7 ต.ค. 2023 เวลา 02:59 • ความคิดเห็น

ตั้งแต่นั้นมาผมก็กลัวปืน

เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเรียน ที่ กรุงเทพ การเดินทางปกติในช่วงนั้นคือ รถเมย์ ที่ใช้เดินทางไปกลับ ในทุกวันเช้าเย็น จากบ้าน ถึง มหาวิทยาลัย ซึ่งก็ไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรผิดแปลกไป
ส่วนตัวเป็นคนสายตาสั้น ประมาณ 120 150 และก็ไม่ชอบใส่แว่นตลอด จะใส่แค่ช่วงเวลาเรียน หรือจำเป็นต้องลอกข้อสอบ >< ดังนั้นในช่วงปกติที่ไม่ใส่แว่นบางครั้งก็จะต้องมองเพ่งดูบ้าง
วันนั้นเป็นตอนเย็นกลับบ้านตามปกติ ผมขึ้นรถเมย์ที่ช่วงกลางรถ ไม่มีที่นั่ง รถออกไปได้สักพักในแต่ละป้ายก็จะเริ่มมีที่นั่งบ้าง เมื่อขึ้นไปมีจังหวะหนึ่งที่สบตา ไปเจอชายคนหนึ่งน่าจะเป็นนักเรียนช่าง
ซึ่งนั่นน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหา ยอมรับว่าตอนนั้นไม่รู้เรื่องจริงๆ เราที่สายตาสั้น พอมีคนมองสบตาแล้วแสดงอาการบางอย่าง ในหัวคือ คนรู้จักหรือป่าว เลยพยายามมองดู ประกอบกับสายตาสั้น จึงอาจเป็นการมองแบบเพ่งดูคิ้วขมวด ส่วนทางนั้นก็ยิ้มๆมุมปากมา ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่ก็นึกไม่ออกว่าใช่คนรู้จักมั้ย
เมื่อรถเมย์วิ่งไปใกล้ถึงป้ายปลายทางที่บ้าน มีที่นั่งว่างตรงแถวประตูรถ จึงไปนั่ง พอรถจอดป้ายถัดไป ชายที่มองมาแต่แรกลงรถไป จริงๆก็ไม่ได้สังเกตอะไรว่าเขาลงยังไงตอนไหน แต่ได้ยินเสียงอีกครั้ง คือ "เมิงมีปัญหาอะไรมั้ย" เงยหน้าขึ้นดูเป็นภาพของปลายกระบอกปืน ที่จ่อมาที่หน้า ในระหว่างที่ตัวเขานั้น ยืนอยู่ที่ทางประตูรถ หน้าเรา
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนั้นไม่ใช่ความรู้สึกกลัว แต่น่าจะเป็นความรู้สึกช๊อคว่า นี้คืออะไร มันไม่ทันคาดคิด และคิดอต่เพียงว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับเรา หัวมันว่างไปหมด สิ่งที่ทำได้คือ เอนตัวออก "ไม่มีอะไรครับ ผมไม่ได้มีอะไรครับ" เป็นสิ่งที่เราพูดบอกเขา ทุกอย่างบนรถเงียบ ไม่มีใครพูดหรือทำอะไร รถจอดอยู่ตรงนั้น เหมือนรอให้ทุกอย่างจบลง เขาดึงปืนกลับไปและลงไปจากรถ หลังจากนั้นคนขับก็ปิดรถ และขับออกไป
ไม่มีใครเข้ามาถามไถ่ อันที่จริงคนรอบตัวถอยห่างออกไปด้วยซ้ำ ก็เข้าใจได้เมื่อมีอันตรายสิ่งที่ต้องทำก็น่าเป็นการถอยหนีออก
ผมเอาเหตุการณ์นี้มาเล่าแชร์เล่าลงโซเชียลในตอนนั้น ซึ่งก็เกือบ 10 ปี แล้ว ก็มีทั้งคำเป็นห่วง แล้วก็มี คำแนะนำ ตอนั้นน่าจะแบบนู้นแบบนี้ แต่สิ่งที่รู้สึกไม่ดีที่สุดคือ คำถามว่ารู้ได้ยังไงว่าปืนจริง? คือกว่าจะรู้มันก็ต้องหลังจากยิงมั้ย คือเราไม่ใช่เฉินหลง หรือ พระเอกตามหนังที่จะดึงปืนมา้ปลี่ยนเป็นคนถือปืนแทนแบบนั้น
อันที่จริงตอนนั้นถ้าต้องไหว้ขอโทษเพื่อชีวิตรอดก็ทำ ถ้าเราต้องมาจากไปเพราะสิ่งที่เราทำแบบตั้งใจจงใจทำก็ว่าไปอย่าง แต่ไม่อยากมาจากไปเพราะความเข้าใจผิดแบบนี้
ตั้งแต่นั้นมา เมื่อเห็นฉากที่มีปืน แบบใกล้ๆ หรือ ปืนจ่อไปที่ใครอยู่ มันจะรู้สึกวาบๆตลอด ในหัวมันจะคิดว่าปืนจะถูกยิงออกมาเสมอ ผมเกลียดและกลัวปืน ไม่ชอบ แม้จะยังเล่นในเกมส์อยู่บ้าง แต่พอเจอตามฉาก หรือปืนจริงๆก็จะไม่อยากอยู่ใกล้ มันรู้สึกไม่ปลอดภัยเสมอ ยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายต่อหลายครั้งตามข่าว
ของทุกอย่างมีคุณ มีโทษ ในตัวของมัน มันทำให้ผู้ถือ อาจรู้สึกปลอดภัย หรือ ก็อาจทำให้รู้สึกไม่กลัวสิ่งใด ความผิดไม่เคยเกิดขึ้นที่ปืน แต่เกิดกับผู้ที่ใช้มัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้และเหนือสิ่งอื่นใดคือเจตนาที่ใช้ เราอาจมีใบอนุญาติพก มีสนามยิงปืนที่สอนการใช้ที่ถูกต้อง แต่ไม่มีสถานที่อบรมนิสัยและเจตนาของผู้ใช้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้น จะไม่เหนี่ยวไกเพียงเพราะความคิดชั่ววูบ หรือ ไปเจอกับใครสักคน .
เราทุกคนก็คงอยากได้สังคมที่ปลอดภัย อยากไปเที่ยวในที่ที่ปลอดภัย สบายใจ ไม่ต้องมาระมัดระวัง กังวลอยู่ตลอด ผมก็ไม่รู้ครับว่าพวกปัญหาเหล่านี้จะต้องแก้ยัง ผมแค่ ประชาชนที่ไม่เคยพกปืน ยิงครั้งสุดท้ายในชีวิต คือ เรียน รด. แล้วเขาบังคับให้ยิง 5 นัด เท่านั้นครับ .
โฆษณา