20 ต.ค. 2023 เวลา 13:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เจาะลึกกระแสโจมตี 2 บริษัทจัดการกองทุนยักษ์ใหญ่ของโลกจากสหรัฐอเมริกา

พวกเขากำลังจะครองโลกจริงหรือไม่? และฉนวนเหตุของข้อกล่าวหาดังกล่าวมาจากอะไร? วันนี้ EDGE Invest จะพาไปหาคำตอบกัน
╔══════════════════╗
วางแผนลงทุนกับ EDGE ผ่าน
KKP MOBILE APP โหลดเลย!
╚══════════════════╝
🔥 ฉนวนเหตุของข้อกล่าว #BlackRock & #Vanguard ยึดครองโลก
• ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีกระแสโจมตี 2 บริษัทจัดการของทุนขนาดใหญ่ อันดับ 1 และ 2 ของโลกอย่างBlackRock และ Vanguard ว่าทั้ง 2 บริษัทนี้กำลังจะยึดครองโลก
• โดยฉนวนเหตุนั้นมาจากการที่ทั้ง 2 บริษัท...
1). มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่าว่า 17 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ
2). เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทของสหรัฐฯ ราว 88% ของหุ้นขนาดใหญ่ทั้งหมด (หรือถ้าให้ตีเป็นตัวเลขก็คือ 440 บริษัทใน S&P500 มีทั้ง BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่)
3). มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลกเกือบทุกบริษัท! จากทุกภูมิภาคของโลก
😨 ความยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมข้อกล่าวหาที่น่ากังวล
• การที่ BlackRock และ Vanguard เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทชั้นนำระดับโลกจำนวนมากนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นว่า ทั้ง 2 บริษัทมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจกิจการนับร้อยนับพันแห่งทั่วโลกหรือไม่? และทั้งคู่กำลังชักใยบงการเศรษฐกิจโลก รวมถึงอยู่เบื้องหลังด้วยแผนอันชั่วร้ายหรือเปล่า?
🧐 เจาะลึกความจริง BlackRock และ Vanguard
• เรื่องแรก ที่เราต้องทำความเข้าใจคือ BlackRock และ Vanguard เป็นบริษัทจัดการการลงทุนที่ #บริหารเงินลงทุนให้กับผู้อื่น โดยเงินนั้นอาจจะมาจากนักลงทุนรายย่อยทั่วไปอย่างเราๆ ไปจนถึงสถาบันการเงิน เช่น บริษัทประกัน หรือหน่วยงานของรัฐอย่างกองทุนประกันสังคม
ดังนั้น ยอดเงินที่เห็นกว่า 17 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้น ไม่ใช่เงินส่วนตัวของทั้ง 2 บริษัทแต่อย่างใด 💡
• เรื่องที่สอง คือ สัดส่วนหลักของเงินลงทุนของทั้ง 2 บริษัทนั้น อยู่ในกองทุนประเภท #PassiveFund หรือกองทุน “Index fund” (โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 60% ของการลงทุนของ BlackRock และแทบจะ 100% ในกรณีของ Vanguard)
ซึ่งนั่นหมายความว่า #ผู้จัดการเงินไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเลือกสินทรัพย์ลงทุนเอง และต้องลงทุนตามสัดส่วนดัชนีที่ระบุไว้เท่านั้น 💡
• เรื่องที่สาม คือ แม้ว่าทั้ง BlackRock และ Vanguard จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทบทุกบริษัทขนาดใหญ่ของโลก แต่หากดูกันดีๆ จะพบว่าเวลาทั้งสองบริษัทถือหุ้นบริษัทใดก็ตาม สัดส่วนการถือหุ้นแทบจะน้อยกว่า 10% เสมอ
ทำให้แม้จะมีหุ้นในหลายกิจการ แต่ #ทั้งสองบริษัทจะไม่มีเสียงข้างมากในการโหวตลงมติผู้ถือหุ้น นั่นก็หมายความว่าต่อให้ทั้งสองบริษัทจำพยายามโหวตเพื่อผลักดันแผนครองโลกใดๆ หากผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทไม่เห็นด้วย แผนนั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
• เรื่องที่สี่ คือ ทั้ง 2 บริษัทกำลังจะมีนโยบายส่งผ่านสิทธิ์การโหวตต่างๆ สู่ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนประเภท Passive โดยตรง เพื่อกลบข้อครหาว่าพยายามใช้เงินจำนวนมากที่ตัวเองบริหารสำหรับโหวตกำหนดทิศทางของบริษัทที่ลงทุน
🌍 บทสรุปข้อกล่าวหาการครองโลก
• จากข้อเท็จจริงทั้งสี่ที่กล่าวมา เราสามารถพูดได้ว่าทั้ง BlackRock และ Vanguard นั้นแทบไม่มีอำนาจในการควบคุมบริษัทใดๆ ที่ตัวเองลงทุนอยู่เลย แม้ว่าจะมีเงินภายใต้การบริหารมากมาย
นอกจากนั้นบริษัทบริหารจัดการกองทุนยังถูกกำกับด้วยหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้สร้างผลประโยชน์สูงที่สุดให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนด้วย และที่สำคัญที่สุด ธุรกิจของทั้ง 2 บริษัท หากำไรจากเปอร์เซ็นต์บนกองเงินที่ตัวเองบริหาร
ดังนั้น สิ่งที่ทั้ง 2 บริษัทต้องทำ คือ ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนพึงพอใจและไม่โยกย้ายเงินออก ซึ่งการจะทำอะไรที่ดูน่าเกลียด และไม่ดีต่อผลประกอบการ ผู้บริหารของทั้งบริษัทย่อมต้องการหลีกเลี่ยง
สรุปคือ กระแสที่ว่าทั้งสองบริษัทกำลังควบคุมโลกอยู่เพียงเพราะมีเงินลงทุนจำนวนมหาศาลและถือหุ้นในหลายบริษัทระดับโลกนั้นจึง #ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
นอกจากนั้น แม้ทั้ง 2 บริษัทมีแผนชั่วร้ายอยากจะบงการลับหลังแค่ไหนก็ตามก็ไม่สามารถทำได้ด้วยกลไกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน 🚀
#EDGE #EDGEInvest #กองทุนรวม #ลงทุน #วางแผนลงทุน #Oneofakind
โฆษณา