18 ก.ย. 2023 เวลา 16:54 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

นักวิทยาศาสตร์ชี้ “มัมมี่เอเลียนพันปี” ไม่ใช่ของจริง

ร่างของสิ่งมีชีวิตที่ถูกอ้างว่า “ไม่ใช่มนุษย์ และมีอายุเก่าแก่ถึงหนึ่งพันปี”
ร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาดจากประเทศเปรู ซึ่งมีผู้นำมาแสดงต่อรัฐสภาเม็กซิโกเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเป็นซากของสิ่งที่ “ไม่ใช่มนุษย์” และมีอายุเก่าแก่นับพันปี ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ต้องออกมาโต้แย้งว่า มันไม่ใช่ศพของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว หรือ “เอเลียน” แต่อย่างใด
ในการไต่สวนสาธารณะของรัฐสภาเม็กซิโก ว่าด้วยเรื่องของปรากฏการณ์ทางอากาศที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ (Unidentified Aerial Phenomena - UAP) ซึ่งรวมถึงประเด็นเกี่ยวกับอากาศยานลึกลับอย่างยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวด้วยนั้น นายไฮเม เมาซาน ผู้สื่อข่าวชาวเม็กซิกัน และนายโฮเซ เด เฮซุส ซัลเซ เบนิเตซ แพทย์ทหารสัญชาติเดียวกัน ได้นำร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตประหลาด 2 ร่าง มาแสดงต่อหน้าบรรดาสมาชิกรัฐสภาและประชาชนผู้เข้ารับฟังการไต่สวน
ซากศพของสิ่งมีชีวิตประหลาดดังกล่าว มีความสูงไม่ถึง 1 เมตร รูปร่างผอม ผิวสีเทา ศีรษะใหญ่ มีนิ้วมือเพียงข้างละ 3 นิ้ว และในท้องยังมีไข่ที่อาจใช้ในการสืบพันธุ์
นายเมาซานและนายเบนิเตซอ้างว่า ผลตรวจดีเอ็นเอบ่งชี้ชัดเจนว่าพวกมันไม่ใช่มนุษย์ นอกจากนี้ผลการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสียังชี้ว่า ร่างดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ถึง 1,000 ปีด้วย
นายไฮเม เมาซาน ผู้สื่อข่าวชาวเม็กซิกัน (คนขวาสุด) กับร่างมัมมี่ของเอเลียนที่เขานำมาแสดงต่อสาธารณชน
อย่างไรก็ตาม ร่างมัมมี่ของสิ่งมีชีวิตที่อาจเป็นเอเลียนนี้ เคยตกเป็นข่าวเกรียวกราวมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงปี 2017-2018 โดยนายเมาซานบอกกับเว็บไซต์ Live Science ว่า เขายังไม่ได้กล่าวฟันธงว่ามันคือร่างของเอเลียนอย่างแน่นอน เพียงแต่ยืนยันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์
นอกจากนี้ เขายังได้ค้นพบเพิ่มเติมว่ามีอวัยวะเทียมทำจากธาตุออสเมียม (Os) และแคดเมียม (Cd) อยู่ในร่างของมัมมี่ทั้งสองด้วย ซึ่งอวัยวะเทียมทำจากโลหะนี้ ถือเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังไม่รู้จักเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน
ดร.ราฟาเอล โบฮาลิล-ปาร์รา ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมงานวิจัยของมหาวิทยาลัย UAD ในกรุงเม็กซิโกซิตี บอกกับเว็บไซต์ Live Science ว่า ทางมหาวิทยาลัยไม่เคยมีโอกาสได้ตรวจสอบร่างมัมมี่ทั้งสองอย่างที่มีการกล่าวอ้างกัน ส่วนผลวิเคราะห์ดีเอ็นเอนั้นมาจากทางมหาวิทยาลัยจริง แต่ก็ไม่อาจจะเปิดเผยให้สาธารณชนทราบอย่างละเอียดได้ เพราะติดข้อสัญญาการว่าจ้างในเชิงพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม ดร.โบฮาลิล-ปาร์รา กล่าวประณามว่า “การที่รัฐสภาของเราให้พื้นที่และโอกาส แก่พวกที่อ้างตนว่าเป็นนักล่ายูเอฟโอนั้น เท่ากับสะท้อนให้เห็นถึงกระแสต่อต้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันกำลังมาแรงในประเทศของเรา”
ผศ.ดร.เดวิด แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการปลอมแปลงทางโบราณคดี (pseudoarchaeology) จากมหาวิทยาลัยแรดฟอร์ดของสหรัฐฯ กล่าวชี้แจงว่า “หากร่างมัมมี่ทั้งสองเป็นเอเลียนจริง ผลการตรวจหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสีที่บ่งชี้ว่ามีอายุเก่าแก่ถึงพันปีนั้น จะเป็นข้อมูลที่ไม่มีความหมายอะไรเลย”
“การตรวจหาอายุทางโบราณคดีนั้น ใช้อะตอมของคาร์บอน 14 ที่เกิดขึ้น เมื่อรังสีจากดวงอาทิตย์ชนเข้ากับบรรยากาศชั้นบนของโลก ดังนั้นในการตรวจหาอายุของร่างเอเลียน เราจะต้องทราบถึงอัตราการผลิตอะตอมคาร์บอน 14 ในชั้นบรรยากาศของดาวที่เป็นบ้านเกิดของพวกเขา ไม่ใช่ในบรรยากาศโลก” ผศ.ดร.แอนเดอร์สัน กล่าว
ดร.แอนดรูว์ เนลสัน หัวหน้าภาควิชามานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นของแคนาดา กล่าววิจารณ์ว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้าที่นิทานลวงโลกของนายเมาซาน ซึ่งถูกเปิดโปงด้วยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้วเมื่อหลายปีก่อน ได้กลับมาปรากฏอยู่ในโลกออนไลน์อีกครั้ง”
หน้าตาแบบพิมพ์นิยมของเอเลียนจากจินตนาการมนุษย์
ดร.เนลสัน อ้างถึงงานวิจัยเมื่อปี 2017 ของ ดร.โรดอลโฟ ซาลาส-กิสมอนดี นักบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลัง จากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาในกรุงลิมาของเปรู ซึ่งอธิบายว่ากายวิภาคของร่างมัมมี่ที่ดูคล้ายเอเลียนนั้น เกิดจากการดัดแปลงร่างมัมมี่ของมนุษย์ โดยมีการตัดนิ้วมือรวมทั้งหนังและเนื้อเยื่ออ่อนหลังนิ้วหัวแม่เท้า เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีนิ้วหัวแม่เท้าที่ยาวผิดปกติ
หากมัมมี่ดังกล่าวเป็นร่างของมนุษย์จริง นายเมาซานจะมีความผิดตามกฎหมายฐานลักขโมยและทำลายศพ รวมทั้งความผิดฐานลักลอบนำวัตถุโบราณออกจากแหล่งต้นกำเนิด
ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยยังมองว่า เหตุที่นายเมาซานนำร่างมัมมี่ทั้งสองมาแสดงต่อสาธารณชนอีกครั้งในรัฐสภาของเม็กซิโกนั้น เป็นเพราะต้องการหาผลประโยชน์จากกระแสความตื่นตัวเรื่องยูเอพี (UAP) ซึ่งเม็กซิโกได้รับอิทธิพลจากสหรัฐฯ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมา สภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้จัดการไต่สวนสาธารณะในประเด็นดังกล่าวหลายครั้ง ซึ่งแสดงถึงความนิยมและความเชื่อถือในเรื่องทฤษฎีสมคบคิด ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในหมู่ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลก
เครดิตข้อมูลจาก : BBC NEWS ไทย
โฆษณา