19 ต.ค. 2023 เวลา 02:30 • ธุรกิจ

กรณีศึกษา การเอาตัวรอดของ BlackBerry

ก่อนที่เราจะเข้าสู่ยุคสมาร์ตโฟนหน้าจอสัมผัส BlackBerry หรือ BB กับการขอพิน นับเป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นฮิตอันดับต้น ๆ มาก่อน
แต่หลังจาก iPhone เปิดตัวไม่กี่ปี BlackBerry ก็เริ่มหายไป จนหลายคนน่าจะลืมชื่อนี้กันไปแล้ว
BlackBerry เคยมีมูลค่าบริษัท สูงถึง 9,000,000 ล้านบาท ในปี 2008
แล้วถ้าถามว่า บริษัทแห่งนี้ ยังอยู่ไหม ?
ก็ต้องบอกว่ายังคงอยู่ แต่ก็ได้ขายธุรกิจโทรศัพท์มือถือออกไปแล้ว ปัจจุบัน มีมูลค่าบริษัทเหลือเพียง 70,000 ล้านบาท มูลค่าหายไป 99% เมื่อเทียบกับ 15 ปีก่อน
 
เรามาดูกันว่ายุครุ่งเรืองของ BlackBerry ฮิตขนาดไหน แล้วปัจจุบัน บริษัททำธุรกิจอะไรอยู่ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
BlackBerry เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1984 หรือราว 39 ปีก่อน จากวิศวกร 2 คนในประเทศแคนาดา แต่สินค้าตัวแรกกลับไม่ใช่ BlackBerry
เพราะสินค้าตัวแรกคือ “Buggy” ซึ่งเป็นระบบรับส่งข้อมูลแบบไร้สาย ให้กับลูกค้าภาครัฐและเอกชน หนึ่งในนั้นคือ Ford Motor
1
ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า “เพจเจอร์” ที่ใช้ในการรับส่งข้อมูล ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จึงนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แคนาดา
แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะสินค้าที่ประสบความสำเร็จที่เราคุ้นหูกัน ก็คือ BlackBerry หรือ BB ที่สามารถทำยอดขายต่อปี ได้สูงสุด 50 ล้านเครื่องทั่วโลก
โดยมีฟังก์ชันเด็ดคือ สามารถพิมพ์อีเมลบนแป้นพิมพ์โทรศัพท์ได้ และยังมีระบบส่งข้อความแต่ละเครื่องด้วยกันแบบเรียลไทม์ แถมยังฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่าย
1
ซึ่งตลาดโทรศัพท์มือถือในยุคนั้นยังไม่มีแอปแช็ตอย่าง WhatsApp หรือ LINE
การส่งข้อความแต่ละครั้ง ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ทำให้ BB ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งการมาถึงของยุคสมาร์ตโฟนหน้าจอสัมผัสแบบไร้ปุ่มกด ซึ่งนำด้วย iPhone ในปี 2007 และต่อมาก็ Google ที่สร้างระบบปฏิบัติการมือถือ Android
ทำให้เกิดแบรนด์สมาร์ตโฟนหลายรายขึ้นมาจำนวนมาก
นอกจากนี้ แอปแช็ตต่าง ๆ เช่น Facebook Messenger, LINE, WhatsApp ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น และยิ่งทำให้ระบบรับส่งข้อมูลของ BB ดูล้าสมัยไปอีก
BlackBerry ที่มีแป้นพิมพ์ปุ่มกด ก็เริ่มกลายเป็นของตกยุค และพ่ายแพ้ต่อสมาร์ตโฟนไร้ปุ่มกด
และสัญญาณเลวร้ายก็ได้เริ่มเกิดขึ้น
หลังจากปี 2010 เป็นต้นมา
- ปี 2011 รายได้ 719,040 ล้านบาท
กำไร 123,205 ล้านบาท
- ปี 2012 รายได้ 665,438 ล้านบาท
กำไร 42,043 ล้านบาท
- ปี 2013 รายได้ 399,956 ล้านบาท
ขาดทุน 23,333 ล้านบาท
- ปี 2014 รายได้ 246,085 ล้านบาท
ขาดทุน 212,132 ล้านบาท
- ปี 2015 รายได้ 120,460 ล้านบาท
ขาดทุน 10,980 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า รายได้ของ BlackBerry ลดลงเรื่อย ๆ จนทำให้กำไรหดหาย และขาดทุนในที่สุด
แล้ว BlackBerry แก้วิกฤติอย่างไรบ้าง ?
เริ่มจากผู้นำองค์กรอย่าง John S. Chen ที่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะ CEO ของบริษัท ด้วยการตั้งเป้าหมาย “ทำให้ BlackBerry รอดตัวจากวิกฤติครั้งนี้”
1
เขามองว่า BlackBerry จำเป็นต้องโฟกัสในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งที่ตัวเองถนัด และต้องเฉือนธุรกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จออกไป
BlackBerry จึงตัดสินใจขายสิทธิ์การผลิตภายใต้แบรนด์ BlackBerry ให้กับ TCL ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของจีน ในปี 2016
เพราะแบรนด์โทรศัพท์มือถือของตัวเองอาจไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่น ๆ ได้อีกต่อไป การตัดทิ้งออกไป จะทำให้ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้น
และหันมาโฟกัสในธุรกิจที่ตัวเองเชี่ยวชาญแทน
นั่นคือ ระบบความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูล QNX
ซึ่งเคยเป็นจุดเด่นสำคัญของ BB ก่อนหน้านี้
หลังจากนั้น BlackBerry จึงหันมาพัฒนาซอฟต์แวร์ความปลอดภัย QNX และเข้าซื้อกิจการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางด้านข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น
- ปี 2015 เข้าซื้อกิจการ Good Technology ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยของโทรศัพท์มือถือ 15,400 ล้านบาท
- ปี 2016 เข้าซื้อกิจการ Encription บริษัทความปลอดภัยทางไซเบอร์จากประเทศอังกฤษ
- ปี 2018 เข้าซื้อกิจการ Cylance บริษัทซอฟต์แวร์ Antivirus จากสหรัฐฯ 50,600 ล้านบาท
แม้จะเป็นเงินลงทุนที่ไม่น้อยในแต่ละดีล แต่ BlackBerry เชื่อว่ากิจการที่ซื้อเข้ามา จะเติมเต็มธุรกิจระบบความปลอดภัยของตัวเอง และกลายเป็นธุรกิจที่ทำให้บริษัทอยู่รอดได้
1
โดยหากเราไปดูผลประกอบการในช่วง 3 ปีล่าสุดที่ผ่านมา จะพบว่า
- ปี 2021 รายได้ 32,549 ล้านบาท
ขาดทุน 40,240 ล้านบาท
- ปี 2022 รายได้ 26,171 ล้านบาท
กำไร 437 ล้านบาท
- ปี 2023 รายได้ 23,911 ล้านบาท
ขาดทุน 26,754 ล้านบาท
1
เห็นได้ว่า ในบางปีบริษัทเริ่มกลับมามีกำไรได้บ้าง และการขาดทุน ก็เกิดจากการตัดด้อยค่า และการขายสินทรัพย์บางส่วนออกไป
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์แบบนี้ ทำให้ BlackBerry กลายเป็นธุรกิจให้บริการซอฟต์แวร์ความปลอดภัยเต็มตัว และมีรายได้หลักจาก 3 ทาง ได้แก่
- ระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ 64%
- ระบบ Internet of Things 31%
- การขายลิขสิทธิ์การผลิตและอื่น ๆ 5%
ที่น่าสนใจคือ ระบบ Internet of Things ของ BlackBerry ถูกใส่ไว้ในรถยนต์หลายแบรนด์ กว่า 215 ล้านคันทั่วโลก อีกด้วย
ระบบที่ว่านี้ มีตั้งแต่ระบบเซนเซอร์นำทาง ระบบตรวจจับต่าง ๆ รวมไปถึงการสั่งการด้วยเสียง และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์มือถือด้วยความปลอดภัยขั้นสูง
1
ตัวอย่างลูกค้าก็เช่น BMW, Ford, General Motors, Toyota, Audi, Volkswagen และ Volvo
1
และ BlackBerry ก็ได้กลายเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ ของตลาดรถยนต์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากถึง 1 ใน 3
ถึงตรงนี้ แม้ BlackBerry จะไม่ได้เป็นผู้นำในตลาดโทรศัพท์มือถือแล้วก็ตาม แต่บริษัทก็นับว่ารอดวิกฤติมาได้ และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นของตลาดระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์แทน
ปัจจุบัน BlackBerry ก็ยังมีแผนที่จะนำธุรกิจระบบความปลอดภัย และ Internet of Things แยกออกไป IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์
สรุปแล้ว BlackBerry ไม่ได้หายไปไหน
สำหรับธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ก็คือ ขายไปแล้ว
แต่บริษัทก็ยังคงอยู่ กับธุรกิจใหม่ ที่กลายมาเป็นผู้พัฒนาระบบในรถยนต์ ของใครหลายคน..
โฆษณา