"แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามุ่งเน้นที่จะให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนกับกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง ที่ส่วนใหญ่เป็น Gen X และ Baby Boomers
ซึ่งแม้ว่าจะมีจำนวนลูกค้าไม่มาก แต่มูลค่าเงินลงทุนสูงมาก ทำให้ยังสามารถทำธุรกิจได้แม้ว่าต้นทุนในการให้บริการ (Cost to Serve) จะค่อนข้างสูง
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็มีความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะหาแนวทางที่จะขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มนักลงทุนรายย่อยและกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
อีกทั้ง ยังไม่ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ซึ่งทางกลุ่มธุรกิจการเงินฯ ก็ต้องตอบโจทย์เรื่อง Cost to Serve ก่อนด้วย
ปัจจุบัน แอปพลิเคชัน Dime! ประสบความสำเร็จในการครองใจนักลงทุน Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวคิด ทัศนคติ และรูปแบบชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ และเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ที่สุดของ Dime!
โดยเมื่อรวมกับลูกค้ากลุ่ม Gen Y จะมีสัดส่วนสูงถึง 86% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมด Dime! จึงพร้อมจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองชิ้นสำคัญสำหรับผลักดันเรื่องการเงินการลงทุนให้เป็นที่เข้าถึงง่ายสำหรับคนไทย ตลอดจนนักลงทุนในยุคใหม่” นายกัมพลกล่าว