13 ต.ค. 2023 เวลา 03:43 • ปรัชญา
พระพุทธเจ้า ท่านเป็นประธานของธรรม ให้จิตที่มาศึกษาธรรมของท่าน จิตศึกษาธรรม นำไปประพฤติปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศลบารมี ตามรอยของท่าน ให้จิตตนเองพ้นทุกข์
เค้าศึกษาธรรมกันด้วยจิต..มิใช่เอาอารมณ์มาศึกษาตามความอยาก เค้าจึงต้องมีการกระทำฝึกให้สติของจิตตื่นขึ้นมา มิใช่สติของอารมณ์นึกคิดปรุงแต่ง ทำไปจนให้จิตเข้มแข็ง เป็นจิตดวงเดียว .ไม่มีอะไร รบกวน ..จึงหยิบจับในสิ่งที่เป็นนามธรรม โลภโกรธหลง เอาจิตที่เป็นนามธรรม กับนามธรรม .นำคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ..เรื่องความหลงใหลมายา มันเป็นไปมาอย่างไร จิตจะแก้ไขมายานั้นอย่างไร
นั่นเป็นเรื่องปัญญาธรรมของจิตดวงนั้น ต้องปฏิบัติธรรมขึ้นมาเอง ที่มีเป็นขั้นเป็นตอน เหมือนเข้าโรงเรียนฝึกหัด ..เหมือนโรงเรียนทหาร ฝึกหัดไม่ได้ไปรบกับใครที่ไหน ..ฝึกหัดไปรบกับอารมณ์ในเรือนกาย..ไม่ใช่โรงเรียนเรียนรู้แค่จำ..จิตเรียนรู้เป็นขั้นตอน เป็นชั้นๆ ..ไปจนจิตนั่น สำเร็จบรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตดวงใดจะเข้าเรียนรู้ ..ก็ต้องสมัครใจเอง มีวินัยธรรม..ในการประพฤติปฏิบัติธรรม การสร้างบุญกุศล..ก็เพื่อให้จิตของตนเองขยับขยายกว้างขวาง จิตโตขึ้นมา ..
จิตผู้ใดมีบุญกุศลบารมี ก็มาศึกษา นำไปประพฤติปฏิบัติตามได้ ..ใครมีสติปัญญา มองเห็นทุกข์ รู้จักทุกข์เกิดๆตายๆ ก็อยากหนี ..ท่านก็ชี้ทางไว้ให้ ..มันก็มีจิตที่อยากหนีทุกข์ จิตที่ไม่รู้จักทุกจ์ก็ มองไม่เห็นทางที่ทางชี้ให้กระทำขึ้น..รอยของพระ รอยกิริยาของพระ รอยทั้งสี่ ..ปลดเปลื้องเรื่องราวของทุกข์ ที่ต้องอาศัยความเพียร ความขันติอดทน..เดินในทางที่ท่านชี้ไว้..
..รอยของพระทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอน ด้วยจิตที่เป็นมัชฌิมา เฉยๆ ปลดเปลื้องอารมณ์ในเรือนกาย..เพื่อให้จิตเข้าถึงธรรม หลุดพ้นเวรกรรม ที่นำเกิดนำตาย ที่เป็นสัญญากรรมอยู่ในเรือนกาย ถึงเวลาต้องเจ็บป่วย ถึงเวลาตาย ก็ต้องตาย ตามกำหนดที่เค้าให้เวลา ..ให้มีกายมีลมเข้าออก ..ถึงเวลาตาย ..อะไรๆก็ไม่มีอำนาจ..หยุดยั้งความตาย
เมื่อกายหมดลม..จิตต้องออกจากเรือน..ไปหาที่อยู่ใหม่ ..ที่ทุกข์หรือสุข..อยู่ที่ชีวิตที่มีลมหายใจ ที่เค้าให้โอกาส มาแก้ไข..สะสมบุญหรือกรรม ให้แก่จิตที่ที่ต้องเดินทาง ไปเส้นทางทุกข์ยาวนาน หรือ เส้นทางสุขยาวนาน..สิ่งที่กระทำเมือมีชีวิต
..เมื่อได้โอกาส ..มีกายพ่อแม่เป็นมนุษย์เพียงแปดสิบแปด ที่เค้าให้เพียงสั้นๆ ..จะติดตามนำพาไป..มีกายเป็นมนุษย์..เค้าให้โอกาสเต็มที่จะเลือกทางเดินของจิตผู้มีกรรม..จิตน้อยๆที่ต้องเดินทางไกล เกิดๆตายๆเป็นอเนกชาติ ก็ขึ้นอยู่กับการได้มีกายเป็นมนุษย์ ได้กายพ่อแม่เป็นมนุษย์ พรั่งพร้อมด้วยสติปัญญา .กลั่นกรอง ..เลือกทางเดินให้แก่จิตได้
เมื่อมีกายเป็นหมูหมากาไก่ ..นำมากระทำ ..เลือกทางเดินไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกรรม จิตตกอยู่ในสังขารกรรม รับทุกข์สุข กินนอนในสังขารกรรมไป ..รอให้ถึงความตาม ..จิตก็สะสมแต่กรรม จิกกินหล่อเลี้ยงสังขาร ..สุขที่กินอิ่มหลับนอนในสังขารกรรม รอวันตาย..
เรื่องราวของพระพุทธเจ้า นั้นมันมีความแคกต่างๆ จากเรื่องของนักปราชญ์ปรัชญามากมายก่ายกอง นักปราชญ์นักปรัชญาอยู่กับกรรม ก็ไม่รู้จักจักกรรม ทำไมเป็นอย่างนั้น เป็นเพราะผู้ที่..ได้ยินได้ฟัง ..เรื่องราวของท่าน ก็เพียงเรียนรู้ไปตามที่เค้าว่ากัน วิตกวิจารณ์ไปตามอารมณ์ทิฐิความคิดเห็นของตนเอง
คำว่าตรัสรู้ มีความหมายเป็นอย่างไร มันยากที่จะมีจิตใจของใครสักคนหนึ่งที่ สามารถเข้าถึงได้ ..คนเราส่วนมาก ก็ติดสุขในทรัพย์สมบัติ เงินทอง ร่ำรวย..เจ้าชายสิทธัตถะ ก็เกิดมาในเวียงวัง แล้วก็ทิ้งเวียงวังไปอยู่ป่า กลายเป็นคนจน ..เรียนรู้อะไรมากมาย จากการที่ไม่มีอะไร ไม่มีข้าทาสบริวาร ไม่มีทรัพย์สินเงินทองติดตัว ไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหาย ไม่มีคนที่จัดสรรข้าวปลาอาหารมาบำรุงบำเรอให้ เวลานอนก็อาศัยใบไม้แห้งมาปูนอน เอาไม้มาหนุนศีรษะ ร้อนหนาว ฝนตกแดดออกก็อยู่ในเสื้อผ้าชุดเดียว ..แวดล้อมด้วยสัตว์ป่าที่ดุร้าย ..
..ไปนอนกลางป่า ..อยู่ตัวคนเดียว มีนักปราชญ์ที่ไหน ไปนั่งนอนตากแดดตากฝน ในกลางป่า อาหารการกินก็ไม่มีใครปนปรนให้ ท่านก็อยู่กลางป่า นั่งนิ่ง กายนิ่ง จิตเฉย..นักปราชญ์ผู้ใดมีปัญญาไปนั่งนิ่ง..เฉย.. รักษาการนิ่ง
..พอกายนิ่งจิตนิ่งกายสังขารไม่ขยับเขยื้อน ก็ไม่ได้ใช้พลังงานอะไรมากมาย นานๆ หลายวันท่านก็ ลุกเดินไปหาใบไม้ ลูกไม้ในป่า มาประทังสังขาร แล้วก็นั่ง เดิน ยืน นอนในกลางป่า ท่านมีสติมีความเพียร เรียนรู้จากสิ่งที่ปรากฏขึ้นในกายที่ มากระทำ จากการปฏิบัติชำระสะสางจิตของท่าน เพื่อยุติ จนบรรลุธรรม จิตหลุดพ้น
คำว่าจิตหลุดพ้น..มันพูดกันได้ง่าย ..ผู้ที่ไม่ได้ลงมือประพฤติปฏิบัติ ..เดินตามร่องรอยขอ
ท่าน ที่ท่านชี้แนวทาง ว่ามาทางนี้นะ สร้างบุญกุศลบารมี สร้างทาน สร้างบุญ สร้างบารมี เราศึกษาไปลึกๆ พระพุทธเจ้า ..ท่านก็ไม่ได้เขียนเรื่องราว สอนอะไรจดบันทึกอะไร ..มีแต่ขี้สาวกของท่านให้ ชี้เรื่องราวที่ยึดถือ ชี้เรื่องราว ที่จะหนี การเวียนว่ายตายเกิด
จิตที่สะสมบุญกุศลที่ท่านจุติลงมาเกิด เพื่อฟังธรรมจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นชาติสุดท้าย ล้วนเป็นจิตที่เต็มไปด้วยบุญกุศลบารมีมาเต็มที เหมือนดอกบัวพร้อมที่จะบาน เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ พอได้ฟังธรรม ต่อเบื้องพระพักตร์ พระสุรเสียงของท่าน สามารถเข้าไปสะกิด เปิดจิตของพระสาวกของท่าน ..ช่วยให้เข้าถึงธรรมบรรลุธรรม จิตหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์
มันจึงมีเรื่องราวของผู้ที่สร้างบุญกุศลบารมี เพื่อจะได้รับการคัดเลือก ..ไปเกิดในยุคต้นองค์พระศรีอริยะเมตตไตรย ..เพื่อให้ทันฟังธรรมจากท่าน ..หากไปเกิดไม่ทัน .จิตก็ต้องเดินเกิดตาย ไปอสงไขย ไม่รู้ว่าไปอยู่ในภพเปรตอสุรกาย นรก ที่มีแต่ความทุกข์
คราวนี้ ..เมื่อคนเราจิตของเรา มันรับรู้ไม่ได้ มองไม่เห็น นรกสัตว์เปรตอสุรกาย เมื่อมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าจิตที่มีกรรม ทำไมไปอยู่ในสภาพแบบนั่น เหมือนที่เราก็เห็นสัตว์ที่อยู่รอบตัวด้วยสายตา ..ในรูปสัตว์ ก็มีจิต ในรูปคนก็มีจิต
..เราก็ไม่เคยศึกษา ว่าจิตที่เคยเป็นคน ทำไมถึงไปเกิดอยู่ในรูปสัตว์ ..รูปสัตว์ก็มีมากมายก่ายกองที่จิตอาศัย ..เค้าไม่ได้ไปนั่งคิดพิจารณาแบบนั้นปรัซญานักปราชญ์..นั่งอุปโลกน์มโนขึ้นมา ว่าจิตเป็นอย่างนั่นอย่างนี้ มีนักปราชญ์ปรัชญาคนไหนบ้าง ..ที่รู้จักคำว่าจิต กายอารมณ์จิต ..แม้กระทั่งนักจิตวิทยาจิตเวช รู้จักคำว่าจิตมั้ย
คำว่า จิต..นั่นพูดง่าย ..จิตก็เป็นคือต้วเรา ที่อาศัยกาย ถูกปรุงแต่งด้วยอารมณ์ อารมณ์นั้นมันมาจากไหน ไหลมาจากไหน ..ทำอย่างไร เราถึงจะรู้จัก ตัวต้นของเราที่อาศัยในกายนี้ที่แท้จริง ทำไมตัวตนของเราเองต้องยึดเรือนกาย ทีมีอารมณ์ราคะตัณหา อารมณ์ต่างมากมาย มันมาจากไหน ที่เกิดขึ้นในเรือนกาย อารมณ์นึกคิดมาจากไหน ทำไมต้องยึดกาย ..เราไม่ยึดกาย กายที่เกิดแก่เจ็บตาย
..ทำอย่างไรให้จิตหลุดพ้น ..เค้าจึงมีการประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง .แข็งแรง..ทั้งกายทั้งจิต ..มีสติปัญญา ที่จะบังคับกายให้อยู่นิ่งเฉย ให้จิตนิ่งเฉย ..แล้วก็อาศัยจิตนั่น..ขจัดในสิ่งที่ไหลเข้ามาปรุงแต่งกาย ขจัดออกไป ..แม้ความเจ็บปวด ..ที่เกิดขึ้น เค้าก็ต้องฝึกทนทนทุกข์ ให้จิตมีขันติอดทน ปลดเปลื้องเรื่องราวของทุกข์ พอปลดเปลื้องอารมณ์ ปลดเปลื้องทุกข์ไปเรื่อยๆ จิตก็จะมีความเข้าใจ เข้าใจเรื่องราวต่างๆ
เรื่องราวของพระมหากัสสปะ ที่ท่านออกบวช เมื่อยามเฒ่าชรา ความเพียรของท่าน เดินไม่ไหว ..ท่านก็คลาน ..เหมือนเดินจงกรม ..เพื่อให้เพื่อขจัดความทุกข์ที่ปรากฏในกายสังขาร ที่ผุดขึ้นมา ..
..ท่านก็อาศัยจิตของท่านขจัด (จิตใจที่ไม่แข็งแกร่ง ไม่สามารถเอาเรือนกายที่เฒ่าชรา มากระทำได้ มีพระท่านเล่าว่า ท่านคลานไม่หยุดทั้งที่..มือและหัวเข่า มีบาดแผลที่เจ็บปวด ท่านก็พากเพียร เดินเข้าปลดปล่อยอารมณ์ ให้จิตเป็จิตของธรรม) ขจัดสิ่งเป็นอารมณ์ เป็นต้นเหตุให้ทุกข์ ที่ไหลออกมาจากเรือนกาย แล้วท่านก็ทำสำเร็จ จนจิตท่านหลุดพ้น ..ท่านมีธุดงค์วัตรเป็นเลิศ
ในการศึกษาธรรมของจิต มันก็มีเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเรือนกาย เค้าจึงจับกายมาอยู่นิ่งๆ แล้วเอาจิต..จิตที่เป็นจิต ..ทำจิตให้เหลือแต่จิตดวงเดียว หรือ จิตเป็นหนึ่งเสียก่อน ..เพื่อจะศึกษาเรื่องราวในสิ่งที่แรุงแต่งในเรือนกาย ทำไมจิตถึงหลงใหล มันมาจากไหน ..เค้าก็อาศัยจิตนั้นแหละ ไปขจัดยุติไปดับสิ่งที่ไหลออกมา พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระอรหันต ท่านก็มากระทำในรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..ทำไปจนสามารถ จับกายให้นิ่ง จิตนิ่ง .ได้ตรงนี้ แหละที่ จะมีปัญญาไปศึกษา ยุติดับเหตุให้เกิดๆตายๆ
เรื่องการทำกายนิ่งจิตนิ่ง เค้าฝึกมาเป็นชาติๆหลายชาติ กว่าจะจับกายให้มานั่งนิ่งจิตนิ่ง .ได้ ..มีนักปราชท่านใดกระทำเป็นเยื้องอย่างได้ ..เราก็เห็นมีเพียงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านสงเคราะห์สอนชี้ท่านให้เราได้เรียนรู้จัก เรื่องกาย ..เรื่ิองอารมณ์ เรื่องกรรม เรืองจิต เรื่องมายาของสิ่งต่างๆ เรื่องวิญญาณที่ไปเก็บเกี่ยวอะไรเข้ามาบ้าง เก็บเกี่ยวแล้วสะสมไปอยู่ที่ไหนบ้าง ..มันมีรายละเอียดในเรืองราวปฏิบัติธรรมตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราฝึกหัดเรียกรู้จัก..สนุกสนานที่ปฏิบัติธรรมตามรอยของท่าน..ใครจะไปรู้ว่าเราสนุก .แบบไหน ..มันเป็นเรื่องที่บอกกล่าวกันไม่ได้ เหมือนแล้วโดนเข็มจิ้ม ..ผู้ที่ที่เข็มทิ่งแทง ..ก็พูดเป็นคำพูดได้ ว่าเจ็บ..แต่คนอื่นก็ไม่เจ็บด้วย ..
บางคนก็หมิ่น ดูหมิ่น ดูแคลน ว่าการมานั่งนิ่ง จิตเฉยๆ ว่าโง่เง่าเต่าตุ่น ..ก็ต้องปล่อยเค้าไป..มันเรื่องราวของคนเค้า..ผู้ที่กระทำให้กายนิ่งจิตเฉยได้เป็นวันเป็นคืน..นานๆก็ลุกขึ้นมาขยับเขยื้อนร่างกาย ..จิตใจของท่านมันเหนืออารมณ์ พ้นเรื่องราวโลภโกรธหลง.. เรื่องราวอารมณ์นึกคิด จิตของใครที่เป็นสุข..ไม่มีไฟ..ตัณหาโลภโกรธหลง ..แล้วเรื่องราวหนึ่ง ที่กายนั่นเกิดขึ้น เค้าเรียกว่า กายของพระ จิตของพระ กายก็บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งแล้ว ท่านก็นั่งนิ่งเฉย ..ไม่ขยับเขยื้อน..นั่งเป็นดุจหินท่อนไม้ได้ ..
รอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของจิตที่สะสมบุญกุศลบารมี นักปราชญ์นักปรัชญามีบุญกุศลบารมี สามารถมากระทำได้มั้ย นักปราชญ์สามารถกใช้กิริยาวาจาใจที่ดี มีความนอบน้อมมากระทำได้มั้ย หรือว่ามีแต่ทิฐิยึดตัวตน ยึดอารมณ์ที่ปรุงแต่ง เห็นตัวเองดีแล้ว ..หลงในความเป็นปราชญ์ หลงสรรเสริญเยินยอ
นักปราชญ์ที่ไหนที่มานั่งกระทำขจัดความโลภโกรธหลง ขจัดอารมณ์นึกคิดออกไป มีแต่นักปราชญ์นักปรัชญาหลงอารมณ์นึกคิดในตัวตน ..เราเห็นอย่างนั้น ..เป็นเรื่องของเราเองไม่ได้..ไปติเตียนว่า อะไร เพราะใจเราไม่ใช่นักปราชญ์ปรัชญา ..เราต้องการที่ขจัดอารมณ์นึกคิดที่เราหลงใหล .ให้จิตเราจมลงไปๆ หลงดี เห็นตัวเองดี เรากลัวในสิ่งที่ทำให้จิตเราหลงใหล ในหูตาจมูกลิ้นกายใจ ที่เราต้องใช้ ..ในเมื่อจิตยังอาศัยเรือนกาย ..กลัวอารมณ์ที่ลุกเป็นไฟ กายก็ไม่เป็นสุข..เพราะไฟมันแผลดเผา .ด้วยอารมณ์นึกคิดที่เป็นกองไฟ
อารมณ์ที่เป็นเหมือนน้ำเย็น เพลิดเพลินหลอกว่า เป็นน้ำเย็น เย็นๆมากเข้าๆ น้ำก็จับตัวเป็นก้อน เป็นก้อนน้ำแข็งเมื่อไหร่ กายนี้ก็หมดสภาพ เอามาใช้แก้ไข..เรื่องราวของกายนี้ไม่ได้ นั่นก็คือ สุขที่หลงใหลเรื่องราวที่เป็นมายา..มีมากมาย..ทำให้หลงเพลิดเพลิน..ไม่สามารถมากระทำในรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้..อารมณ์ที่เป็นเหมือนน้ำเย็น ก็เรื่องมาจากของไสยศาสตร์ เวทมนต์ คาถาอาคม..ที่หลงใหล.เราจึงเห็นในบั้นปลายชีวิต.ก็มักเจ็บป่วย ..เรื้อรังติดเตียง เหมือนก้อนน้ำแข็ง เพราะมันเย็นมากเข้าๆ มันก็เป็นแบบนั้น
คำว่า พระ..หมายถึง จิตที่พอละ พอละเรื่องราวของความโลภโกรธหลง ..จิตเป็นพระ ..ไม่มีแล้วเรื่องอารมณ์โลภโกรธหลงที่เป็นคอกกักกันจิต ไม่มีอีกแล้ว ..จิตพ้นไปจากอารมณ์ จิตเป็นพระ ..มีธรรมสถิตย์..อยู่ที่จิตของพระ..
คำว่า กรรม นั่นก็พูดกันได้ .. แต่จะมีใคร เรียนรู้เข้าไปถึงคำว่า กรรมนั้นมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ที่เกิดขึ้นในเรือนกาย ..มันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยจิตของตนเอง เรียนรู้จักกรรมที่เกิดในเรือนกาย มีที่มาเป็นอย่างไร ..เค้าก็เรียนรู้ในเรือนกายของตน ..ไม่ได้ไปเรียนรู้ที่กายผู้อื่น ..
โฆษณา