25 ก.ย. 2023 เวลา 04:00 • สุขภาพ

ยาระบายขาดตลาด บางคนไม่ได้ท้องผูก แต่ใช้ผิดวิธีหวัง 'ลดน้ำหนัก'

ยิ่งถ่ายบ่อยก็ยิ่งผอม?! แพทย์สหรัฐชี้ เป็นความเชื่อที่ผิด หลังเกิดปรากฏการณ์ “ยาระบาย-ผงไฟเบอร์” ขาดตลาดทั่วสหรัฐอเมริกา เจอบางเคสกินทุกวันเพื่อหวังผลด้านการ “ลดน้ำหนัก”
ปรากฏการณ์ “ยาระบายขาดตลาด” กำลังเกิดขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา มีรายงานจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารและซัพพลายเออร์จำนวนหนึ่ง ระบุว่า ยาระบายยี่ห้อ Miralax และ Glycolax ในสหรัฐกำลังขาดแคลน โดยพบว่าไม่มีสินค้าเหลือบนชั้นวางขายเลย ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในร้านขายยาทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน มีข้อมูลเชิงวิเคราะห์จากบริษัท Pattern ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารเสริมไฟเบอร์ยี่ห้อ Metamucil และ Benefiber รายงานว่า ชาวอเมริกันค้นหาสินค้าคำว่า “ยาระบาย” ในแพลตฟอร์ม Amazon เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในช่วงปีที่ผ่านมา
📌พฤติกรรมการกินผิดปกติ ทำให้ผู้คนพึ่ง "ยาระบาย" มากขึ้น
ไม่ต่างกับข้อมูลจาก จิสซัน เชเรียน ผู้ดูแลการตลาดของอาหารเสริมไฟเบอร์แบรนด์ Haleon ที่ให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การที่ผู้บริโภคยุคนี้นิยมซื้อยาระบาย-ไฟเบอร์มากขึ้น อาจเป็นเพราะพวกเขาตระหนักรู้เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างแบคทีเรียในลำไส้กับภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น แต่ที่น่าแปลกใจคือ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าเป็นคนที่มีอายุน้อยลงกว่าแต่ก่อน คืออายุระหว่าง 18 - 42 ปี ขณะที่ในอดีตจะเป็นกลุ่มผู้สูงวัยหรือคนป่วยที่แพทย์ต้องสั่งจ่ายยาระบายให้
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ยาระบายขาดแคลนนั้น เกิดจากพฤติกรรมการกินของชาวอเมริกันที่ส่วนใหญ่บริโภคอาหารที่มีกากใยไม่เพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการ “ท้องผูก” ได้ง่าย จึงนิยมซื้อ “ยาระบาย-อาหารเสริมไฟเบอร์” มาใช้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงการระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา พบว่า ผู้คนมีพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น กินอาหารแย่ลง ออกกำลังกายน้อยลง และมีความวิตกกังวลมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นสาเหตุให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ
ดร.จอร์จ พาโฟล ผู้บริหารสมาคมระบบทางเดินอาหารแห่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องบ้ามากที่ประชาชนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขามีปัญหาลำไส้ผิดปกติ จนต้องพึ่งพายาระบายมากถึงขั้นทำให้ยากลุ่มนี้ขาดตลาด
📌ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการ "ขับถ่าย" ทำให้คนแห่ซื้อไฟเบอร์-ยาระบาย
ขณะที่ ดร.ไบรอัน เลซี ศาสตราจารย์ด้านระบบทางเดินอาหารของ Mayo Clinic มองว่าสาเหตุที่ทำให้ยาระบายขาดตลาด ก็เพราะว่าผู้คนมีปัญหาด้านระบบขับถ่ายของพวกเขามากขึ้น รวมไปถึงมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับนิสัยการเข้าห้องน้ำว่าต้องเข้าทุกวัน นั่นทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะพึ่งพาอาหารเสริมและยาระบายมากเกินไป
“หลายคนคิดว่าจำเป็นต้องขับถ่ายทุกวันถึงจะดี นั่นเป็นความเข้าใจผิด ที่จริงแล้วระบบขับถ่ายของคนปกติที่สุขภาพดีจะอยู่ระหว่าง 3 ครั้งต่อวัน ไปจนถึง 3 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์” ดร.ไบรอัน ระบุชัด
ดร.ไบรอัน บอกอีกว่า จริงๆ แล้วหากต้องการหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก เพียงแค่เริ่มต้นด้วยการบริโภคผลไม้สด ผักสด และเมล็ดธัญพืชให้มากขึ้นในแต่ละวัน ก็ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นได้แล้ว แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น จึงค่อยเสริมด้วยเป็นผงไฟเบอร์หรือยาระบาย ทั้งนี้ ไม่ควรใช้ยาระบายบ่อยๆ เพราะนั่นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุที่เห็นผลเร็ว แต่อาจไม่ดีต่อสุขภาพเท่ากับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินในระยะยาว
📌กินยาระบายช่วย "ลดน้ำหนัก" ไม่จริง! แถมเสี่ยงภาวะขาดน้ำเรื้อรัง
นอกจากนี้ยังมีนักวิชาการด้านสุขภาพอีกคนอย่าง ดร.เจนนา ดิลอสซี ผู้เชี่ยวชาญด้านความผิดปกติในการรับประทานอาหาร ได้ออกมาแชร์ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีผู้ป่วยวัยรุ่นที่ใช้ยาระบายในทางที่ผิด คือ มีการใช้เพื่อหวังผลด้านการลดน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ช่วยในการ "ลดน้ำหนัก" เลยก็ตาม
“การใช้ยาระบายมากเกินจำเป็น อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำเรื้อรังและการสูญเสียสารอิเล็กโทรไลต์ในเลือด ในบางกรณีที่ผู้บริโภคใช้ยาระบายเป็นประจำ อาจต้องพึ่งยาระบายอยู่ตลอด เพราะหากไม่รับประทานแล้วจะไม่สามารถขับถ่ายได้เอง” ดร.เจนนา กล่าว
คนไข้วัยรุ่นหลายคนของ ดร.เจนนา เล่าว่า พวกเขาได้รับแนวคิด “ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ” เพื่อความผอมเพรียวและสุขภาพที่ดี จากแพลตฟอร์ม TikTok ผ่านการค้นหาแฮชแท็ก #GutTok ที่มียอดดูถึง 1.1 พันล้านครั้ง แม้ว่าวิดีโอเหล่านั้นไม่ได้ส่งเสริมให้กินยาระบายเพื่อลดน้ำหนักโดยตรง แต่ก็สนับสนุนความคิดที่ว่าการเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นจะทำให้มีรูปร่างดี
📌"ยาระบาย" อย่าใช้บ่อย ต้องใช้ตามแพทย์สั่ง เพื่อรักษาท้องผูกเท่านั้น
อีกหนึ่งเสียงจากผู้บริโภคที่เคยติดกับดักความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรับประทานยาระบาย นั่นคือ “โซฟี สเปียร์ส” นักโฆษณาด้านแฟชั่น วัย 30 ปี ในลอสแอนเจลิส เธอเล่าว่าเมื่อก่อนตนเองก็เคยใช้ยาระบายมากเกินไปเช่นกัน เพราะมันช่วยให้รู้สึก “เบาสบาย” หลังจากขับถ่าย จึงใช้มาเรื่อยๆ
“ฉันเคยมีช่วงวัย 20 ปีต้นๆ ที่ประสบปัญหาการกินที่ผิดปกติ จึงมีอาการท้องผูกอย่างหนัก และนั่นทำให้ฉันใช้ชีวิตผูกติดกับการกินยาระบายมาตลอด ไม่เช่นนั้นฉันจะรู้สึกอ้วน” เธอกล่าว จนกระทั่งเธอได้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่ดีต่อสุขภาพ เธอจึงลดการบริโภคลง และจะได้ยาระบายภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อรักษาอาการท้องผูกเท่านั้น
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นยาหรืออาหารเสริมใดๆ ก็ตาม ก่อนจะซื้อมารับประทานผู้บริโภคควรศึกษาทั้งประโยชน์ ข้อควรระวัง และปริมาณการใช้ให้ละเอียด หรือปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อมาใช้จะดีที่สุด เพราะหากใช้ผิดวิธีหรือใช้มากเกินจำเป็น แทนที่จะได้ผลดีแต่กลับทำให้สุขภาพแย่ลง
โฆษณา