27 ต.ค. 2023 เวลา 07:30 • บันเทิง

ยามกะดึก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับฟังมาจากลุงรปภ.ท่านหนึ่งที่แอดได้เคยรู้จัก เพราะได้ไปทำงานที่บริษัทน้ำผลไม้แห่งหนึ่งย่านนนทบุรี และด้วยความที่มีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยคุณลุงเลยเล่าเรื่องๆหนึ่งให้ฟัง
ลุงท่านนี้ให้นามสมมุติว่าลุงชลนะคะ ลุงชลแกทำอาชีพรปภ.มาโดยตลอดเพราะใจรัก แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่แกจะมาเป็นรปภ.ให้กับบริษัทผลิตน้ำผลไม้ ลุงชลแกเคยทำงานที่ รพ.แห่งหนึ่งมาก่อน
ลุงชลเล่าว่าที่รพ.แห่งนี้เป็นรพ.ขึ้นชื่อของตัวจังหวัด บรรยากาศภายในรพ.เองก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ ทำให้ในช่วงกลางวันไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ประจวบกับการทำงานก็ไม่ได้หนักมากเพราะปกติจะมีบัดดี้ทำงานคู่กันอยู่ตลอด แต่การทำงานของที่นี้ ที่ติดใจลุงชลก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือการทำงานเป็นกะ
ลุงชลต้องสลับกะเข้างานกับเพื่อนอีกทีมตลอด บางวันก็เข้ากะเช้าเลิกเย็น บางวันก็เข้ากะเย็นเลิกเช้า และเพราะการใช้ชีวิตแบบนี้เลยทำให้เวลาชีวิตของลุงชลรวน
ทำให้ลุงชลไม่ค่อยได้พักอย่างเพียงพอ และไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว
ลุงชลเคยคิดที่จะลาออกจากที่นี้ก็หลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคงอยู่ต่ไปเรื่อยๆเพราะแกคิดว่ายังทนไหว
จนกระทั้งเกิดเรื่องขึ้นในคืนหนึ่งที่แกต้องอยู่เวรกะดึกคนเดียว
และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ลุงชลตัดสินใจลาออกทันที
ลุงชลเล่าว่า ในเย็นวันหนึ่ง ลุงชลเห็นว่าลุงนิดเพื่อนที่ต้องมาเข้ากะเป็นบัดดี้กับลุงชลไม่มาทำงานซักที เลยโทรศัพท์ไปตาม ปรากฏว่า วันนี้ลุงนิดรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลยจะลาป่วยสัก1คืน ลุงชลแค่ฟังก็รู้ว่าน่าจะป่วยการเมือง เลยไม่ได้ซักเพื่อนมากมายเท่าไหร่ เพราะคนเรามันขี้เกียจกันได้
โดยปกติแล้วการตรวจตรารพ.ลุงชลจะเริ่มตอนประมาณ3ทุ่ม และจะแล้วเสร็จในอีกประมาณ40นาที เพราะแบ่งกับเพื่อนไปคนละโซน แต่รอบนี้ลุงชลต้องตรวจตราคนเดียวทั้งรพ.เลยทำให้กินเวลาไปมากโขเพราะอาณาบริเวณรพ.นั้นค่อยข้างกว้าง
ลุงชลเอาไฟฉายคู่ใจมาคาดที่หัว และเอาจักรยานคู่ใจปั่นออกไป เมื่อตรวจตราเสร็จลุงชลก็ตั้งใจปั่นกลับไปป้อมทันที แต่ในขณะที่แกกำลังปั่นไปป้อมนี้แหละ...
สายตาแกก็เห็นเหมือนชายผ้าไหวๆอยู่ จึงหันกลับไปมองแต่ก็ไม่เจออะไร
หันซ้ายที หันขวาที ก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอม เลยมุ่งหน้ากลับป้อมตามเดิม
แต่จู่ๆก็เห็นว่ามียายแก่คนหนึ่งแกเดินออกมาจากข้างตึก ยายคนนี้แกใส่ชุดของคนไข้ที่รพ. และค่อยๆย่างเท้าเดินไปเรื่อยๆ
“คุณยาย...คุณยาย....คุณยายจะไปไหนนะ...หยุดก่อนยาย”
ลุงชลพยามตะโกนเรียกให้คุณยายหันมา แต่เหมือนว่าคุณยายคนนั้นจะไม่ได้ยินเสียงที่ลุงชลพูดเลย แกยังคงเดินเหม่อลอยไปเรื่อยๆ
ลุงชลเห็นท่าว่าไม่น่าจะดี เลยเร่งฝีเท้าปั่นจักรยานเพื่อที่จะได้ไปขวางหน้าคุณยายไว้ก่อนที่แกจะเดินตะเลิดไปไหนต่อไหน หรือไปเจออุบัติเหตุ
แต่ก็แปลกตรงที่ต่อให้ลุงชลปั่นไวแค่ไหน...ระยะห่างระหว่างยายกับลุงชลนั้นมันไม่ได้ใกล้เข้ามาเลย
ลุงชลก็ยังคงเรียกคุณยายคนนั้นอยู่ตลอด ยิ่งนานใจก็ยิ่งกลัว เพราะมันใกล้จะถึงทางเข้าออกรพ.เต็มที และตรงนั้นมันก็ติดถนนใหญ่เสียด้วย
และสิ่งที่ลุงชลกลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ เพราะคุณยายคนไข้คนนั้น แกเดินไปจนถึงถนนหน้ารพ.และในขณะที่กำลังเดินข้ามถนน ก็มีรถบิ๊กอัพที่ไหนไม่รู้ขับมาอย่างไวและพุ่งชนคุณยายจนปลิว
เสียงโครมครามดังสนั่นหวั่นไหวและเสียงเบรกที่ดังกรีดใจ
ลุงชลตกใจมากจนทิ้งจักรยานและสาวเท้าวิ่งเข้าไปแทน
เมื่อลุงชลออกมาถึงตรงจุดเกิดเหตุ...ลุงชลกลับพบเพียงความว่างเปล่า....
ไม่มีรถบิ๊กอัพ...
ไม่มีอุบัติเหตุ...
ไม่มีศพ...
ไม่มียาย....
ไม่มีใครเลย....
มีเพียงความเงียบและความมืดเท่านั้น
ในตอนนั้นลุงชลเองก็งงมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ยายไปไหน?
รถบิ๊กอัพละไปไหน? หรือหนีไปแล้ว??
ในช่วงที่สมองกำลังประมวลผลอยู่นั้น อยู่ๆก็มีมือเหี่ยวๆเย็นๆมือหนึ่งมาจับที่แขนลุงชล
ลุงชลหันไปก็ตกใจ เพราะเป็นคุณยายคนเมื่อสักครู่นี้นั้นเองที่กำลังยืนยิ้มให้ลุงชลอยู่
พอลุงชลเห็นคุณยายคนไข้ก็ดีใจ ใจชื้นขึ้นมาทันทีเพราะยายดูจะปลอดภัย
“โห้ยายเมื่อกี้ตกใจมากเลย รถไม่ได้ชนใช่ไหม ไม่เป็นอะไรนะ ผมวิ่งตามออกมาก็ไม่เจอรถแล้ว มันคงขับหนีไปแล้วแน่ๆเลย แต่ดีแล้วที่ยายไม่เป็นอะไร”
ลุงชลพูดไปก็หมุนตัวคุณยายดูซ้ายทีขวาทีเพื่อเช็คสภาพมีส่วนไหนบุสลายไหม แต่คุณยายก็ดูจะครบ32
“เป็นอะไร...เป็นอะไรที่ว่า..คือแบบนี้หรอไอ้หนุ่ม”
วลีประหลาดที่ออกมาจากปากยายก็ช่างฟังแล้วเย็นเยือกจับใจ แต่ที่ใจเจ็บมากที่สุดก็ไม่พ้นช่วงวินาทีตอนที่ลุงชลเงยมองคุณยายนั้นแหละ
เพราะเมื่อลุงชลเงยมองไปทางคุณนั้น ก็ต้องตกใจกับสภาพไปหน้าที่เละไปครึ่งซึกของแก ใบหน้าครึ่งหนึ่งนั้นเนื้อแหว่งหายไปจนเกือบจะหมดจนะเหลือเพียงแค่กระดูก ส่วนอีกครึ่งก็ไม่ยอมน้อยหน้ากันเพราะผิวหนังมันถลอกปอกเปิกไปหมดจนเห็นถึงผิวหนังแดงๆด้านในและกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบนใบหน้า
ลุงชลช็อคกับเหตุการ์ณตรงหน้ามาก เรี่ยวแรงที่เคยมือหายไปจนหมด แม้นแต่แรงสะบัดแกก็ยังไม่มี...ใบหน้าชวนสวิวนั้นก็ยิ้มให้ลุงชล แต่แล้วกรามล่างก็หลุดร่วงลงมาอีก
นั้นเลยทำให้ลุงชลใช้แรงเฮือกสุดท้ายสะบัดยายจนหลุดแล้วโกยอ้าวเข้าป้อม ปิดประตูลงกลอนปิดหน้าต่างจนหมดแล้วนั่งเข้ามุมปิดหูหลับตาสนิทด้วยความกลัว
แต่คุณยายคนไข้ก็ไม่หลุดแค่นั้น แกยังคงตามมาเคาะเรียกลุงชลที่ป้อมอยู่นานสองนาน
“ไอ้หนุ่ม...พายายไปส่งหน่อย หนุ่ม...พายายไปส่งหน่อย...”
เสียงของยายดังอยู่นานเท่าไหร่ไม่แน่ใจเพราะด้วยความกดดันสุดขีดในตอนนั้นทำให้ลุงชลภาพตัดไปทันที จนมามีสติอีกครั้งก็ตอนที่เพื่อนไขประตูป้อมเข้ามาแล้วเจอลุงชลนอนแน่นิ่งนั้นแหละ
ในเช้าวันนั้นเองลุงชลตัดสินใจขอลาออกทันที เพื่อนๆก็ตกใจมาก ลุงชลเลยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังว่าไปเจออะไรมา เต็มคาราเบลแค่ไหน
พอเล่าเรื่องจบ หนึ่งในเพื่อนในทีมก็ตบเข่าดังฉาดและอุทานขึ้น
“โห้ยาย นานขนาดนี้ยังไม่ไปผุดไปเกิดอีก”
วลีนี้เล่นเอาทั้งวงต้องหันไปมอง แล้วเข้นให้พูด เลยได้ทราบเรื่องมาว่าก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีก่อน มีคนไข้ถูกรถชนหน้ารพ.จริงๆ และคนไข้คนนั้นก็คือคุณยายที่ลุงชลเห็นนั้นเอง แกเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ามาแอดมินที่รพ.แห่งนี้ และมักจะชอบหนีออกมาเดินข้างนอกเป็นประจำ จนในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นจริงๆเพราะรถบิ๊กอัพโฉบแกไปกินตอนกลางคืน ในช่วงเวลาที่รปภ.ไม่ได้อยู่ป้อม แต่หลังจากที่แกเสียไปก็ไม่เคยมีใครพบเห็นวิญญาณของแกเลย จนคิดกันว่าแกน่าจะไปผุดไปเกิดแล้ว...แต่ก็ดันมาเป็นลุงชลนี้แหละที่มาเห็นแก
จากทีแรกที่ลังเลเรื่องการลาออก แต่หลังจากเจอยายมาทำกรามหลุดใส่ให้ดูแล้ว...ลุงชลตัดสินใจว่าจะลาออกจากรพ.แห่งนี้...ทันที,,เดี๋ยวนี้,,และตอนนี้เลย
หลังจากที่ลาออกมา แกก็กลับบ้านมาพักใจอยู่2-3เดือน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมาทำงานอีกครั้งเพราะอยู่บ้านเฉยๆก็เบื่อ ลุงชลกลับมาทำงานสายรปภ.อีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้แกเลือกเป็นโรงงานหรือไม่ก็บริษัท และรับแค่กะเช้าเท่านั้น..ไม่รับกะดึก
โฆษณา