21 ก.ย. 2023 เวลา 14:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ข้อมูลของประเทศไทยจาก UN World Statistics Pocketbook (ที่น่าสนใจ)

1.GDP (Gross Domestic Product) หรือที่แปลเป็นไทยได้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นตัวชี้วัดด้านการเงินของมูลค่าทางตลาดของสินค้าและบริการที่ได้ถูกผลิตขึ้นในประเทศนั้น มักถูกใช้เพื่อวัดสภาพทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น
GDP มักถูกนำไปใช้เพื่อวัดความสำเร็จในการพัฒนาของประเทศ
สำหรับข้อมูลตามภาพจะเป็นได้ว่าภายในระยะเวลาประมาณ 13 ปี จากปี 2010 จนถึง 2023 --- ประเทศไทยสามารถเพิ่ม GDP ขึ้นไปจากเดิม 164,877 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.7 ล้านล้านบาทเมื่อคูณด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 34.6 บาท/ดอลลาร์)
2. แต่ก็มีตัวเลขที่น่าหวั่นใจ คือ เปอร์เซ็นต์การเติบโตของ GDP ไทยลดลงอย่างน่าใจหายซึ่งปี 2010 (พ.ศ.2553) GDP ไทยโตได้ถึง 7.5% แต่ปี 2023 โตเพียง 1.6%
3. เปอร์เซ็นต์สัดส่วนของภาคการเกษตรกับภาคอุตสากรรมที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้นลดลง แต่ในทางกลับกันภาคบริการ (ไฟฟ้า การประปา การค้าปลีก การค้าส่ง ร้านอาหาร โรงแรม การคมนาคมขนส่ง การเงิน การประกันภัย การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ การซื้อชายในตลาดหลักทรัพย์ การบันเทิง การติดต่อสื่อสาร การศึกษา สาธารณสุข การบริการบุคคล และการให้บริการในลักษณะต่างๆ ทั้งการบรรจุหีบห่อ คลังสินค้า การทำงานบ้าน การทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน การเก็บกวาดและการซ่อมแซม ฯลฯ ล้วนถือกันว่าเป็นกิจกรรมในภาคบริการ) มีสัดส่วนมากขึ้น
4. การจ้างงานในภาคการเกษตรลดลงในขณะที่ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการมีเพิ่มมากขึ้นนั่นหมายความว่า "คนย้ายจากภาคการเกษตรมาทำงานในเมืองมากขึ้น"
5. เปอร์เซ็นต์การว่างงานของไทยถือว่าต่ำมากอยู่ที่เพียง 0.8% (ตามความเห็นของผมนะครับ เข้าใจว่าน่าจะเอาไปคูณกับจำนวนประชากรของสถิตินี้ คือ 71.697 ล้านคน ก็จะตกอยู่ที่ราวๆ 570,000 คน ซึ่งก็พอจะใกล้เคียงกับข่าวของประชาชาติธุรกิจครับ
6. ตัวเลขขาดดุลการค้า เราขาดดุลปี 2023 ถึง 21,376 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราวๆ 739,609 ล้านบาท
สุดท้ายคู่ค้าสำคัญของเรา คือ
เราส่งออกไปต่างประเทศ เรียงตามอันดับ อับดับ 1.สหรัฐ 2. จีน 3.ญี่ปุ่น
และเรานำเข้า เรียงตามอันดับ 1.จีน 2.ญี่ปุ่น 3.สหรัฐ --- ซึ่งข้อนี้คงจะเป็น Shopee, Lazada, รถยนต์ไฟฟ้านั่นแหละครับ
สุดท้ายคือเราไม่สามารถโปรใครได้ทั้งนั้นครับ เลือกใครจีนก็ไม่ได้เลือกสหรัฐฯ ก็ไม่ได้เพราะต่างสำคัญกับเราทั้งคู่ครับ
โฆษณา