สังเกตจากปลาสเตอร์สีขาวที่ซอกคอ
.
จากนั้นมนุษย์ค้างคาวเหล่านั้นก็พาพวกเขาร่อนจากหน้าผาสูงลงไปสู่หลุมลึกข้างล่าง ท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือก เสียงเป่าเขาที่ดังสนั่นไกลออกไป.....ไกลออกไป จนกระทั่งไม่สามารถเห็นร่างในชุดอันขาวโพลนของแม่เฒ่าอะวาโมอีกต่อไป
.
ภายใต้ท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว มนุษย์ค้างคาวเหล่านั้นพาทุกคนบินข้าม
ทิวเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ป่าที่เขียวเพราะเกือบไม่ขาดฝน แม่น้ำที่คด
เคี้ยวเป็นประกายวาววับอยู่ข้างล่าง
.
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า พวกมนุษย์ค้างคาวต่างพาทุกคนร่อนถลาไปเช่นนั้นอย่างปราศจากความเหน็ดเหนื่อย ประเดี๋ยวสูง ประเดี๋ยวต่ำตามแต่ลักษณะภูมิประเทศ
จนราวเที่ยงคืนเศษจึงผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งก่อไฟสว่าง ได้ยินเสียงกลองดัง
แว่วมาแต่ไกล
.
แต่มนุษย์ค้างคาวเหล่านั้นก็พาร่อนต่อไปอีกประมาณชั่วโมงเศษ ๆ จึงถลาลงที่
ไหล่เขาแห่งพนึ่งซึ่งเป็นสาขาแยกจากทิวเขาใหญ่
ทันใดที่ลงถึงพื้นจึงปรากฎว่าเป็นชานผาอยู่ในที่กำบังลม แลลงไปข้างล่างเป็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ พื้นน้ำเป็นประกายอยู่ท่ามกลางแสงดาว
.
ไมราเดินมาหาศักดิ์ที่กำลังบิดตัวแก้เมื่อยอยู่กับตาเกิ้น และ ร้อยเอกเรือง เธอบอกศักดิ์ว่า "แสงไฟที่เห็น เสียงกลองที่ได้ยินตอนที่บินผ่านมา โรเบอร์โตบอกว่าเป็นพวกของมาซูบีมันมากันเร็วทีเดียว ถ้าเรามาทางปกติจะไม่มีทางถึงที่นี่ก่อนเป็นดัง
ที่อะวาโมคิดไว้จริง ๆ"
.
ศักดิ์ถามไมราถึงระยะทางข้างหน้ายังอีกไกลเพียงใด ไมราตอบว่าโรเบอร์โตบอก
ว่าปากทางหลังเมืองของปาฮัวอยู่อีกฟากของทะเลสาบ ระยะการเดินทางคงอีกราว 2-3 ชั่วโมง ต่อจากนั้นก็ต้องแยกจากกันกับพวกมนุษย์ค้างคาว
.
ร้อยเอกเรืองถามถึงมาซูบีและพวก ไมราคาดว่าเมื่อถึงขอบทะเลสาบฝั่งนี้ เมื่อไม่มี
โรเบอร์โตนำทางพวกมาซูบีก็คงกลับไป ทางที่จะเข้าสู่ปาฮัวยังมีทางหน้าเมืองซึ่งเป็นหน้าผาชันการป้องกันแข็งแรง มาซูบีเคยพยายามแล้วพาบริวารไปบาดเจ็บล้มตายหลายร้อยเลยเลิก
.
ทุกคนหยุดพักที่นั่นกิน-ดื่มจนได้รับความอบอุ่นเพียงพอจึงเริ่มเดินทางอีกครั้ง คราวนี้พาหนะของพวกเขาพาตัดพื้นทะเลสาบอันเวิ้งว้างแลไม่เห็นอะไรนอกจากพื้นน้ำที่เป็นประกายสุดตา
.
ราว 2 ชั่วโมงต่อมาจึงเห็นชายฝั่งเป็นแนวตะคุ่มอยู่ข้างหน้า ถัดไปเป็นทิวเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ ท่ามกลางยอดอันสลับซับซ้อนของมันนี่เองมีประกายสุกเรืองเหมือนแสงออโรร่าซึ่งปรากฎขึ้นที่ขั้วโลกเหนือ ตอนแรกศักดิ์คิดว่าเป็นรัศมีของดาวกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด
.
แต่ยิ่งเข้าใกล้ก็แน่ใจว่าไม่ใช่ จนถึงชายฝั่งมนุษย์ค้างคาวจึงถลาร่อนลงบนหาดทรายขาวสะอาด จึงเห็นชัดว่าแสงระยิบระยับเป็นรูปวงกลม ปรากฎมาจากยอดเขาลูกหนึ่ง ที่อยู่ไกลออกไประหว่างยอดเขาอีกหลายลูก
.
ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นทราย นาฬิกาหน้าปัดพรายน้ำบอกเวลา 4.00 น.พอดี อากาศที่เย็นเฉียบเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้น เสียงคลื่นที่กระทบฝั่งดังซ่าเหมือนทะเลถอนใจ ศักดิ์ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นทรายที่อ่อนนุ่ม ตาเกิ้นคลานมาหาบ่นว่าแกเห็นจะพลัดตกลงมาตายเพราะกลิ่นแอมโมเนียของมนุษย์ค้างคาวพวกนี้
.
หลังจากที่มนุษย์ค้างคาวพักพอหายเหนื่อยก็บินกลับไป ตอนนั้นเวลากลางคืนเหลือ 2 ชั่วโมงจะรุ่งสว่างจึงไม่มีใครหลับต่อไปได้ ไมราบอกว่าแสงไฟจากยอดเขาที่เห็นนั้นคือ ปาฮัว ทุกคนจึงพากันตื่นเต้นที่ใกล้จุดหมายปลายทางเข้าไปทุกที
ดร.สมิธคะเนว่าระยะทางเพียงแค่นี้เดินทางครี่งวันน่าจะถึง แต่เขายังสงสัยว่าทำไมอะวาโมไม่ให้มนุษย์ค้างคาวไปส่งที่ปาฮัวเลย
.
ไมราบอกผู้เป็นสามีว่า เป็นคำสั่งของอะวาโมที่ไม่ยอมให้คนป่าพวกใดย่างเข้าไปเพียงแม้แต่จะเห็นตัวเมืองปาฮัว อาจเพราะปาฮัวเย้ายวนเกินไปสำหรับคนป่า หรือ เพราะคำทำนายคู่บ้านคู่เมืองที่ว่าคนป่าเข้าเมืองได้เมื่อใดปาฮัวจะล่มสลาย
.
แม้อะวาโมจะออกมาอยู่ป่าแต่หัวใจยังอยู่ปาฮัวและอาตาเป ด้วยเหตุนี้นางจึงลั่นวา
จาว่า มาซูบี และ มนุษย์เสือดาว กับบริวารบุกปาฮัวเมื่อใดจะได้พบกับนางและเป็นอวสานของพวกมันเมื่อนั้น
.
เวลาล่วงไปอย่างเชื่องช้าในที่สุดก่อนย่ำรุ่งนิดหน่อยท้องทะเลสาบเป็นประกายระยิบระยับด้วยแสงเงินแสงทองที่เรืองรองขึ้นจากขอบฟ้าด้านตะวันออก อากาศแจ่มใสจนมองเห็นยอดเขาซึ่งนครปาฮัวตั้งอยู่ เป็นประกายวาววับเหมือนโลหะที่มันปลาบกระทบกับแสงอาทิตย์ที่โผล่ขึ้นมาจากทิวเขาตรงกันข้าม
.
โรเบอร์โตยืนพิจารณาเขาลูกนั้นอยู่นานแล้วถอนใจ ไมราจึงถามว่าเป็นความจริงหรือที่ยอดวิหารของสุริยะเทพสร้างด้วยทองคำ โรเบอร์โตตอบว่า ไม่ใช่แค่ยอด แต่เป็นทองคำทั้งตัววิหาร จึงทำให้ไมราสงสัยว่าไปเอาทองคำมากมายขนาดนี้มาจากไหน
.
สำหรับโรเบอร์โตเมื่อแม่เฒ่าห้ามแตะต้องทองคำ ปาฮัวจึงไม่มีประโยชน์ต่อเขาอีก ดร.สมิธจึงปลอบใจว่าเงินรางวัล 5 พันดอลลาร์ของสมาคมนักสำรวจจะเป็นของเขาเมื่อกลับไปถึงควิโต หรือ ลิมา โรเบอร์โตว่าจึงตอบว่าคนอย่างเขาควรได้ 5 ล้านไม่ใช่ 5 พัน ทองของปาฮัวควรเป็นของเขา
.
ไมราจึงเตือนสติเขาว่าคนที่ให้สัญญากับอะวาโมคือตัวเขาเอง โรเบอร์โตมีอาการตื่นตระหนกราวกับกลัวแม่เฒ่าได้ยิน ฝืนยิ้มแล้วหันไปหาตาเกิ้น ชวนไปหาหมูและกวางในป่าเพื่อเป็นมื้อเช้าแล้วออกเดินทางต่อ
.
ป่าที่เดินทางต่อมีต้นไม้สูงลิ่วและร่มรื่น แคทลียากอใหญ่ชูช่อเบ่งบาน บ้างม่วง บ้างขาว และ เหลือง ส่งกลิ่นหอมตลบไปในอากาศที่อบอุ่น แต่อาจเป็นเพราะโรเบอร์โตจากที่นี่ไปนาน ทางและป่าอาจเปลี่ยนไปจึงทำให้เขาพาทุกคนวกไปเวียนมาในที่สุดก็กลับออกที่เก่าอีก
.
หลังจากที่พยายามอยู่ 2-3 ครั้งได้ผลออกมาอย่างเดียวกัน ไมราจึงถามโรเบอร์โตว่าจำทางได้แน่หรือซึ่งเจ้าลูกครึ่งก็ยืนยัน แล้วยังชี้ให้ดูรอยบากที่ต้นไม้ที่เขาทำไว้และสลักชื่ออีกต่างหาก
.
สามี-ภรรยาสมิธถึงกับถอนใจทรุดกายลงนั่งบนขอนไม้ ตัดสินใจยุติการหาปากทางของปาฮัวเท่านี้ก่อน เพราะเชื่อว่าการพักแรมสักคืนอาจทำให้ความจำของโรเบอร์โตดีขึ้น
.
ขณะที่ทุกคนนั่งพักและก่อไฟ โรเบอร์โตลงไปล้างหน้าที่ลำธาร ตาเกิ้นก็หันมากระซิบกับศักดิ์โดยตั้งข้อสังเกตว่าทำไมโรเบอร์โตจึงจำทางไม่ได้เลยทั้งที่ป่าบางแห่งรกกว่านี้ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันด้วยซ้ำเขายังหลับตาเดินได้
.
แต่กับที่นี่ซึ่งเป็นป่าโปร่ง มองเห็นสุดลูกหูลูกตากลับจำทางไม่ได้ ถ้าความจำไม่ดีก็ไม่ควรที่จะจำต้นไม้ที่เขาสลักชื่อไว้ได้ เพราะเมื่อมองจากหาดทรายเข้ามาป่านี้มันเหมือนกันทั้งหมด
.
ศักดิ์ และ ร้อยเอกเรือง จึงถามตาเกิ้นว่า โรเบอร์โตแกล้งพาทุกคนหลงป่าเพื่ออะไรกัน ซึ่งแกก็พึมพัมว่า พรุ่งนี้ก็รู้ว่ามันเป็นอะไรไป หรือต้องการอะไรกันแน่
.
สำหรับศักดิ์แล้วการนอนหลับในคืนนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ แรงศรัทธาซึ่งเขา
มีต่อเจ้าลูกครึ่งเรื่องที่จำทางไม่ได้เป็นเรื่องขบขัน แต่พอตาเกิ้นท้วงขึ้นมาศักดิ์ก็เห็นจริง เมื่อไม่สามารถไขข้อข้องใจให้ตนเองได้ว่า โรเบอร์โตทำเช่นนั้นเพื่ออะไรกัน ศักดิ์จึงม่อยหลับหลังเที่ยงคืนไปแล้ว
.
โปรดติดตามตอนต่อไป โรเบอร์โตหาย ภาพปก ซุปเปอร์ฟ้าผ่า จากนสพ.ผู้จัดการ
โฆษณา