11 ต.ค. 2023 เวลา 13:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Ahsoka: ศิษย์ อาจารย์ และการเติบโต

คำเตือน! บทความนี้
เหมาะกับคนดูซีรีส์ #Ahsoka
จบแล้วเท่านั้น
ขอทุกท่านจงหลับตา
ผสานกายและจิต
ให้เป็นหนึ่งเดียวกับฟอร์ซ
และมาสัมผัส “แก่นแท้” ไปด้วยกัน
ฮูแยงพร้อมยัง? พาข้าไปที!
.
.
.
- “คนสำคัญ” บางคนไม่เคยหายไปไหน แค่ย้ายจากหัวใจ ไปอยู่ในความทรงจำ คอยย้ำเตือนว่าเราไม่ได้สู้อยู่ลำพัง กี่หมื่นพันสงครามที่เราเคยร่วมฝ่าฟันกันมา กี่ห้วงเวลาที่เราได้พูดคุย ฝึกฝน แลกเปลี่ยนตัวตน เติมเต็มประสบการณ์ และจิตวิญญาณระหว่างกัน ภาพโฮโลแกรมเหล่านั้นของอนาคิน หาใช่เพียงเครื่องบันทึกคำสอนซะทีเดียว หากแต่เป็นสื่อแทนใจ แทนเรื่องราวมากมายที่มีความหมายต่อใจอโซก้าเหลือเกิน
- สิ่งที่เชื่อม “อโซก้า” และ “อนาคิน” ไว้อย่างแนบแน่น นอกจากความผูกพันแล้วก็ยังมี “พันธะ” บางอย่างที่ทั้งคู่ยังทำไม่สำเร็จ และไม่มีโอกาสได้สานต่ออีกแล้ว เมื่อเธอพลาดท่าให้เบลัน ตกหน้าผ้าลงพร้อมหมดสติไป ฟอร์ซของพวกเขาเลยกลับมาเชื่อมถึงกันอีกครา
และครั้งนี้อนาคิน มาเพื่อฝึกเจ้า “Snips” ตัวน้อยของเขาให้สำเร็จ ซึ่งหากใครยังจำได้ในสงครามที่ผ่านมา จุดอ่อนหลักของอโซก้าคือการที่เธอมักจะตั้งคำถามตลอดช่วงสงครามโคลนว่า เราจะต่อสู้ไปเพื่ออะไร? ทำไมถึงต้องมีคนมาตายในสงครามแบบนี้? ทำไมและทำไม!!? จิตที่ลังเลแบบนี้เองที่ทำให้เธอมักพลาดท่าศัตรูเสมอ
อนาคินจึงพยายามย้ำเตือนให้อโซก้าเข้าใจ นั่นคือไม่ว่าเราจะเลือกยืนจุดไหน ถึงเวลาจำเป็นต้องสู้ เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสู้ เพราะบางทีเรื่องทุกเรื่องก็ไม่ได้มีเหตุผลหรือวิธีแก้ปัญหาเสมอไป ไม่ใช่เพราะมันถูกต้อง แต่มันจำเป็นต้องทำ ไม่ว่าจะเพื่อคนอื่น หรือเพื่อปกป้องตัวเอง "วิธีเดียวที่ข้าจะปกป้องเจ้าได้ คือต้องสอนให้เจ้ารู้วิธีปกป้องตัวเจ้าเอง
สังเกตได้ว่าอนาคินพยายามบีบให้ศิษย์สู้กับเขาทั้งในภาพของ “Anakin Skywalker” และ “Darth Vader” เพื่อสื่อให้เธอรู้ ไม่ว่าจะเป็นใคร มีความคิดแบบไหน เมื่อถึงเวลาต้องสู้ เธอก็ต้องกล้าพอที่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเองให้ได้! “Live or Die” จะอยู่หรือตาย? จงเลือกเอา!
- ส่วนหนึ่งเชื่อว่าสิ่งที่อนาคินได้มอบให้อโซก้า คือความพยายามเติมเต็มสิ่งที่เขาไม่เคยได้ตั้งแต่สมัยเป็นพาดาวัน ทุกครั้งที่อยากแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ดี ก็มักจะเจอขัดอยู่ร่ำไป ยังก่อนเจ้ายังไม่พร้อมหรอก ตลลอดจนช่วงเวลาอันปวดร้าว เปลี่ยวเหงา ไม่แน่ใจในตัวเองที่สุด แต่ทั้งสภาเจไดและแม้แต่อาจารย์อย่างโอบีวัน กลับไม่มีใครสังเกต ใส่ใจรายละเอียดเหล่านั้นมากพอ จนพยายามแก้ทุกอย่างด้วยตัวเอง กลายเป็นทุกอย่างมันสายเกินไป ถึงจะเป็นเวเดอร์ผู้ทรงพลัง แต่หัวใจกลับปวดร้าวแตกสลายเหมือนตายทั้งเป็น
เมื่อเจอลุคผู้เป็นลูกชาย ชีวิตจึงกลับมามีประกายความหวังขึ้นจากข้างใน และไม่ปล่อยให้โอกาสที่สองหลุดลอย ในการช่วยคนที่เขารักอย่างสุดหัวใจ เช่นกันกับอโซก้า ที่แม้จะเติบโตเป็นนักรบสาวสุดแกร่งแห่งกาแล็คซี่ แต่มุมของอาจารย์คนนี้ เธอก็ยังคงเป็นเจ้าเด็กดื้อจอมซนที่กวัดแกว่งไลท์เซเบอร์คู่ พร้อมแววตาที่เคลือบด้วยความเชื่อมั่นและลังเลอยู่ในขณะเดียวกันเหมือนดั่งวันวาน
จากมุมนี้ “อาจารย์” จึงไม่ใช่แค่ผู้ฝึกฝน แต่เป็นคนที่พร้อมจะอยู่ข้างศิษย์อยู่เสมอ และอนาคินก็เป็นตัวอย่างนั้น แม้ในวันที่
อโซก้าไม่เหลือใคร โดนสภาเจไดขับไล่ วันที่ทั้งกาแลกซี่หันหลังให้เธอ ก็ยังมีเขาคอยอยู่เคียง พร้อมให้ทั้งศรัทธา ความเชื่อมั่น จนถึงวันที่จากไป ก็ยังคงหาทางกลับมาเจอ “He was a good master: ท่านเป็นอาจารย์ที่ดี” ประโยคนี้ประโยคเดียว คงบอกอะไรเราได้โดยไม่ต้องบรรยายใดๆ
จิตวิญญาณนี้จึงถูกส่งมาให้เธอคอยซัพพอร์ต “ซาบีนเร็น (Sabine Wren)” ลูกศิษย์จอมพยศด้วยความอดทน เข้าใจ พร้อมให้โอกาสกัน และมุ่งมั่นที่จะฝึกสาวแมนดาลอร์คนนี้ให้สำเร็จ
- การที่อโซก้าเคยโดนสภาเจไดขับไล่ นั่นจึงทำให้เธอ “ไม่ใช่” ทั้งเจไดและซิธ เปรียบดั่งทางสายกลางที่อยู่ระหว่างเส้นแบ่งสองเส้น คอยต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่เธอเชื่อมั่น และยุติมหาสงครามที่ควรเลี่ยงอย่างยิ่ง จนค่อยๆ ค้นพบคำตอบระหว่างทางไปเรื่อยๆ
หรือแม้แต่ “เบลัน สกอล (Baylan Skoll)" ทหารรับจ้างที่พา “ชิน ฮาติ (Shin Hati)” ลูกศิษย์ ลุยตวัดไลท์เซเบอร์สีส้ม (คล้ายสีแดงของซิธ) ก็ไม่ได้เรียกตัวเองเป็นซิธลอร์ด เพราะเป้าหมายเขาคือการหวังใช้อำนาจของ “จอมพลธรอน (Grand Admiral Thrawn)” ในการกวาดล้างอำนาจเก่าๆ ของทั้งพวกเจไดและซิธ หยุดวัฏจักรการต่อสู้ของสองขั้วอำนาจนี้ให้หายไป เพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่มั่นคงกว่าขึ้นมา
จุดนี้มองว่าเรื่องกำลังจะสื่อบางอย่างให้เราเห็น นั่นคือชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่เพียงสองด้าน บางทีมันอาจจะเทาๆ ไม่ขาวและดำ ไม่ใช่ว่าเจไดแล้วต้องดี ซิธต้องชั่วเสมอไป เราอาจเพียงแค่หาคำนิยามมากำหนดคุณค่าของตัวเองและอีกฝ่ายเพื่อแยกความต่างระหว่างกัน เมื่อไม่ได้มองแค่สองเฉดสี สองมุมมองเดิมตรงนั้น จักรวาลย่อมเผยให้เห็นถึง “อีกด้าน” ที่เป็นไปได้ขึ้นมาเอง
เมื่อไม่ยึดติด ทางเลือกใหม่ยอมเกิดตามมา
มุมนี้เบลันและอโซก้าอาจเป็นตัวแทนเทพพระบิดา ผู้อยู่ตรงกลางระหว่างลูกสาว (ด้านสว่าง) และลูกชาย (ด้านมืด) ก็เป็นได้ (มุมมองผมนะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัย)
- “ข้อดีของตัวร้าย” เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินประโยคตอนเด็กอยากเป็นฮีโร่ ตอนโตกลับเข้าใจตัวร้ายมากขึ้น “ธรอน” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวร้ายที่เต็มไปด้วยมิติและมีเสน่ห์น่าติดตามอย่างยิ่ง ถอดบทเรียนวิธีคิด วิธีการทำงานจากเขามาปรับใช้ได้
ซึ่งความร้ายกาจของเขาคือ “มันสมอง” ที่ฉลาดลึกดั่งหอกทิ่มแทงศัตรู ทำงานรัดกุม เก็บรายละเอียดการศึกทุกเม็ด มองทุกความเป็นไปได้ มองเกมขาด เหมือนมีกระดานหมากรุกในมือให้เห็นภาพรวมแล้วค่อยๆ เจาะเข้าไป รู้เขารู้เรา เฝ้ามองพวกกบฏอย่างลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ ศึกษาข้อมูลอโซก้าและอาจารย์ผู้ฝึก จนมองกลยุทธ์เธอออกอย่างง่ายดาย
ตอนรู้ความจริงก็แค่ตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเก็บอาการได้อย่างไว และหาทางรับมืออย่างสุขุม เยือกเย็น “ถ้าอาจารย์ของเธอคือนายพล Skywalker (หรือเวเดอร์ที่เขาเคยทำงานด้วย) งั้นเธอก็เป็นพวกที่คาดเดาไม่ได้!”
ขณะเดียวกันก็ยอมถอยเป็น ยอมเสียเบี้ยเพื่อหาทางพิชิตขุน เสียบางจุด เพื่อจะไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า อย่างที่ส่งยานไท์น์ไฟต์มาทำลายยาน พวกอโซก้าเพื่อจะปิดโอกาสอีกฝ่ายให้มิด เรียนรู้จากที่เคยเสียท่าให้ “เอซร่า บริดเจอร์ (Ezra Bridger)” ท้ายซีรีส์ Rebels มาแล้ว และจะไม่ยอมพลาด ไม่ประมาทอีก แม้เจไดเพียงคนเดียว
ความรัดกุมนี้ได้สะท้อนไปถึงการแต่งตัวที่ยังคงเนี้ยบ ถึงชุดขาวจะอมเหลืองและชำรุดตามกาลเวลา ทว่าโดยรวมคือเป๊ะทั้งเสื้อผ้าหน้าผม สีหน้า แววตา น้ำเสียงที่ยังคงเย็นเฉียบ ทรงพลังและร้ายกาจยิ่งกว่าเก่า แบบรอบนี้ไม่ต้องลงมือเองให้เหนื่อย เพราะเขาทำแค่อ่านเกม วิเคราะห์ ออกคำสั่ง มองสถานการณ์ใหม่ และโต้ตอบอย่างเด็ดขาดที่สุด
ไม่แปลกที่ใจที่จักรพรรดิ“พัลพาทีน (Palpatine)” หรือ “ดาร์ธ ซีเดียส (Darth Sidious) ผู้ไม่เคยต้องการให้คนเผ่าพันธุ์อื่น (นอกจากมนุษย์) ขึ้นมามีอำนาจในจักรวรรดิของเขา แต่ความฉกาจฉกรรจ์ของธรอนได้ทลายกำแพงนั้นทุกอย่าง จนปรมาจารย์ซิธลอร์ดยอมรับในความสามารถและมอบตำแหน่งจอมพลให้
ธรอนจึงเป็นอีกคนที่ทุกคนในจักรวรรดิต่างเกรงกลัว ไม่ใช่เพราะยศอันสูงส่ง แต่เพราะความเก่งกาจขั้นสุดที่ไม่ค่อยมีใครกล้ามาแหย่ ถ้าเวเดอร์คือ “ที่สุดแห่งฝ่ายบู๊” ธรอนก็เป็น “ที่สุดแห่งฝ่ายบุ๋น” ชนิดที่ไม่เคยมีกบฏหน้าไหนชนะเขาได้เลย นับเป็นตัวร้ายที่ทำให้ตัวเอกดูแย่อย่างแท้จริง
และน่าคิดว่าเขากำลังจะทำอะไรต่อไป? เพราะการหันมาร่วมมือกับเหล่าแม่มด “Nightsister” ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกซีเดียสกวาดล้างเผ่าพันธุ์ที่ดาว Dathomir ช่วงสงครามโคลน ด้วยความหวาดกลัวพลังเวทย์มนตร์ จึงชวนให้สงสัยว่าเขายังคงภักดีต่อนายเก่าอยู่จริงหรือไม่? การกลับมาดาวที่เคยเป็นอีกหนึ่งตำนานในครั้งนี้ ย่อมมีแผนการอะไรลึกซึ้งแน่
- “นักการเมือง” เป็นหนึ่งในคนประเภทที่เทาๆ แบบค่อนไปทางดำกันหลายคน ใครเห็นต่าง ขัดหูขัดตา ก็พร้อมเขี่ยออกทุกวิถีทาง ใครทำท่าจะมีผลประโยชน์ มีโอกาสได้ชัย ก็พร้อมจะเกาะเลียขาไว้แบบไม่ลังเล
“ท่านเคยอยู่ในสงครามมั้ย ท่านรัฐมนตรี? ท่านก็แค่รอเกาะว่าใครจะชนะแล้วได้มีอำนาจ” -
เฮร่า ซินดูลลา (Hera Syndulla)
มงลงมากค่ะแม่!!! ปรบมือออออ
- ความเป็นครอบครัว ไม่ใช่เพียงการสืบสายเลือดอย่างเดียว หากแต่เป็น “จิตวิญญาณ” ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อลูกคือภาพสะท้อนตัวตนของพ่อและแม่ จนรู้สึกเหมือนตัวละครที่เรารักนั้นยังไม่เคยหายไป “เคนัน จารัส (Kanan Jarrus)” หรือ “เคเล็ป ดูม (Caleb Dume)” ยังคงอยู่ในใจพวกเรา เลือดเจไดยังคงเร่าร้อนอยู่ในตัว Jacen ผู้เป็นลูกชาย
- เมื่อนักรบผู้มี Force Sensitive ฝึกไปถึงระดับที่เป็นหนึ่งเดียวกับพลัง ศาสตราอาวุธจึงหาได้มีความหมายอีกต่อไป เหมือนที่อโซก้าบอกซาบีนว่าการเป็นเจไดไม่ใช่แค่การตวัดไลท์เซเบอร์ไปมา เจ้าต้องเป็นมากกว่านั้นอีกมากเลย อย่างวันนี้ที่เอซร่าเลือกจะไม่ใช้มันอีกต่อไป 1. เพราะเขาให้ซาบีนไปแล้ว 2. พลังคือมิตรสหายของเขาอย่างแท้จริง ถึงสู้มือเปล่าก็มีอาวุธจากภายในคอยเป็นเพื่อนร่วมทาง
- “ซาบีน” และ “อโซก้า” ยังทำให้เห็นว่า ในชีวิตนั้นถ้าเป็นเพื่อน ครอบครัว และคนที่เรารักมากมาอย่างยาวนาน ต่อให้ไกลสุดขอบจักรวาล ก็จะตามหาให้เจอ อย่างน้อยการลงทุนของซาบีนก็คุ้มค่า เพราะได้พาเอสร่ากลับบ้านที่คุ้นเคย “I know I can count on you 😉”
ซีรีส์นี้จึงให้อะไรมากกว่า
คำว่า “Fan Services”
เสมือนพาเรานั่งยาน The Ghost
กลับไปเปิดลิ้นชักความทรงจำ
ได้กลับมาเจอผองเพื่อนเก่า
สัมผัสกับเรื่องราวครั้งก่อน
ที่ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์ขึ้นไปอีก
พร้อมยังสอดแทรกแง่คิดหลายอย่าง
ชวนให้กลับมาทบทวน
และมองตัวละครเก่าในแง่มุมใหม่ๆ
เป็นคุณค่าที่มีกี่เครดิตก็ซื้อไม่ได้
เพราะมันจะยังอยู่ในใจ
อยู่ในฟอร์ซที่ไหลพล่าน
ผ่านมิตรภาพ ความรัก อุดมการณ์
เรื่องราวระหว่างทางอีกมากมาย
สุดท้าย ขอพลังจงสถิตอยู่กับทุกท่าน
เช่นเคย จากนี้ และตลอดไป
**ท้ายสุดอีกที ชินน่ารักมาก
ด้านมืดก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว
คนอะไรมีหน้าเดียว
คือ “น่ารัก” ไง แฮร่ๆๆ ><
ขอบคุณเพจ: @Star Force สหายเจไดจากดาวทาทูอีน ผู้คอยซัพพอร์ตผมเสมอมา ถ้าไม่มีเขา บทความนี้คงไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ”
“May the force be with you, always. You know you can count on me too 😊
โฆษณา