ธุรกิจในอาเซียนดิ้นรนเพื่อรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานจากสงคราม
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างอิสราเอลและฮามาสส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจในอาเซียน สงครามส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศอาเซียนช้าลง สงครามยังได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ทำให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าเป็นเรื่องยากและมีราคาแพงสำหรับธุรกิจในอาเซียน
สงครามดังกล่าวสร้างความเสียหายอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเป็นอย่างมาก ในประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี สิ่งนี้ส่งผลให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนทางธุรกิจลดลง ในอินโดนีเซีย สงครามส่งผลให้รูเปียห์อ่อนค่าลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้ทำให้ธุรกิจในอินโดนีเซียนำเข้าสินค้ามีราคาแพงมากขึ้น และลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
สงครามยังส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอาเซียนอีกด้วย นักท่องเที่ยวจำนวนมากยกเลิกการเดินทางไปยังภูมิภาคนี้เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย นี่เป็นความเสียหายครั้งใหญ่ต่อเศรษฐกิจของไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งล้วนต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
สงครามอิสราเอล-ฮามาสถือเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจอาเซียน สงครามดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกหยุดชะงัก และสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รัฐบาลอาเซียนจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบของสงครามที่มีต่อเศรษฐกิจของตน ขั้นตอนเหล่านี้อาจรวมถึงการให้เงินอุดหนุนแก่ธุรกิจและผู้บริโภค การส่งเสริมการผลิตในประเทศ และการกระจายแหล่งพลังงาน
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
