23 ต.ค. 2023 เวลา 11:49 • ความคิดเห็น

เด็กเพิ่งจบ เกรดปานกลาง มหาวิทยาลัยกลางๆ จะโดดเด่นได้อย่างไร

ผมไปเซ็นหนังสือที่งานสัปดาห์หนังสือมาสามวัน มีน้องๆ ที่เพิ่งจบใหม่มาทักทายและขอให้เซ็นต์หนังสือให้อยู่ไม่น้อย หลายคนกำลังสมัครงานและก็บ่นว่าหางานไม่ง่ายนัก
ซึ่งก็น่าจะจริงเพราะนอกจากเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักแล้วน้องๆ ที่จบมาเกรดปานกลาง มหาวิทยาลัยกลางๆไม่ได้โดดเด่นอะไรก็หางานไม่เคยง่ายทุกยุคทุกสมัยเพราะเรซูเม่ที่มีนั้นดูกลางๆ ปะปนไปกับเรซูเม่กองใหญ่ที่ฝ่ายบุคคลมี ไปสัมภาษณ์ก็เด่นสู้พวกเกรดดีมหาวิทยาลัยดีไม่ได้ โอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์หรือสัมภาษณ์แล้วได้งานนั้นไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะงานดีๆที่บริษัทใหญ่ๆ
ที่แน่ๆคือน้องๆเหล่านี้เลือกงานแทบไม่ได้ แค่มีโอกาสสัมภาษณ์ก็ยังไม่ง่าย แถมดูน่าจะว่างๆไปอีกซักพัก ไม่มีใครเรียกสัมภาษณ์ บางคนพยายามคิดจะลองไปเรียนสาขาใหม่ซึ่งก็ใช้เวลาเป็นปีและไม่การันตีว่าจะมีงาน บางคนก็คิดฟุ้งซ่านไปหมด
ถามผมเรื่อยเปื่อยว่า AI จะมาแทนงานอะไรบ้าง ควรเลือกบริษัทที่ทำงานแบบไหนถึงจะเหมาะ ซึ่งถ้าผมเขย่าตัวน้องๆได้ก็คงเขย่าไปแล้วว่า สิ่งที่สำคัญตอนนี้ที่สุดก็คือ การทำให้เรซูเม่ที่ดูพื้นๆของน้องๆที่ส่งไปไหนก็เหมือนกับคนอีก 90% นั้นแตกต่างจากคนอื่นจะดีกว่า
ผมก็เลยลองคิดในมุมส่วนตัวผมเองว่า ถ้าผมเห็นอะไรที่โดดเด่นในเรซูเม่ของเด็กจบใหม่หรือน้องที่ตกงานอยู่แล้วผมจะสนใจแล้วจุดเด่นนั้นสามารถทำได้ในช่วงหลายเดือนที่อาจจะอยู่ว่างๆได้ ลองมาเสนอเป็นไอเดียให้น้องๆ ดูนะครับ
I am a marathon runner
ในฐานะที่ผมเป็นนักพยายามวิ่งมาตลอด ผมรู้ซึ้งถึงความยากและความมีวินัยของการที่ใครซักคนจะฝึกฝนตัวเอง เรียนรู้จากความอดทนจนวิ่งมาราธอนได้ ถ้าน้องคนไหนขึ้นต้นด้วยประโยคนี้ในเรซูเม่หรือตอนที่สัมภาษณ์กัน ผมจะรู้สึกถึงความแตกต่างที่เป็นของจริงได้เมื่อเทียบกับเกรดหรือประสบการณ์ฝึกงานที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง ยิ่งถ้าเจอผู้บริหารที่เคยพยายามวิ่งด้วยแล้วจะยิ่งอินกับประสบการณ์นี้ของน้องๆได้ไม่ยาก
1
เสน่ห์ของวินัยแห่งการเป็นนักวิ่งมาราธอนนั้นทำให้มั่นใจได้ว่าถ้ารับน้องมาทำงาน วินัยนั้นก็จะติดตามตัวมาในการเรียนรู้งานนั้นด้วย แน่นอนว่าผู้บริหารไม่ได้เป็นนักวิ่งกันทุกคน แต่ถ้าเจอคนที่วิ่งแล้วรู้ถึงความยากในการวิ่งแล้ว โอกาสที่จะพูดคุยกันถูกคอและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่นก็มีไม่น้อย แถมมีเรื่องเล่าได้อีกเวลาถูกถามว่าทำไมต้องรับเราเข้าทำงานซึ่งเป็นคำถามมาตรฐานเวลาสัมภาษณ์ ได้แสดงตัวเองว่าชื่อวินัย นามสกุลใจสู้ ไม่ต้องตอบอะไรกลางๆเหมือนคนอื่นซึ่งจะไม่ได้คะแนนอะไรเลย
หลายเดือนนี้นึกอะไรไม่ออกลองหัดวิ่งมาราธอนดูก็ไม่เลวนะครับ วิ่งได้ฮาล์ฟก็พออวดได้อยู่เหมือนกัน ถามว่ายากมั้ย ยากแน่นอนแต่ถ้าเกรดเราไม่ดี มหาวิทยาลัยเราไม่เด่น ก็ต้องใช้ความอึดเข้าสู้เพื่อเพิ่มโอกาสแบบนี้แหละครับ
I am a small business owner
ถ้าน้องคนไหนมีประสบการณ์การค้าขายเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเปิดร้านเล็กๆ หรือค้าขายออนไลน์ที่พอเป็นเรื่องเป็นราวบ้าง ขายของบน shopee lazada เปิด Tiktok มีเพจ facebook ไลฟ์ขายของ ขายโน่นนี่แล้วเอาตัวรอดได้ ผมก็จะสนใจขึ้นมาทันที เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกว่าน้องมีทักษะที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท มีหัวการค้าและน่าจะเข้าใจถึงการยิงแอด จัดการสต๊อกของ
1
ทำ fulfillment เข้าใจถึงการเงินแบบง่ายๆ แล้ว วิญญาณผู้ประกอบการที่มีนั้นก็เป็นสิ่งที่องค์กรยุคใหม่อยากได้ เพราะรู้จักวิธีทำงานให้สำเร็จมากกว่าแค่เสร็จ ไม่ใช่แค่รู้แต่ทฤษฏีแต่เพียงอย่างเดียว องค์กรยุคใหม่ยิ่งอยากหาพนักงานที่มีจิตวิญญาณเถ้าแก่อยู่แล้วด้วย การมีประสบการณ์ในมุมนี้ก็ทำให้เราเล่าได้เป็นฉากๆอย่างรู้จริง ไม่ต้องตอบคำถามกลางๆแบบกลวงๆได้เช่นกัน
โลกนี้อาจจะโหดร้ายหลายอย่าง แต่การเริ่มค้าขายทำธุรกิจออนไลน์นั้นไม่เคยง่ายกว่านี้อีกแล้วไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน
I am a content creator
ถ้าน้องคนไหนมี blog ของตัวเอง เขียนเรื่องที่ตัวเองสนใจ หรือมีช่อง youtube ช่อง tiktok ของตัวเองที่เล่าเรื่องที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกต่างๆ การสะสมของ คอนเท้นชวนชิม พาเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านภาพถ่าย ผ่าน vdo หรือแม้แต่ cast game ก็ตาม ผมก็จะสนใจเป็นอย่างมาก เพราะแสดงว่าน้องๆมีทักษะการเล่าเรื่อง (story telling) แถมผมก็จะได้เห็นฝีมือจริงๆจากงานจริงที่เป็นเสมือน portfolio
แม้ว่าสิ่งที่แสดงนั้นอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับงานโดยตรงก็ตาม คนดูมากหรือน้อยไม่สำคัญเท่ากับงานที่ได้เห็น แถมผู้สัมภาษณ์อาจจะมองเห็นประโยชน์ว่าน้องอาจมาช่วยทำคอนเท้นท์ให้บริษัทได้ แทนที่จะมองว่าเป็นเด็กจบใหม่ที่ต้องสอนแต่อย่างเดียว ทำให้น้องโดดเด่นขึ้นมาได้ในสายตาผู้สัมภาษณ์ซึ่งแก่และทำคอนเท้นท์เองไม่เป็น ตัดต่อไม่เป็น น้องจะโม้อะไรก็ง่ายเพราะเป็นเรื่องที่อีกฝั่งไม่เคยทำและตื่นเต้นกับเรื่องอะไรแบบนี้อีกด้วย
และเช่นกัน เครื่องไม้เครื่องมือสมัยนี้ก็ถูกมาก ช่องทางก็ฟรี ไม่ได้มีอุปสรรคในการเริ่มใดๆ
ผมเพิ่งเจอน้องคนหนึ่งที่งานหนังสือ น้องเขาทำเพจสรุปหนังสือ คนตามยังไม่มากแต่ผมก็ประทับใจในความพยายามและเนื้อหาของเพจ แถมรู้สึกว่าน้องเขาชอบหนังสือและต้องอ่านหนังสือเยอะแน่ๆ แค่บอกว่าทำเพจ ผมก็เห็นภาพน้องเขาเป็นหนอนหนังสือ เป็นคนใฝ่รู้ ไม่ได้เป็นคนกลางๆทั่วไปอีกต่อไป ลองคิดถึงว่าถ้าเรามี content ของตัวเองแล้วโชว์ได้ ก็จะน่าประทับใจและแสดงตัวตนของตัวเองได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับเรซูเม่กลางๆทั่วไป
1
I am a charity worker
ถ้าน้องๆมีประสบการณ์การไปช่วยเหลือชุมชน ไม่ว่าจะไปสอนหนังสือหรือไปทำงานการกุศลต่างๆ อยู่เป็นประจำ ความน่าสนใจของการรู้จักเป็นผู้ให้ การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นเป็นทัศนคติที่องค์กรยุคใหม่มองหาในการสร้างทีม แถมการไปอยู่กับชุมชน
ออกจากความคุ้นชินก็สร้างประสบการณ์และความเข้าใจตลาดในวงกว้างอีกด้วย บริษัทหลายแห่งนอกจากจะมองหาคนเก่งแล้วก็ยังมองหาคนดีด้วยเช่นกัน ไม่ว่าในช่วงเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี งานอื่นๆอาจจะหด แต่งานการกุศล งานช่วยเหลือคน งานอาสานั้นมีความต้องการสูงกว่าช่วงเวลาปกติมาก ไม่มีอุปสรรคในการเริ่มแต่อย่างใด
การที่เป็นหนึ่งในทีมอาสา เป็นคนที่มีจิตสาธารณะก็เป็นคุณสมบัติที่บริษัทใหญ่ๆดีๆต้องการเสมอ แถมเวลาถูกสัมภาษณ์พอพูดถึงเรื่องนี้ก็จะทำให้เราโดดเด่นกว่าการมีเกรดกลางๆและจบมหาวิทยาลัยกลางๆ พูดแต่เรื่องตัวเองซึ่งน่าเบื่อและไม่ได้มีความต่างแต่อย่างใดอีกด้วย
1
ที่ผมเขียนมาชวนน้องๆให้ลองปรับปรุงเรซูเม่ตัวเองในช่วงที่ว่างๆนั้น นอกจากจะทำให้เรซูเม่น่าสนใจขึ้น ทำให้เรามีเสน่ห์มากขึ้นตอนสัมภาษณ์แล้ว การได้ “ลงมือทำ” อะไรบางอย่างในช่วงนี้เมื่อเทียบกับหายใจทิ้งไปวันๆก็เป็นประสบการณ์ที่น้องๆควรจะซ้อมไว้ก่อนทำงานจริงและดีกว่าโทษฟ้าโทษดิน โกรธความโชคร้าย หรือดีกว่าวิเคราะห์ภาพใหญ่ที่ TBU (true but useless) ว่า AI จะแทนมนุษย์หรือไม่ สาขาไหนให้เงินเดือนมากกว่ากัน ฯลฯ
แต่ได้เข้าใจการปฏิบัติจริง ล้มลุกเรียนรู้ไประหว่างทาง นั้นก็เป็นผลพลอยได้จากการพยายามสร้างเรซูเม่ให้โดดเด่นและเผลอๆอาจจะได้เข้าใจตัวเอง ได้เจองานที่ตัวเองชอบหรือหารายได้ได้จริงๆโดยไม่ต้องสมัครงานอีกก็เป็นได้
ถ้ามีใครที่เรียนปานกลาง จบมหาวิทยาลัยปานกลาง แล้วเขียนมาสมัครงานกับผมว่า นอกจากเรซูเม่มาตรฐานแล้วยังเป็น marathoner+business owner+content creator+charity worker ยิ่งทำมันทั้งสี่อย่างเลย ผมเชื่อเลยว่านายจ้างทุกคนจะหูผึ่ง เวลาสัมภาษณ์ก็จะมีเรื่องถามเรื่องคุยที่แปลกออกไป
ซึ่งจะทำให้เรซูเม่เราจะโดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกันแน่ๆ ถ้าทำสี่อย่างนี้ได้ เกรดหรือมหาวิทยาลัยที่เคยเป็นอุปสรรคของเราก็จะไม่มีความสำคัญอีกต่อไป
หัวใจในเรื่องนี้สำหรับผมที่อยากจะแนะนำน้องๆที่จบใหม่หรือจบมาไม่นาน ในชีวิตไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ให้หยุด TBU แล้วลงมือทำ หยุดพูดภาพใหญ่แล้วลงมือพัฒนาตัวเอง หยุดหายใจทิ้งแล้วเอาเวลามาสร้างบรรทัดใหม่ๆในเรซูเม่กันดีกว่า ทำอย่างนึงก็ยังดี
ทำสี่อย่างได้ก็จะสุดยอดมากๆ เพราะทั้งสี่อย่างทุกคนเริ่มกันได้หมด ไม่มีต้นทุน ไม่มีอุปสรรคภายนอกใดๆ อุปสรรคที่สำคัญคือตัวเราเองที่ต้องเอาชนะและเริ่มต้นให้ได้เป็นสำคัญนะครับ….
โฆษณา