19 ก.ย. 2023 เวลา 09:15 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ไต้หวัน

รีวิววาย : Stay by My Side (Taiwan-2023)

เมื่อคนกลัวผีแต่ต้องมาเจอเหล่าวิญญาณพยายามสื่อสารกับตัวเอง ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ ก็คือต้องแตะตัวเพื่อนร่วมห้องผู้มีพลังหยางแก่กล้าเพื่อปิดกั้นเสียงของเหล่าวิญญาณเหล่านั้น .... ทีนี้แหละคนกลัวผีต้องคิดวิธีหาเรื่องใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมห้องให้ได้ทุกวัน
แต่ทว่าคนกลัวผีเค้าไม่รู้ตัวครับว่า สิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันน่ารักหนุบหนับละลายใจคนอื่นซะเหลือเกิน จนเพื่อนร่วมห้องเค้าคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว สุดท้ายเพื่อนร่วมห้องจะอดใจได้เปล่าหรือไม่ก็ทำให้คนกลัวผีตกเป็นของเค้าซะเลย!!!
• Stay by My Side เป็นซีรีส์ชุดเรื่องแรกของค่าย Vidol Boys Love ที่ทำซีรีส์ชุดนี้ออกมา 4 เรื่องด้วยกันครับ ได้แก่ Stay by My Side/ You Are Mine (กำลังออนแอร์อยู่) / VIP Only และ Anti Reset ที่จะปล่อยให้พวกเราชมกันยาวจนถึงต้นปีหน้ากันเลยทีเดียวครับ แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันน่ะครับว่าทั้ง 4 เรื่องนี้จะมีความเกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง
• ซึ่งสำหรับ Stay by My Side นี้เป็นซีรีส์ใสๆวัยมหาวิทยาลัย ที่เด่นมากในเรื่องความโรแมนติก เป็นอีกเรื่องนึงในปีนี้ที่ดูแล้วฟินจิกหมอนกันได้ตลอดทั้งเรื่องเลย โดยตลอด 10 ep. ที่นั่งดูนั้น มีแต่ต้องร้องออกมาว่า "อะไรจะน่ารักขนาดนั้น!!"
• นอกจากนี้มันมีความน่าสนใจตรงเนื้อเรื่องที่มีการเอาเรื่องเหนือธรรมชาติ (มีเรื่องผี-วิญญาณด้วยน่ะ) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ โดยมันจะกลายเป็นประเด็นหลักของพัฒนาการความสัมพันธ์ของตัวพระเอก-นายเอก ซึ่งถือว่าเป็นพล็อตที่แปลกใหม่ดีครับ แถมทำได้น่ารักเอามากๆ บอกเลยว่าหลังดูจบ ผมได้เก็บเรื่องนี้เป็นคอลเลกชั่นในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยครับ
• "กู้ปู้เซี่ย" เป็นนักศึกษาที่อาศัยอยู่คนเดียวในหอพักมหาวิทยาลัย เพราะก่อนหน้านี้นักศึกษาคนอื่นๆ หลีกเลี่ยงที่จะมาเป็นเพื่อนร่วมห้องกับเขา เนื่องจากมีข่าวลือเรื่องผีหลอก แถมตัวของ "ปู้เซี่ย" เป็นคนที่เชื่อในเรื่องวิญญาณต่างๆด้วย เพราะเขาเป็นทายาทของผู้ดูแลศาลเจ้า ดังนั้นในห้องของเขาจึงมีพวกเครื่องรางของขลังมากมาย จนไม่มีใครกล้ามาอยู่ร่วมกับเค้า แต่ในทางกลับกัน เขามีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบนี้มากๆเพราะห้องพักทั้งห้องที่ปกติควรเป็นห้องพักสำหรับ 4 คน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นของเค้าคนเดียว
• จนวันนึงมีนักศึกษาย้ายมาใหม่ นั่นก็คือ "เจียงฉี" เขามาจากบ้านที่ร่ำรวยแต่ไม่ได้ให้อิสระเขาในการเลือกชีวิตของตนเอง เพราะทั้งพ่อแม่และพี่น้องของเขาล้วนเป็นหมอกันทุกคน แต่เขาไม่อยากเรียนหมอจึงย้ายมาเรียนกฏหมายแทน โดยไม่ยอมพึ่งพาเงินทองต่างๆจากครอบครัวเลย "เจียงฉี" จึงต้องหารายได้เองและเพื่อประหยัดรายจ่าย เขาจึงตัดสินใจมาอยู่หอพักของมหาวิทยาลัย ซึ่งเหลือที่ว่างอยู่ที่เดียวนั่นก็คือเค้าต้องมาเป็นเพื่อนร่วมห้องกับ "ปู้เซี่ย" นั่นเอง
• ในระยะแรกนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยดีกันสักเท่าไหร่ "เจียงฉี" เป็นเจ้าชายน้ำแข็งผู้ที่ไม่ชอบความไม่เป็นระเบียบสักเท่าไหร่ แต่ต้องมาเจอกับคำว่าความไม่เป็นระเบียบในเลเวลแบบเด็กน้อยงอแงเข้าอย่างจัง นั้นก็คือตัวตนของ "ปู้เซี่ย" นั่นเอง ทำให้ทั้งคู่จึงมีเรื่องกระทบกระทั่งกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ จนเป็นที่รับรู้กันทั่วไปในมหาวิทยาลัย ร้อนไปถึงคุณผู้จัดการหอพักต้องเรียกทั้งคู่มาเคลียร์ปัญหากัน
• ซึ่งการเคลียร์กันของทั้งคู่นั้น ทำไปทำมาก็สรุปไปที่การแข่งงัดข้อกันครับ โดยมีเงื่อนไขว่า ถ้าใครแพ้คนนั้นต้องเป็นฝ่ายยอมในทุกๆเรื่องตลอด 1 เดือน ห้ามทะเลาะกัน!!!(เด็กน้อยกันมากเลย 555) ดังนั้นเมื่อกติกาเป็นแบบนี้มีหรือที่ใครจะยอมใคร การแข่งงัดข้อจึงจริงจังมากครับ โดยเฉพาะ "ปู้เซี่ย" ที่เค้าจะยอมให้เพื่อนร่วมห้องที่มาทีหลัง จะมาทำให้วิถีชีวิตอันแสนสุขของเค้าเปลี่ยนไปไม่ได้
• ปู้เซี่ย จึงงัดท่าไม้ตายเอามาใช้ครับ นั่นก็คือใช้ความแบ๊วหน้าใส่เจียงฉี แล้วขโมยจุ๊บไป 1 ที ก็เลยทำให้เจียงฉีแพ้การแข่งขันครั้งนี้ไปแบบราบคาบ ท่ามกลางความยินดีของตัวเองเองที่เอาชนะได้ ... แต่หารู้ไม่นี่คือจุดเริ่มต้นการทำลายเกราะน้ำแข็งของเพื่อนร่วมห้อง ที่เริ่มมีสิ่งสะกิดใจเขาว่า "ปู้เซี่ยคิดกับเขาอย่างไรกันแน่"
• หลังจากวันนั้น เพื่อนร่วมห้องทั้งสองแม้ว่าจะมีการสร้างความรำคาญใจต่อกันอยู่บ้าง แต่การตอบโต้กลับของเจียงฉีก็ลดลง เพราะเป็นเหมือนกับต้องยอมรับเงื่อนไขที่พ่ายแพ้ในครั้งก่อน นั้นก็เลยทำให้ปู้เซี่ยค่อนข้างได้ใจครับ มีการแกล้งเจียงฉีด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ ตามประสาของผู้ไร้ระเบียบเลเวลเด็กน้อยงอแง แต่ทว่าการแกล้งเค้านั้น มันยิ่งทำให้ระยะห่างของทั้งคู่แคบลง จนบางครั้งมันใกล้ชิดกันแนบแน่นแบบคิดดีไม่ค่อยได้เลยทีเดียว
• แน่นอนว่าปู้เซี่ยไม่ได้คิดอะไรเกินกว่าจะแกล้งเขา อีกทั้งบังเอิญว่าทางฝั่งทีมบาสเก็ตบอลของมหาวิทยาลัยต้องการอยากได้ตัวเจียงฉีที่เป็นอดีตนักกีฬาบาสที่เก่งกาจเข้าร่วมทีมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็พยายามชวนเจียงฉีมาหลายครั้ง แต่เขาก็ปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยตลอด คราวนี้ทางทีมจึงใช้แผนให้ปู้เซี่ย เพื่อนร่วมห้องที่ดูเหมือนเริ่มสนิทกัน (แล้วมั๊ง) ชวนเจียงฉีเข้าทีมให้ได้ โดยขู่ว่าถ้าปู้เซี่ยเอาตัวเจียงฉีเข้ามาร่วมทีมไม่ได้ ก็จะตัดชื่อเขาออกจากการเป็นกัปตันทีมบาสเก็ตบอลของมหาวิทยาลัย
• ทางฝั่งปู้เซี่ย จึงต้องรุกคืบเข้าหาเพื่อนร่วมห้องหนักขึ้นกว่าเดิมอีก เพื่อให้เขาไว้วางใจแล้วชวนเข้าร่วมทีมให้ได้ แต่ยิ่งเจ้าตัวเข้าหาเจียงฉีมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เจียงฉีมีอาการใจเต้นตุ้มต่อม เพราะปู้เซี่ยเองไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันมีพลังดาเมจทำลายล้างกำแพงน้ำแข็งของเจียงฉีแบบรุนแรงมากจนแทบจะพังลงมาไม่วันใดก็วันหนึ่งละครับ
• และแล้วเหตุการณ์ที่ทำให้กำแพงน้ำแข็งของเจียงฉีพังทลายลงมาก็เกิดขึ้น เรื่องมันมีอยู่ว่า ...
• วันนึงพี่สาวของปู้เซี่ย ได้รับตำแหน่งการสืบทอดเป็นคนดูแลศาลเจ้าต่อจากปู่ของเค้าอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเธอจึงต้องทำพิธี "เปิดการมองเห็น" ที่ปกติแล้วทายาทของผู้ดูแลศาลเจ้านั้นจะมีความสามารถพิเศษในการติดต่อหรือมองเห็นวิญญานได้ตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ถ้าในตอนเป็นเด็กนั้น อาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับรู้ในสิ่งนี้ บรรดาบรรพบุรุษที่ดูแลศาลเจ้าก็จะทำการสะกดการมองเห็นด้วยกระดาษยันต์ประจำตัวเอาไว้ให้ก่อน และเมื่อพร้อมหรือได้รับเป็นผู้สืบทอดแล้วจึงค่อยทำพิธีเปิดการมองเห็น
• ซึ่งในขณะทำพิธีก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้น เมื่อยันต์สะกดการมองเห็นของปู้เซี่ย ถูกสะเก็ดไฟตกใส่ กระดาษยันต์ประจำตัวของเขาเลยมีรอยไหม้ไปเล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้การสะกดการมองเห็นของปู้เซี่ยลดลงไปบางส่วน จึงทำให้ปู้เซี่ยได้ยินเสียงของวิญญาณที่พยายามมาร้องเรียนเรื่องต่างๆเพราะรู้ว่าปู้เซี่ยได้ยินพวกเขา ซึ่งยังโชคดีที่ว่าได้ยินแค่เสียงไม่เห็นภาพ แต่ก็นั่นแหละมันคือความหลอนของปู้เซี่ยแบบสุดขีด เพราะเขาเป็น "คนกลัวผีมาก" นั่นเอง!!!
• 2 วันผ่านไป ปู้เซี่ยยิ่งมีอาการหนักขึ้น เค้านอนไม่หลับทั้งคืนเพราะเสียงวิญญาณที่เขาได้ยินมารบกวน มีอาการหนาวสั่นตลอดเวลาเมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่แล้วเขาก็ค้นพบทางแก้ไขโดยบังเอิญว่าเสียงเหล่านั้นจะหายไปทันทีถ้าได้สัมผัสตัวของเจียงฉี ... นี่คือทางรอดเดียวของคนกลัวผีอย่างปู้เซี่ย เขาต้องหาทางอยู่ใกล้ชิดกับเจียงฉีตลอดเวลาเพื่อให้หายจากอาการเหล่านี้ ก่อนที่พี่สาวของเค้าจะหาทางแก้ไขให้ได้
• แน่นอนครับว่าการหาทางใกล้ชิดกับเจียงฉี มันยิ่งทำให้เพื่อนร่วมห้องทั้ง 2 คน ยิ่งแนบชิดแน่นแฟ้นหนักขึ้นไปกว่าเดิม อีกทั้งวิธีการของปู้เซี่ยนั้น ดูอย่างไรก็เหมือนกับการให้ความหวังเจียงฉีมากๆ ทั้งโอบกอด จับมือเจียงฉีทุกคืนตอนนอน หรือแม้แต่เวลาที่เจียงฉีออกไปทำงานพิเศษกลางคืน หรือช่วงที่เขากลับบ้านไม่อยู่หอ 2-3 วัน ปู้เซี่ยก็จะเฝ้ารอคอยการกลับมาของเจียงฉี ประหนึ่งภรรยารอสามีกลับบ้านเลยทีเดียว ทั้งคู่เลยกลายเป็นคู่จิ้นที่กระแสแรงมากที่สุดในมหาวิทยาลัยที่ใครๆก็พูดถึงกัน
• ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนี้ มันก็เลยทำให้เจียงฉีมั่นใจว่าเขาคือ "คนพิเศษ" สำหรับปู้เซี่ยจริงๆ จนในที่สุดเขาก็สารภาพความรู้สึกที่มีต่อปู้เซี่ยออกมา ซึ่งปู้เซี่ยที่ไม่ได้คิดอะไร (หรือเปล่าน่ะ??) ก็พยายามแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะลึกๆแล้ว เค้าก็กลัวที่จะสูญเสียเจียงฉีไปเหมือนกัน แต่อาจจะไม่ใช่เหตุผลเดียวกันกับเจียงฉีคิดทั้งหมดก็ตาม แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีเหตุการณ์ความเข้าใจผิดเกิดขึ้น จนความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนไป
• สุดท้ายของเรื่องจะเป็นปู้เซี่ยที่กลับมาตามง้อเจียงฉี หรือ จะเป็นเจียงฉีที่ฮึดสู้เพื่อพิชิตใจปู้เซี่ยจริงๆให้ได้ ไม่สปอยด์แล้วครับ แต่อยากบอกเลยว่าครึ่งหลังของเรื่องตั้งแต่ Ep.6 - 10 นี้ รับรองความกรีดร้องของสาวกสายวายอย่างแน่นอน จึงอยากให้ไปชมและอิ่มเอมในอรรถรสกันด้วยตัวเองนะครับ
• จุดเด่นอย่างแรกแบบที่ไม่ต้องคิดอะไรมากก็คือนักแสดงครับ เรียกว่างานดีถูกใจสายวายมากๆ โดยเฉพาะนายเอกของเรา นี้คือภาพลักษณ์ของนายเอกในอุดมคติมาก แม้ในตัวบทจะมีนิสัยที่น่าจะสลับกันสักหน่อยในช่วงแรกๆเพราะพระเอกเราขี้งอนมากๆ แต่ในการแสดงออกที่น่ารักหนุบหนับ ประกอบกับหน้าตาการแสดงออกทางสีหน้าแล้ว ให้เต็มเลยสำหรับการแคสติ้งเรื่องนี้มันช่างดูเหมาะสมกับบทมากจริงๆ
• แต่ส่วนเรื่องแอคติ้งการแสดงนั้น ผมให้พระเอกของเราในคะแนนที่เยอะมากนายเอกสักนิดนึงครับ ผมชอบการแสดงออกของเขาในช่วงครึ่งท้ายของเรื่อง ที่ดูเข้าใจในบทบาทของตัวละครได้อย่างดี ส่วนนายเอกของเราก็จะมีที่ขัดนิดนึงในเรื่องการโอเวอร์แอคติ้งในบางฉาก แต่ถ้าเอาความเป็นแฟนตาซีของเรื่องนี้มาเป็นตัวพิจารณาด้วยและบวกกับความแบ๊วน่ารัก (อันนี้ส่วนตัวมากๆๆ) ก็พอเข้าใจได้อยู่ครับ
• ส่วนเรื่องเคมีนี้ไม่ต้องพูดถึงครับ เขาทั้งคู่มีเคมีที่เข้ากันมากๆ ทำให้ฉากโรแมนติกหรือโรแมนติกคอมเมดี้ของซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งจุดอย่างไม่ต้องสงสัย ตัวละครทั้งสองมีความสมดุลกันเป็นอย่างดี เรารู้สึกได้ว่าทั้งคู่เล่นเข้ากันได้เป็นอย่างดีในทุกๆฉากที่เขาเล่นด้วยกัน จนต้องกรีดร้องหรือไม่ก็ต้องจิกหมอนในเกือบทุกๆครั้ง
• อีกจุดนึงที่เป็นจุดเด่นที่ผมชอบคือ Tone ของเรื่องที่มีความเป็นการ์ตูนเล็กๆ เน้นที่โทนภาพสดใส แฝงไปด้วยความคอมเมดี้เล็กๆตามแบบฉบับของการ์ตูน แม้คุณภาพของโปรดักชั่นก็ไม่ได้มาตราฐานสูงมากแบบ We Best Love หรือ ซีรีส์จากเกาหลี แต่ก็มีภาพสวยๆ ฉากหลังน่ารักๆฟรุ้งฟริ้งพอสมควร ในการทำให้เรื่องนี้มันดูเป็นซีรีส์น่ารักใสๆมีความการ์ตูนแฟนตาซีเล็กๆ อย่างฉากที่ประทับใจมากๆคือฉากตากผ้าชั้นบนของโรงยิม อันนี้คือไม่มีอะไรอลังการงานสร้างใด แต่มุมภาพหรือการวางองค์ประกอบต่างๆนี้ตราตรึงและฟินมากๆเลยครับ
• หรือในช่วงเพลงเปิด Newton & Apple อันนั้นคือน่ารักไปไหนครับ ปรับโทนภาพให้สว่าง ย้อมสีได้หวานมากๆ ซีนจูบดีมากๆๆๆ แถมเพลงก็เพราะอีกด้วยครับ นี่ก็เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งครับที่ผมว่ามันทำให้เรื่องนี้มันดูแล้วเพลิดเพลินชุ่มฉ่ำหัวใจซะจริงๆ
• สำหรับสิ่งที่เห็นว่าเป็นจุดอ่อนของซีรีส์เรื่องนี้นั่นก็คือตัวบทครับ มีความรู้สึกว่าว่าการดำเนินเรื่องมันยังไม่ลื่นสักเท่าไหร่ครับ ด้วยความที่เนื้อเรื่องที่เป็นไคลแม็กซ์ของเรื่องมันถูกคลายปมเร็วเกินไปตั้งแต่สักช่วงกลางๆ ดังนั้นช่วงท้ายๆเลยเหมือนจะยืดๆซ้ำๆไปหน่อยครับ แต่ยังดีที่ได้ความโรแมนติกฟินจิกหมอนมาชดเชย ก็เลยมีอะไรพอที่จะทดแทนได้บ้าง ส่วนความไม่สมเหตุสมผลของความคิดตัวละครก็มีอยู่บ้างครับ แต่อันนี้ไม่คิดมากเท่าไหร่ครับ เพราะมันมีความแฟนตาซีเล็กๆอยู่ครับเลยพอเข้าใจได้
• แต่ที่ชัดที่สุดก็คือการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครของพระเอกและนายเอกนี่แหละครับ ที่ดูเหมือนว่าจะจบแบบเคลียร์แล้วสร้างบทที่เป็นแบบคนที่รักกันแล้ว เพราะองค์ประกอบทุกอย่างมันถูกเซตถูกปูไปในทางนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าก็ดันมามีปมค้างคาแบบไม่สุดเข้าให้อีกในตอนท้ายๆ ซึ่งจุดนี้ผมมองว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้เพราะทุกอย่างมันเสริมเข้ากันไปหมดแล้ว แต่ดันมาติดใจกันเล็กๆในตอนท้ายอีกจนได้
• ส่วนสะท้อนภาพเชิงสังคม LGBTQ ที่ปกติแล้วเป็นแนวถนัดของซีรีส์จากไต้หวันนั้น ก็พอมีอยู่บ้างเล็กน้อยครับ แต่ยังไม่ค่อยลุ่มลึกเหมือนซีรีส์ไต้หวันเจ้าอื่นๆ ที่จะชัดเจนในเชิงการขับเคลื่อนสังคมในเรื่อง LGBTQ ที่ชัดเจนกว่านี้
• จากภาพรวมทั้งหมดของ Stay by My Side นั้น ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่แนะนำว่าควรดูครับ ซึ่งมันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาความโรแมนติคของซีรีส์วาย หรือ เป็นซีรีส์ขนาดกลางๆไม่ยาวมาก ดูง่ายๆไม่ต้องคิดเยอะดราม่าไม่เยอะ หรือ ถ้ากำลังมองหาซีรีส์ที่มีองค์ประกอบแฟนตาซี มีเรื่องการเห็นผีแบบเรื่อง "Marry My Dead Body" ก็อาจจะชอบเรื่องนี้ด้วยครับ เพราะมันมีความคล้ายคลึงกันบางประการ ไม่ว่าจะในคอนเซ็ปต์หรือการมีคอมเมดี้เล้กๆ มีโมเม้นท์หน่อยๆคล้ายกัน
• หรือสำหรับสายวายที่ชอบนายเอกน่ารักๆ เรื่องนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน น้องน่ารักมากๆ ดูไปก็หวีดความน่ารัก ความทะเล้นของเค้าไป หรือใครชอบพระเอกเย็นชาในตอนแรกแต่กลายมาเป็นพ่อไมโครเวฟในตอนจบ เรื่องนี้ก็เหมาะเช่นกันครับ
• บทสรุปก็คือจาก Stay by My Side ผ่านไป พวกเราเตรียมพบกับซีรีส์วายจากไต้หวันมาอีกเรื่อยๆอย่างแน่นอน ตอนนี้ต้องบอกเลยว่าฝั่งไต้หวันกำลังปล่อยความฟินให้พวกเราชมกันอย่างต่อเนื่อง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าเค้าพร้อมจะกลับมาทวงบัลลังค์คืนแล้วนะครับ (ให้อารมณ์เหมือนในช่วงยุคที่ History เฟื่องฟู) เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาปล่อยให้ไทยแลนด์และโคเรียแซงหน้าความเป็นหัวแถวของซีรีส์วายไปซะแล้ว ซึ่งถ้าเรื่องแรกของค่ายใหม่มาได้แรงขนาดนี้ รับรองเรื่องต่อๆไป หรือ ของค่ายอื่นๆคงมาแบบจัดเต็มแน่นอนครับ
• คนที่กำไรก็คือคนดูนี่แหละครับ!!!
Stay By My Side (version 10 mins.)
โฆษณา