30 ก.ย. 2023 เวลา 05:20 • ประวัติศาสตร์

โคลอสเซียม มีอะไรอย่างนี้ด้วยเหรอ?

ถ้าคุณหลับตาลง แล้วมีคนพูดว่า “Rome” (ซึ่งหมายถึง กรุงโรมนะ ไม่ใช่ชื่อคน) คุณจะเห็นภาพอะไร
หากถามคนสัก 10 คน อย่างน้อยต้องมีสักคนบอกว่า “โคลอสเซียม” ละเนอะ
คาดว่าคนอ่านหลายคนคงจะเคยได้รับรู้เรื่องราวความยิ่งใหญ่ของโคลอสเซียมมาแล้ว ซึ่งคนเขียนเองก็เป็นแบบนี้เหมือนกันแหละ แต่ตอนที่จะไปอิตาลีได้ไปค้นคว้าหาเรื่องราวต่างๆ และก็พบว่าหลังจากที่มันถูกใช้เป็นสนามกีฬาไปแล้ว มันก็ถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าๆบอๆอีกเยอะ
รู้แล้วควรจะตลกหรือร้องไห้ดีหนอ
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น มาฟังผมเล่าเรื่องราวของมันตั้งแต่ต้นก่อนนะ
เมื่อผมได้เดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินที่มีชื่อว่าสถานีโคลอสเซียม โผล่ขึ้นมาพบแสงสว่างและลมหนาว พร้อมกับมหาสนามกีฬาใหญ่ยักษ์มาปะทะอยู่ตรงหน้าเราพอดี เรียกได้ว่ามาแบบชวนตะลึงแบบไม่ต้องรอ ไม่มีการเกริ่นนำใด โผล่มาปุ๊บก็เจอปั๊บ
เข้าไปใกล้ๆแล้วค่อยๆเดินวนชมโฉมยักษ์ใหญ่คร่ำคร่า คิดถึงตอนเด็กที่เคยไปสนามกีฬาแห่งชาติศุภชลาศัยครั้งแรกแล้วรู้สึกว่ามันช่างใหญ่โตเสียจริง และแล้วความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นมาอีกในวันนี้ (แต่ว่าตอนนี้ฉันโตแล้วนะ) นี่ก็คือสนามกีฬาโบราณที่สร้างมากว่าสองพันปี จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง
ความอยากมาโคลอสเซียมทำให้ข้าพเจ้าจองตั๋วเข้าชมตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว เพราะได้ข่าวว่าคนต่อคิวกันยาวมาก จนต้องมาก่อนเวลาเปิดตั้งนานโพ้น จินตนาการไปว่ามีเจอคนมาเข้าคิวรออยู่ยาวๆ แต่วันนี้กลับพบว่าเดินไปอยู่หน้าประตูทางเข้าเป็นคนแรกได้อย่างสบาย นั่งกินอาหารเช้าที่จิ๊กมา (จากไหนหนอ คริคริ) แก้หนาวไปพลางได้อีก
หญิงชาวเกาหลีหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินถือใบจองตั๋วแบบเดียวกับเราเข้ามาถามว่าใช้ตั๋วนี้ใช่ไหม จะเข้าไปได้เมื่อไร ก็เลยได้เพื่อนคุย เธอมาที่โรมตัวคนเดียวเหมือนกัน ท่าทางดูซื่อๆใสๆไม่ค่อยจะลุยเหมือนเราเลย (แต่ใครจะไปรู้ เธออาจตะลุยร้อยล้านย่านน้ำมานับไม่ถ้วนแล้วก็ได้) บอกว่าจะมาอยู่โรมแล้วก็ไปเวนิสต่อ
พอประตูเปิดปุ๊บข้าพเจ้าก็กลายเป็นแขกคนแรกที่เข้าสู่สนามกีฬาลือชื่อ จินตนาการไปว่าพอเดินเข้าไปแล้วจะเข้าไปในสนามแล้วจะมีผู้ชมบนอัฒจันทร์ล้อมรอบคอยแห่แหนเรา ซึ่งกำลังโบกมือให้ผู้ชมทั้งหลาย แต่อุ๊ย นั่นมันความฝันแหละ เพราะทางเข้าจริงๆนั้นเป็นด้านล่างของอัฒจันทร์ เป็นทางเดินมืดๆ เข้าแถวนั้นเอาตั๋วเข้าไปรับ Audio Guide แล้วค่อยขึ้นไปด้านบน
1
ด้านล่างมันเป็นแบบนี้แหละ
และเมื่อขึ้นมาด้านบน โคลอสเซียมจึงปรากฎแก่สายตาอย่างที่เราอยากจะเห็น
แต่ว่ามันก็ไม่ได้สวยอย่างที่เราเคยคิด เพราะตรงพื้นสนามนั้นหายไปเปิดให้เห็นด้านล่างซึ่งพรุนไปด้วยห้องใต้ดินต่างๆ ทั้งนี้ในสมัยก่อนจะมีการนำไม้กระดานมาปูทับเหนือห้องใต้ดินนั้นแล้วโรยทรายทับเมื่อเวลาที่มีกีฬาแข่งขัน บางครั้งพื้นก็จะถูกเปิดออกให้นักกีฬาได้ขึ้นจากใต้ดินมาแข่งขันให้เราได้ดูชม แล้วแต่ว่าโปรแกรมของวันนั้นจะเป็นอะไร
พื้นสนามตอนไม่มีไม้มาปูทับ ก็จะเห็นห้องหับต่างๆซอยย่อยแบบนี้แหละ
ดูใกล้ๆเป็นหลุมขุดค้น : ภาพโดย Karin Karintasut
เขียนมาถึงตรงนี้ ก็คิดอยู่ว่าจะเล่าอะไรมากน้อยแค่ไหนดีนะ เพราะใครๆก็คงบรรยายถึงแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตนี้ไว้เยอะแล้ว แต่กว่าจะคิดได้อีกทีปากกาก็พาไปซะละ และอีกอย่างนึง ถ้าไม่กล่าวถึงเรื่องราวของโคลอสเซียมบทความชมกรุงโรมของเราก็จะไม่ครบ สรุปแล้วก็พาท่านมาชมโคลอสเซียมกันต่อดีกว่า
โคลอสเซียมนี้ถูกสร้างในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซี่ยน (Vespasianus) แต่ก็ไปเสร็จเอาในสมัยจักรพรรดิไททัส (Titus) (ซึ่งบางคนก็เรียกว่าติตุส ฟังดูแล้วคนละฟีลกันเลย) ใครที่คิดว่าสนามกีฬามหึมาขนาดนี้ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานตั้ง 2 ชั่วคนละก้อ ขอแจ้งว่ามันไม่ใช่เลย
โคลอสเซียมนั้นใช้เวลาก่อสร้างเพียงแค่ 10 ปีเท่านั้น นับได้ว่ามันมหัศจรรย์มากสำหรับสนามกีฬาที่จุคนได้ถึง 5 หมื่นคน แสดงถึงการเตรียมงานมาอย่างดีและมีการออกแบบได้อย่างล้ำเลิศจนได้กลายเป็นต้นแบบให้สนามกีฬาต่างๆทั่วโลกในยุคปัจจุบันต้องเดินรอยตาม ถือได้ว่าถ้าไม่มีโคลอสเซียมมาเป็นต้นแบบก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นสนามกีฬาต่างๆแบบที่เราเห็นได้ในปัจจุบันนะแหละ
โคลอสเซียมได้ถูกใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ.80 มีการแข่งขันกีฬาต่างๆ แต่ไม่ใช่การแข่งแบบโอลิมปิกที่มีนักกรีฑา นักวิ่ง นักฟุตบอล นักกีฬาชาติต่างๆมาลงสนามแบบที่เราคิดกันหรอกนะ ว่าไปแล้วไม่อยากจะเรียกว่ากีฬาเลย แต่มันเป็นสนามของการทรมาน การฆ่า ที่มีคนดูคอยเชียร์อย่างสนุกสนาน ทำไปได้ไงหนอ
1
กีฬาโรมันที่เล่นกันในโคลอสเซียมยุคแรก มีทั้งการนำสัตว์มาสู้กับสัตว์ อย่างเช่น เสือกับสิงโต กระทิงสู้กับหมี และการสู้ระหว่างสัตว์กับคน ซึ่งมักจะเป็นพวกเชลยสงคราม จนถึงการสู้ระหว่างคนกับคนกันเอง กีฬาโรมันที่เล่นกันในโคลอสเซียมยุคแรก มีทั้งการนำสัตว์มาสู้กับสัตว์ อย่างเช่น เสือกับสิงโต กระทิงสู้กับหมี และการสู้ระหว่างสัตว์กับคน ซึ่งมักจะเป็นพวกเชลยสงคราม จนถึงการสู้ระหว่างคนกับคนกันเอง
หลายท่านคงเคยดูหนังเรื่อง The Gladiator จะเห็นว่าโคลอสเซียมนั้นออกแบบมารองรับกีฬาโหดเหี้ยมนี้ไว้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านล่างของสนามนั้นมีการสร้างห้องหับ กรงขังสัตว์ ห้องเก็บอุปกรณ์ ห้องเก็บตัวแกลดิเอเตอร์ก่อนที่กำลังจะขึ้นไปสู้รบ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการสร้างลิฟท์ เพื่อยกกรงสัตว์ให้ผลุดขึ้นมาบนสนามอย่างทันใจผู้ดูอีกด้วย
ภาพวาดโบราณ แสดงการต่อสู้กับสัตว์
อัฒจันทร์รอบๆจะมีระดับชั้นต่างๆให้กับผู้ชมกลุ่มต่างกัน โดยในการเข้าชมเขาจะแจกตั๋วที่ทำจากดินเผาให้ผู้ชมเข้าไปดูตามที่นั่งที่เหมาะสมของตน ขอบอกไว้ก่อนว่าชาวโรมันเขามีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่าไม่ใช่ใครจะเดินเข้าไปนั่งตรงไหนก็ได้ เพราะโดยชนชั้นล่างก็จะได้นั่งในที่สูง ส่วนชนชั้นสูงก็จะได้นั่งแถวล่าง กลับกันแบบนี้แหละ
ตอนที่ผมไป สภาพที่นั่งก็เป็นแบบนี้แหละ : ภาพโดย Karin Karintasut
กลุ่มที่นั่งแบบริงไซด์ก็คือพวกกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ และนักบวชหญิง จะคอยดูเกมกีฬาอย่างใกล้ๆเห็นเนื้อหนังแบบชัดเจน แถมยังมีชื่อผู้นั่งสลักไว้เพื่อแสดงเจ้าของเฉพาะตัวเสียด้วย ส่วนที่นั่งสูงขึ้นไปจะเป็นของอัศวิน แม่ทัพ ชนชั้นสูงอื่นๆ และที่สูงไปจากนั้นก็คือชาวโรมันทั่วไป และชั้นสูงสุดนั้นอยู่ไกลสุดแต่ไม่มีที่นั่ง ทำให้ต้องยืนดู เป็นพื้นที่สำหรับชาวต่างชาติ ทาส และผู้หญิง
กษัตริย์จะอยู่ชั้นล่างสุด คือใกล้ชิดกับสนามและผู้ต่อสู้มากที่สุด
ภาพตัดขวาง (section) แสดงที่นั่งของชนชั้นต่างๆ
เห็นรึยังว่ามันแบ่งแยกชนชั้นกันอย่างชัดเจน ไม่ใช่ว่าคนมีเงินซื้อตั๋วแพงๆจะมานั่งที่ดีๆได้นะ ถึงจะเป็นผู้หญิงรวยๆถ้าอยากจะดูใกล้ๆก็ต้องไปเป็นแม่ชี เอ้ย นักบวชหญิงซะก่อนจึงจะได้ชม (นักบวชหญิงโรมันนี่ใจร้ายจัง มองดูการฆ่าได้เลือดเย็นมาก) และถ้าเป็นชาวต่างชาติ แม้ว่ารวยแค่ไหนก็ต้องมายืนชมในระดับเดียวกับพวกทาสน่ะ ไม่บังอาจจองตั๋วแบบพรีเมี่ยมได้
นางชีโรมัน สะใจกับการฆ่า และเรียกร้องการฆ่าๆๆเรื่อยๆๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะถามว่าแล้วมีใครที่แย่ไปกว่าพวกทาสและชาวต่างชาติเหล่านั้นไหม ก็ขอบอกว่ามีแน่นอน ซึ่งได้แก่บุคคลที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปชมความสนุกสนานในสนามนี้ได้เลย ได้แก่สัปเหร่อ นักแสดง และแกลดิเอเตอร์ ดังนั้นถ้ามีใครจะมาอ้างว่าฉันเป็นดาราดังแล้วอยากมาชมเสือกินคนเพลินๆซะหน่อย ก็ขอเสียใจด้วย
การแสดงที่โหดเหี้ยมล้างผลาญแต่สะใจท่านจักรพรรดิยิ่งนัก ได้รับการบันทึกไว้เป็นประวัติการณ์ได้แก่ พิธีเปิดที่ยิ่งใหญ่อลังการ มีการต่อสู้ทั้งคนและสัตว์ติดต่อกัน 1,100 วัน ว่ากันว่าสรรพสัตว์ที่น่าสมเพชตายกันเป็นเบือถึง 90,000 ตัว (ตัวเลขนี้มีศูนย์ 4 ตัว ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ)
ลองคิดดูว่าหลังจากนี้ไป เกมสุดโหดก็ยังคงเกิดขึ้นอีกตลอดระยะเวลาที่ถูกใช้งานไปอีก 400 ปีมันจะสร้างหายนะให้กับประชากรสัตว์ป่าแค่ไหน กล่าวกันว่า เพราะกีฬาโหดที่โคลอสเซียมนี่แหละที่เป็นเหตุให้เกิดการสูญพันธุ์ของสัตว์หลายชนิดในบริเวณนี้ อย่างเช่นฮิปโปโปเตมัสก็สูญไปจากอียิปต์ ช้างก็สูญพันธุ์ไปจากภาคเหนือของอัฟริกา และสิงโตก็หายไปจากภูมิภาคตะวันออกไกล ซึ่งบริเวณเหล่านี้อยู่ในรัศมีของจักรวรรดิโรมันทั้งสิ้น
ภาพโมเสคโบราณ แสดงการต่อสู้กับสัตว์ผู้น่าสงสาร
ความเก่งกาจอีกประการของผู้ออกแบบก็คือ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชมในระดับไหน หากอยากจะวิ่งหนีออกไปจากโคลอสเซียมด้วยเหตุประการใด ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ โจรปล้น แผ่นดินไหว ระเบิดลง หรือท้องเสีย ก็สบายใจได้ เพราะวิศวกรเขาออกแบบไว้แล้ว คำนวณไว้อย่างดีว่าประชากรทุกคนสามารถเคลียร์ออกไปนอกโคลอสเซียมได้อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที ซานติก้าผับน่าจะมาดูงานที่โคลอสเซียมก่อนสร้างนะ น่าเสียดาย
1
เราคงได้เห็นว่า มันมีอะไรหลายอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อว่าเคยเกิดขึ้นในโคลอสเซียมกันแล้ว คราวนี้จะขอเล่าถึงอะไรที่ไม่น่าเชื่อไปยิ่งกว่าอีก นั่นก็คือ การนำนูมาเชีย (Naumachia) เข้ามาแสดงในนี้ คงไม่รู้ละสิว่ามันคืออะไร แต่ถ้าถามว่ามันคืออะไรก็ขอเรียกว่าการแสดงยุทธนาวี ซึ่งขอแปลอีกว่ามันคือการแสดงสงครามทางน้ำ โดยเอาเรือรบของศัตรูสองฝ่ายมาทำการสู้รบกันเพื่อความบันเทิงนั่นเอง
Naumachia เป็นการแสดงยุทธนาวีแบบโรมัน
อ๊าว แล้วมันรบกันจริงหรือเปล่าล่ะ?
ขอตอบว่ามันเป็นการแสดงสงครามโดยการนำเรือที่สมมติเป็นเรือรบ ซึ่งเป็นเรือท้องแบนขนาดพอให้จุคนไปแสดงได้โดยให้เป็นฝ่ายต่างๆ เช่นการรบระหว่างกรีกกับเปอร์เซียร์ หรือการรบที่มีชื่อเสียงอื่นๆ โดยมีคนในเรือออกมาโชว์การต่อสู้กันให้เหล่าผู้ชมเชียร์กันสนั่นหวั่นไหว
การแสดงที่ว่ามันคือโชว์สงครามทางน้ำที่ตระการตาต่อหน้าฝูงชนที่ชื่นชอบความกีฬาที่รุนแรงนั่นเอง แต่อย่าเรียกมันว่ากีฬาเลย เพราะแม้จะเป็นสงครามจำลองแต่การสู้รบนั้นเป็นความจริง พวกโรมันจะเอาเชลยชาติต่างๆมาลงเรือ มอบอาวุธให้เต็มที่ สมมติในเรือแต่ละลำเป็นของชาติอะไรก็แล้วแต่ บังคับให้แล่นไปต่อสู้ ฆ่ากันเองในเวทีทะเลสาบนั่นแหล่ะ ชาวโรมันก็จะส่งเสียงเชียร์เพลิดเพลิน สนุกสนาน อุ๊ย เขียนไปก็เห็นทะเลสาบสีเลือดสยดสยอง
Naumachia อีกรูปนึง
อันที่จริงก่อนที่จะมีการสร้างโคลอสเซียมชาวโรมันก็เคยมีการแสดงยุทธนาวีอยู่ก่อนแล้ว โดยมักจะทำกันในทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้นใกล้แม่น้ำไทเบอร์ หลังจากนั้นสถานที่ในการชก็พัฒนาการสวยงามข้ามกาลเวลา จากเดิมที่เป็นแอ่งน้ำมีอัฒจันทร์ชั่วคราวแบบง่ายๆ กลายเป็นสนามกีฬาที่ถาวรสวยงาม
และแล้ว เมื่อโคลอสเซียมสร้างเสร็จ มีรึที่ชาวโรมันจะไม่เรียกร้อยการแสดงแสนงามแบบนี้
กล่าวกันว่าโคลอสเซียมเคยเป็นสถานที่แสดงยุทธนาวีอยู่ในช่วงหนึ่งในสมัยก่อสร้างใหม่ๆ และมันช่างสุดแสนจะอัศจรรย์ที่มีกลไกชักน้ำให้ท่วมสนามได้รวดเร็วและระบายออกได้เร็วมากเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โชว์แบบนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะหลังจากที่โคลอสเซียมมีการพัฒนา สร้างห้องใต้สนามมาเป็นที่เก็บสัตว์และคนที่จะขึ้นมาแสดง ทำให้การผันน้ำเข้ามาแสดงทำไม่ได้อีก ไม่งั้นเหล่ากลาดิอาตอร์กับฝูงสิงโตก็ต้องจมน้ำตาย ชิมิ
กระนั้นตาม เรายังพอจะเห็นภาพเขียนและภาพพิมพ์ที่ช่วยเราจินตนาการถึงการแสดงนูมาเชียของชาวโรมันในช่วงนั้นได้บ้าง อย่างที่เห็น
อ้อ แล้ววัฒนธรรมนี้ก็ยังมีการส่งออกไปยังดินแดนใกล้เคียงด้วยนะ พวกประเทศในยุโรปอย่างเช่นสเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส ก็เคยมีการจัดงานแสดงนูมาเชียในเทศกาลเหมือนกัน แต่ไม่ต้องสยองใจไปหรอก เพราะว่างานเหล่านั้นมันเป็นละครสมมติ ไม่ได้เป็น Reality Show ที่ออกมาฆ่ากันจริงแบบของโรมันเขาหรอก
เล่ากันมาถึงตอนนี้ ใครหลายคนอาจจะคิดว่าชั้นทนไม่ได้แล้วกับความหรรษาที่มันโหดเหี้ยมขนาดนี้ ไม่อยากจะรู้อะไรไปกว่านี้แล้ว ก็ขอบอกว่า พระเจ้าเองก็คงจะทนไม่ได้เช่นเดียวกันแหละ เพราะตามหลักฐานที่บันทึกไว้บ่งบอกว่าโชว์เหล่านี้มีอันสิ้นสุดลงปี คศ. 523 ซึ่งคาดว่าอาจเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษให้เกิดแผ่นดินไหว รวมถึงสงครามที่เกิดขึ้นยาวนานในช่วงนั้น ทำให้เกมกีฬานี้เลิกไปก็เป็นได้
หลังจากที่โคลอสเซียมพังทลายและอาณาจักรโรมันได้ล่มสลายลง การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างก็เกิดขึ้นกับโค.ฦเช่นกัน ศาสนาคริสต์ได้เข้ามามีอิทธิพลในดินแดนนี้ และสิ่งก่อสร้างหลายแห่งในกรุงโรมก็ถูกดัดแปลงมาใช้งานในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่นในปี คศ. 590-604 โป๊ปเกรกอเรียส แมกันส์ ได้บูรณะและเปลี่ยนโคลอสเซียมให้เป็นโบสถ์ จากสนามแห่งการฆ่าก็กลายมาเป็นวิหารของพระเจ้าแทน ช่างดีงามพระรามแปด
1
ช่วงเวลาหนึ่ง โคลอสเซียมได้กลายเป็นโบสถ์
โคลอสเซียมถูกใช้ทำเป็นอะไรสารพัดหลายอย่างในเวลาต่อมา อย่างเช่นในปี 1200 ถูกต่อเติมเพื่อใช้เป็นปราสาท (เขาว่ามานะ นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะเป็นปราสาทได้ไง)
และในช่วงปี 1349 สนามกีฬานี้ก็ได้เผชิญกับแผ่นดินไหวจนหินพังลงมามาก กองหินเหล่านั้นได้ถูกนำมาใช้ในการสร้างวัง โบสถ์ โรงพยาบาล และอื่นๆ แถมยังมีการนำเอามาเผาเพื่อทำปูนขาวอีกด้วย
แต่ที่น่าตลกก็คือเคยมีการคิดจะให้โคลอสเซียมกลายเป็นโรงงานทอขนสัตว์โดยแรงงานโสเภณีเพื่อที่หวังว่าสตรีกรุงโรมเหล่านั้นจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงเหล่านี้ก็มีวาสนาก็ไม่ถึงเพราะว่าแผนการนี้ได้ล้มไป
นอกจากนั้น เคยมีความคิดจะเอาโคลอสเซียมมาเป็นสนามสู้วัวกระทิงซะอีก อ้าว อันนี้ก็คือกิจกรรมประลองยุทธแบบดั้งเดิมเลย จะเรียกว่าอนุรักษ์วัฒนธรรมก็ได้นะ แต่สุดท้ายแล้วประชาชนก็ไม่เอา เพราะคนรุ่นใหม่รับไม่ได้กับความโหดเหี้ยมอีกแล้ว
โคลอสเซียม เมื่อครั้งที่กลายเป็นสุสาน
และที่สำคัญคือ ตอนต้นศตวรรษที่ 14 เมื่อพระสันตปาปาในกรุงโรมได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอาริยงในฝรั่งเศส ทำให้ประชากรชาวคริสเตียนหายไปมาก โคลอสเซียมก็ถึงคราวเสื่อมโทรมอีกครั้ง กลายเป็นแหล่งซ่องสุมของเหล่าโจร และเคยมีครั้งนึงที่ถูกนำมาใช้เป็นสุสานซะอีก จนถึงปี 1749 โป๊ปเบเนดิกที่ 14 มองว่าโคลอสเซียมคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และได้นำไม้กางเขนมาติดตั้ง
ตอนถ่ายมันย้อนแสงนะ แต่ก็สวยดี : ภาพโดย Karin Karintasut
และเมื่อถึงยุคของนโปเลียนที่เข้ามามีอิทธิพลในอิตาลี โคลอสเซียมก็ได้รับการบูรณะอย่างมาก ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก เพราะนโปเลียนนั้นคลั่งไคล้ศิลปะโรมันมาก ถึงกับพยายามทำตัวให้เทียบกับจักรพรรดิโรมัน (เดี๋ยวไว้เล่าให้ฟังทีหลังนะ อยากฟังไหม) และในที่สุดเมื่อปี 1992 โคลอสเซียมก็ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่อีกโดยธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง และเสร็จสมบูรณ์ในปี 2003 จนกลายมาเป็นโคลอสเซียมที่เราได้พบได้เห็นในวันนี้
อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันโคลอสเซียมก็ได้เปลี่ยนฟังก์ชันไปเป็นอย่างอื่นได้อีกเรื่อยๆ นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทำเงินมหาศาลแล้วยังเคยถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการรณรงค์ต่อต้านโทษประหารชีวิตอีกด้วย บทบาทของโค.ฦก็คือ ครั้งใดที่นักโทษประหารได้รับการลดโทษหรือถูกปล่อยตัว โคลอสเซียมจะแสดงความยินดีด้วยการถูกประดับด้วยแสงสีทองไสวเป็นสัญลักษณ์
คอนเสิร์ตก็จัดขึ้นที่นี่ได้นะ หลายครั้งแล้วด้วย
ฟังก์ชันอีกอย่างที่ยังถูกใช้ในยุคปัจจุบันก็คือการใช้เป็นที่จัดคอนเสิร์ต อ้อ แต่อย่าไปคิดว่าพวกเราจะได้ไปฟังบนอัฒจันทร์แล้วดูนักร้องคนโปรดแสดงบนสนามนะ เพราะพื้นสนามน่ะมันยับเยินจนเกินจะทำแบบนั้นได้แล้ว สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือนำโคลอสเซียมมาเป็นฉากหลัง ซึ่งก็มีนักร้องดังบางคนได้ทำมาแล้ว อย่างเช่น Paul McCartney Elton John และ Billy Joel
จะเห็นได้ว่าสนามกีฬาโบราณนี้ไม่มีวันตาย เพียงแค่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนบทบาทไป และทุกวันนี้ก็ยังคงมีคนมาใช้โคลอสเซียมทำอะไรต่อมิอะไรให้เกิดประวัติศาสตร์ใหม่ๆได้เสมอตลอดมา
คราวหน้าถ้าท่านได้ไปชมสิ่งมหัศจรรย์แห่งนี้ ก็อาจจะระลึกถึงโคลอสเซียมในรูปแบบต่างกันสารพัน มันช่างเป็นสนามกีฬาที่มีประวัติศาสตร์น่าทึ่ง จารึกเรื่องราวไว้หลายยุคสมัยได้ดีจริงๆ
ขอกราบขอบพระคุณข้อมูลเหล่านี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา