9 ต.ค. 2023 เวลา 03:04 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จับจังหวะการลงทุน บนความขัดแย้ง “กลุ่มฮามาส-อิสราเอล” จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยแค่ไหน?

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมานักลงทุนคงทราบข่าวกันแล้ว ในกรณีกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธของปาเลสไตน์ เปิดฉากโจมตีอิสราเอลอย่างกะทันหันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย รวมทั้งยังถูกจับเป็นตัวประกันอีกหลายคนด้วย
ไม่นานหลังจากนั้น อิสราเอลส่งเครื่องบินรบโจมตีถล่มฉนวนกาซาทันที เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้น พร้อมยังให้คำมั่นว่าจะตอบโต้อย่างสาสมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามปะทุขึ้น ย่อมเป็นเซนติเมนท์เชิงลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง รวมทั้งตลาดหุ้นเอง
ดังนั้นความขัดแย้งในครั้งนี้ ระหว่างกลุ่มติดอาวุธของปาเลสไตน์และอิสราเอล จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยหรือไม่ Wealthy Thai หาคำตอบมาให้นักลงทุนแล้ว
อย่างไรก็ตามจากความขัดแย้งในครั้งนี้ ให้ราคาพลังงานเร่งตัวขึ้นในเช้าวันนี้ ขณะที่ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวขึ้น และหากบานปลายไปถึงความสัมพันธ์ของประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นๆในภูมิภาคตะวันออกกลาง นักวิเคราะห์ประเมินว่า จะสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบยืนสูงได้ต่อเนื่อง
เริ่มจากการประเมินของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มีความเห็นว่าสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์เสี่ยงบานปลายอาจกดดันสินทรัพย์ผันผวนหนัก
โดยความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์กลับมาอีกครั้ง หลังกลุ่มฮามาส (ชาวปาเลสไตน์) โจมตีอิสราเอลแบบไม่ทันตั้งตัวในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ทำให้เกิดการสู้รับกันอย่างรุนแรงในรอบหลายปี ด้วยปมจุดชนวนเรื่องศาสนา
ขณะที่ปาเลสไตน์มีผู้สนับสนุนเป็นกลุ่มประเทศตะวันออกลางนำโดยอิหร่าน ส่วนอิสราเอลมีผู้สนับสนุนเป็นกลุ่มประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐฯ
แต่สถานการณ์ดังกล่าวยังต้องติดตามอย่าใกล้ชิด เพราะหากมีการลุกลามไปในระดับภูมิภาค อาจเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่เสี่ยงขยับตัวสูงขึ้น เนื่องจากประเทศตะวันออกกลางเป็นแหล่ง Supply น้ำมันดิบ เกือบ 1 ใน 3 ของโลก
ขณะที่ผลกระทบที่ตามมาในช่วงสั้น คาดว่าจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อสินทรัพย์เสี่ยง เพราะเมื่อย้อนไปดูข้อมูลในอดีตจะเห็นได้ว่าช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ มักทำให้ตลาดหุ้นผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เหตุการณ์ยืดเยื้อ อย่างเช่นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ลากยาวนานนับปีตั้งแต่ในช่วงเดือน มี.ค. 65 จน กดดันตลาดหุ้นร่วงลงหนัก
ทั้งหากมาพิจารณาถึงผลกระทบเชิงเศรษฐกิจในไทยคาดว่าจะไม่รุนแรง เนื่องจาก อิสราเอลเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับที่ 40 ขณะที่ปาเลสไตน์เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับที่ 215 (สัดส่วนการนำเข้า-ส่งออกน้อยมาก) นอกจากนี้ชาวอิสราเอลเดินทางเข้าไทย 8 เดือนแรกของปี 66 อยู่ที่ 1.59 แสนราย คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.89% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด
สรุป ความขัดแย้งระหว่างประเทศระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ คาดว่าจะเป็น Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้น ฝ่ายวัยฯ แนะนำหุ้นกลุ่ม Selective อาทิ PTTEP, PTTGC, GULF, BGRIM, ADVANC, TRU
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งสถิติเมื่อเดือน พ.ค. ปี 64 เหตุการณ์รุนแรงในอิสราเอลส่งผลกระทบต่อไทยจำกัดทั้งภาคการค้าและการลงทุนในตลาดหุ้น (SET ลดลง 9 จุด ในวันแรก, ลดลง 7 จุด และ 23 จุดในวันที่ 2 และ 3 ตามลำดับ)
แต่ประมาทไม่ได้เพราะหากสงครามขยายวงกว้างไปสู่ประเทศอาหรับอื่นๆ อาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งแรงกลายเป็นวิกฤตพลังงาน เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้
1
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินผลที่เกิดขึ้นทำให้ราคาพลังงานเร่งตัวขึ้นในเช้าวันนี้ ขณะที่ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นจากความต้องการในการถือครองในฐานะ Safe Haven
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง ภาพระยะสั้นถือว่ายังไม่มากเพราะยอดส่งออกไปอิสราเอลอยู่ที่ราว 2.6-2.9 หมื่นล้านบาทต่อปี คิดเป็น 0.4% ของยอดส่งออกทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกหลักคือ รถยนต์, คอมพิวเตอร์, เครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์ยาง, และแผงวงจรไฟฟ้า ส่วนยอดนำเข้าอยู่ที่ 1.4-1.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 0.2% ของยอดนำเข้าทั้งหมดสินค้านำเข้าหลักคือ เครื่องเพชร พลอย ปุ๋ย, เครื่องจักรไฟฟ้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหากเข้าไปเจาะลึกหุ้นที่จะได้ผลลบและผลบวกนั้น นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ประเด็นกลุ่มฮามาซ (กลุ่มอาหรับ) โจมตีอิสราเอล (สหรัฐ-อังกฤษหนุน) และอิสราเอลตอบโต้กลับ ปัจจุบันกลุ่มฮามาสเรียกร้องให้กลุ่มติดอาวุธในเลบานอนเข้าร่วมสู้รบด้วย
ทั้งนี้พื้นที่โจมตีอยู่บริเวณฉนวนกาซามองราคาน้ำมันดิบ และ spread น้ำมันสำเร็จรูป รวมถึง LNG ผันผวนขึ้นจากความกังวลสงครามขยายตัว มองเป็นจิตวิทยาลบต่อตลาดหุ้นโลกวันนี้ แต่จะบวกกับหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาพลังงาน คือ กลุ่มต้นน้ำ PTTEP และ โรงกลั่น (BCP,TOP, SPRC) ลบต่อหุ้นปิโตรเคมี สถานีบริการฯ โรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM)
ปิดท้ายกันที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า ยังมีความไม่แน่นอนด้านระยะเวลาและขอบเขตการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ในครั้งนี้ แต่คาดว่าเหตุการณ์นี้จะสนับสนุนราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นให้สูงขึ้นได้
1
หากว่าสงครามในครั้งนี้ลามไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและ US (ซึ่งอาจส่งให้การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ และการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านได้รับผลกระทบ) ในขณะเดียวกัน มองว่าผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์ (soft commodities) อื่นๆจะมีจำกัด เนื่องจากอิสราเอลไม่ใช่ประเทศส่งออก soft commodities หลัก
สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากความตึงเครียดที่สูงขึ้นในตะวันออกกลางและมี โอกาส outperform SET มากสุด ได้แก่ PTTEP (ซื้อ/เป้า 180.00 บาท) คาดว่าจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นโดยบริษัทมีสัดส่วนปริมาณน้ำมันดิบคิดเป็นประมาณ 27- 30% ของปริมาณยอดขายรวม
นอกจากนี้เชื่อว่าปริมาณขายเฉลี่ยจะกลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/66 เมื่อเทียบไตรมาสก่อน หลักๆจาก 1.ปริมาณขายเฉลี่ยของโครงการ G1/61 ที่สูงขึ้น และ 2.การกลับมาดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ G2/61
โดยหุ้น/อุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจาก “ความตึงเครียดที่สูงขึ้นในตะวันออกกลาง” 1.กลุ่มพลังงาน มองว่าข่าวนี้จะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น
โดยคาดว่าหากสงครามยืดเยื้อและมีการลามไปถึงความสัมพันธ์ของประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นๆในภูมิภาคตะวันออกกลาง ก็จะสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบยืนสูงได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้มองว่าหุ้นที่รับประโยชน์มากที่สุดต่อข่าวนี้ คือ PTTEP
สำหรับหุ้น/อุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะเสียประโยชน์จาก “ความตึงเครียดที่ สูงขึ้นในตะวันออกกลาง” 1.กลุ่มท่องเที่ยว มีมุมมองเป็นลบเล็กน้อย จากการได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่มีโอกาสลดลงได้ โดยจำนวนนักท่องเที่ยวอิสราเอลช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.6 แสนคน เทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 17.8 ล้านคน หรือ คิดเป็น 0.9% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้ออาจจะกระทบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสราเอลรวมถึง Middle east ด้วย ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้รวมกันอยู่ที่ 5.7 แสนคน หรือคิดเป็น 3.2% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
โดยกลุ่มท่องเที่ยวที่มองว่าจะมีผลกระทบมากที่สุด เรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทย ได้แก่ ERW (ซื้อ/เป้า 6.50 บาท), CENTEL (ถือ/เป้า 48.00 บาท), SHR (ถือ/เป้า 3.00 บาท), MINT (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) และกลุ่ม Aviation อย่าง AOT (ซื้อ/เป้า 84.00 บาท) นอกจากนี้ยังกระทบต่อ BAFS (ซื้อ/เป้า 35.00 บาท) ด้วย
โฆษณา