28 ต.ค. 2023 เวลา 12:34 • กีฬา

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นหน้า อังกฤษ "อาจจะ" ได้โควต้า 5 ทีม เราจะไปอธิบายให้เข้าใจง่ายนะครับผม

ในฤดูกาลหน้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มจะเพิ่มจำนวน จาก 32 ทีม (8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม) เพิ่มเป็น 36 ทีม นั่นแปลว่าอังกฤษ มีโอกาสสูงมากที่จะได้โควต้าถึง "5 ทีม"
ต่อจากนี้ไปดูพรีเมียร์ลีก จะไม่ใช่แค่ลุ้นท็อปโฟร์อีกแล้ว แต่จะกลายเป็นลุ้นท็อปไฟว์แทน ซึ่งก็ถือเป็นข่าวดีมากๆ เพราะหลายๆ ทีมมีโอกาสสอดแทรกมากขึ้น
อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด หรือ เชลซี ด้วยแต้มในตารางตอนนี้ การลุ้นท็อปโฟร์ก็มีเหนื่อย แต่พอเป็นท็อปไฟว์ มันก็อีกเรื่อง
ในโพสต์นี้ผมจะสรุปข้อมูลทุกอย่าง ที่มีความซับซ้อน แต่จะพยายามอธิบายแบบเข้าใจง่ายมากที่สุดนะครับ
สำหรับเหตุผลที่ยูฟ่า ต้องเพิ่มจำนวนทีมในชปล. จาก 32 ทีม เป็น 36 ทีม เหตุผลเพียงข้อเดียวก็คือ "เรื่องเงิน"
เมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน มีประเด็นที่สโมสรใหญ่ในยุโรปจะรวมตัวกันจัดแข่งซูเปอร์ลีก เนื่องจากเชื่อว่าเป็นช่องทางทำเงินที่มากกว่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
สโมสรใหญ่ๆ มองว่ายูฟ่า เป็นเสือนอนกิน ฟันเงินมากมายจากการโฆษณาชปล. แต่ให้ส่วนแบ่งกับสโมสรน้อยเกินไป จึงเกิดการก่อหวอดจะจัดตั้งซูเปอร์ลีกขึ้นมา
แม้เรื่องนั้นจะจบไปแล้ว แต่เชื้อไฟพร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ ถ้ายูฟ่าไม่มีการเพิ่มรายได้ ที่เป็นรูปธรรมให้สโมสรฟุตบอลบ้าง
และเมื่อเป็นปัญหาเรื่องเงิน ยูฟ่าก็ต้องแก้ไขที่เรื่องเงิน
การที่ยูฟ่าเพิ่มจำนวนทีมจาก 32 ทีม เป็น 36 ทีม แปลว่าในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ละทีมจะได้เล่นแมตช์เพิ่ม จากเดิมขั้นต่ำ 6 นัด กลายเป็นขั้นต่ำ 8 นัด
ตามปกติ ชัยชนะ 1 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ทีมชนะจะได้เงินนัดละ 2.8 ล้านยูโร (เสมอได้เงิน 930,000 ยูโร , แพ้ 0 ยูโร) ถ้าเกิดคุณชนะรวด 6 นัด ก็ได้เงิน 2.8 ล้าน x 6 = 16.8 ล้านยูโร เฉพาะรอบแบ่งกลุ่ม
แต่ถ้ามีโปรแกรม 8 นัด แล้วคุณชนะรวด ก็ได้เงินเพิ่มเป็น 2.8 ล้าน x 8 = 22.4 ล้าน เพิ่มขึ้นจากเดิมเห็นๆ ยังไม่นับค่าบัตรเข้าชม และของที่ระลึกอีกเฉลี่ยเกมละ 2 ล้านยูโร
คือมันอาจไม่ได้เยอะขึ้นระดับสิบล้านยูโร แต่มันก็ยังเห็นความตั้งใจของยูฟ่า ที่อยากสร้างรายได้ให้สโมสรใหญ่ๆ มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
สำหรับเรื่องที่เราควรรู้ ในเรื่องโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า มีดังนี้ ผมขอสรุปเป็นข้อๆ เลยนะครับ
------------------
1) จากระบบเดิม ชปล.มี 32 ทีม แบ่งเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม เอาทีมที่ได้คะแนนดีที่สุด 2 ทีมของกลุ่ม ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ต่อไป
กฎจะเปลี่ยนใหม่ โดยเพิ่มเป็น 36 ทีม และ ทั้ง 36 ทีม จะไม่มีการจับสลากแบ่งกลุ่มกันอีกแล้ว แต่จะเอาทุกทีมมาวางอยู่ในลีกเดียวกันทั้งหมดเลย
1
------------------
2) การเอา 36 ทีมมาวางเรียงกัน แต่ว่า ทุกทีมจะไม่ได้แข่งแบบพบกันหมด โดยทางยูฟ่า จะจับสลาก เลือกให้ว่าแต่ละทีมจะเจอกับใครบ้าง โดยทุกทีมจะได้เล่นในบ้านตัวเอง 4 นัด เล่นเกมเยือน 4 นัด รวมเป็น 8 นัด
การแข่งแบบพบกันหมดทุกทีม เราจะเรียกในภาษาอังกฤษว่า Round Robin แต่ถ้าแข่งแบบไม่ครบทุกทีม เราจะเรียกมันว่า Swiss System
ซึ่งทางยูฟ่า เปลี่ยนจาก Round Robin ที่ใช้ในซีซั่นนี้ มาเป็น Swiss System ในฤดูกาลหน้า
1
------------------
3) พอทุกทีมแข่งครบ 8 นัดปั๊บ ก็จะเอาทั้ง 36 ทีมมาวางเรียงกันในลีกเดียว ทีมที่ได้อันดับ 1-8 จะได้เข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยอัตโนมัติ
ทีมที่ได้อันดับ 9-16 และ 17-24 จะจับสลากมาปะทะกันในรอบเพลย์ออฟ เพื่อหาอีก 8 ทีม เข้ารอบน็อกเอาต์ไปเจอกับอันดับ 1-8
ส่วนอันดับ 25-36 ตกรอบ
------------------
4) ในฤดูกาลหน้า จะไม่มีทีมที่หล่นจากแชมเปี้ยนส์ลีก แล้วมาเล่นยูโรป้าลีกอีกแล้ว ถ้วยใครถ้วยมัน ตกรอบแล้ว ตกรอบเลย ถ้าเซบีญ่าหล่นจากถ้วยใหญ่ ไม่มีถ้วยเล็กเป็นเบาะรองให้แก้ตัวอีกแล้ว
------------------
5) คำถามที่น่าสนใจคือ "การประกบคู่" เพราะคุณจะเข้ารอบ หรือไม่เข้ารอบ การเจอกับคู่แข่ง 8 ทีม จากทั้งหมด 36 ทีม เป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย
สมมุติว่า คุณคือสโมสรยัง บอยส์ เบิร์น แล้วจับสลากเจอ 8 ทีม คือ แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค, นาโปลี, อินเตอร์ มิลาน และ เปแอสเช ถามว่าจะไปเอาแต้มจากไหน เผลอๆ ได้ 0 แต้มเลย
ดังนั้นยูฟ่า จะทำการแบ่ง 36 ทีมที่ได้เข้ารอบ ออกเป็น 4 โถ โดยโถ 1 คือทีมแชมป์เก่า บวกกับ 8 ทีมที่มีสัมประสิทธิ์สูงสุด จากนั้นโถรองลงมา ก็เรียงตามค่าสัมประสิทธิ์ไล่มาเรื่อยๆ
1
โดยแต่ละทีม จะได้เล่นกับคู่แข่งทั้ง 4 โถ โถละ 2 ทีม
ตัวอย่างเช่น สมมุติ ยัง บอยส์ เบิร์น อยู่โถ 4 พวกเขาก็จะจับสลากได้เจอ 2 ทีมจากโถ 1 (แมนฯ ซิตี้, บาเยิร์น) , 2 ทีมจากโถ 2 (ปอร์โต้, อินเตอร์), 2 ทีมจากโถ 3 (ซัลซ์บวร์ก, โคเปนเฮเก้น) และ 2 ทีมจาก โถ 4 (กาลาตาซาราย, อันเวิร์ป)
จะเห็นได้ว่า ก็จะมียากมีง่ายปนกัน ทุกทีมจึงมีโอกาสเข้ารอบและตกรอบได้ทั้งหมด
------------------
6) หลังจากแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม และเพลย์ออฟเสร็จแล้ว จะเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยไม่มีกฎ Country Protection หรือชาติเดียวกัน จะไม่เจอกันในรอบนี้อีกแล้ว ถ้าจับสลากมาเจอกันปั๊บ ชาติเดียวกันก็ใส่กันได้เลย
------------------
7) ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในระบบแชมเปี้ยนส์ลีก 36 ทีม นั่นคือ คุณต้องเข้ารอบด้วยการจบอันดับ 1-8 ให้ได้ เพราะถ้าจบ 1-8 คุณไม่ต้องไปเพลย์ออฟอีกหนึ่งรอบ และจะได้สิทธิ์การเล่นในบ้านทีหลัง ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายอีกต่างหาก
------------------
8 ) ทางยูฟ่า ต้องการแก้จุดอ่อนบางอย่าง ของแชมเปี้ยนส์ลีกในซีซั่นที่ผ่านๆ มา คือบรรดาทีมใหญ่ ที่เอาชนะ 5 เกมแรก จาก 6 เกมแรก การันตีเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มไปแล้ว พวกเขามักจะดร็อปตัวจริงทั้งหมด แล้วเอาสำรองลงสนาม ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะทำอย่างนั้น ก็มันเข้ารอบไปแล้ว
แต่ด้วยกฎแบบใหม่นี้ การที่ 36 ทีมแย่งชิงการเข้ารอบกัน โดยเฉพาะอันดับ 1-8 ทำให้ทุกนัดในรอบ Swiss System มีความหมายทั้งหมด ถ้าคุณพลาดขึ้นมาสักนัด ก็อาจโดนทีมที่อยู่ข้างหลัง ทำแต้มแซงไปเลยก็ได้ ดังนั้นต้องเน้นมากขึ้น และเมื่อคุณภาพของเกมดีขึ้น ยูฟ่าก็จะได้ประโยชน์ด้วย
------------------
9) คำถามที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือ แต่เดิมมี 32 ทีม แล้วเพิ่มเป็น 36 ทีม โควต้า 4 ทีมที่เพิ่มขึ้นมา ประเทศไหนจะได้ประโยชน์บ้าง
โควต้าที่ 1 : มอบให้ทีมจากรอบควอลิฟาย ประเทศที่มีสัมประสิทธิ์ต่ำๆ พวกเบลเยี่ยม, โปแลนด์, เดนมาร์ก, นอร์เวย์, ตุรกี ฯลฯ ปกติทีมแชมป์จากลีกเหล่านี้ ต้องมาเตะเพลย์ออฟกัน (Champions Path) โดยปีก่อนๆ จะมีโควต้าตรงนี้ทั้งหมด 4 ทีม
ในฤดูกาล 2023-24 สี่ทีมที่ได้โควต้านี้คือ ยัง บอยส์ (สวิส), อันเวิร์ป (เบลเยี่ยม), โคเปนเฮเก้น (เดนมาร์ก) และ กาลาตาซาราย (ตุรกี) ซึ่งในฤดูกาลหน้า โควต้า Champions Path จะเพิ่มจาก 4 เป็น 5 ทีม
1
โควต้าที่ 2 : มอบให้ประเทศที่มีค่าสัมประสิทธิ์อันดับ 5 ในยุโรป ปัจจุบันคือ ลีกเอิง ฝรั่งเศส จากเดิมที่ลีกฝรั่งเศสได้ไปชปล. 3 ทีม ด้วยกฎใหม่ พวกเขาจะได้โควต้าเพิ่มเป็น 4 ทีม (แบ่งกลุ่มอัตโนมัติ 3 + เพลย์ออฟ 1)
โควต้าที่ 3 และ 4 : มอบให้ 2 ประเทศที่สโมสรทำผลงานได้ดีที่สุดในเวทียุโรป โดยนับผลงานในฤดูกาล 2023-24 ตรงนี้มีความซับซ้อนนิดหน่อย ผมขออธิบายแบบนี้นะครับ
ยูฟ่าจะดูว่า แต่ละสโมสรของประเทศ A ที่ลงแข่งใน 3 ถ้วยคือ แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูโรป้าลีก และ คอนเฟอเรนซ์ ลีก มีผลงานเป็นอย่างไร พอจบฤดูกาล 2023-24 ก็จะเอาผลงานนั้น มาหารด้วยจำนวนของสโมสรของประเทศ A ที่ลงแข่ง
ผมจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ นะครับ เป็นเลขสมมุติ ตามไปด้วยกันกับผมช้าๆ นะครับทุกท่าน
ผลงานในเกมยุโรปของแต่ละสโมสรในฤดูกาล 2023-24 จะถูกคิดคะแนน เช่น
 
10 แต้ม - คว้าแชมป์ยุโรป
8 แต้ม - ได้รองแชมป์
6 แต้ม - เข้ารอบรองชนะเลิศ
4 แต้ม - เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย
2 แต้ม - เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย
1 แต้ม - ตกรอบแบ่งกลุ่ม
0 แต้ม - ตกรอบเพลย์ออฟ
ประเทศอังกฤษมีสโมสรเข้ามาเล่นเกมยุโรปในซีซั่นนี้ ทั้งหมด 8 ทีม ประกอบด้วย
1
- แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล, แมนฯ ยูไนเต็ด, นิวคาสเซิล (แชมเปี้ยนส์ลีก)
- ลิเวอร์พูล, เวสต์แฮม, ไบรท์ตัน (ยูโรป้าลีก)
- แอสตัน วิลล่า (คอนเฟอเรนซ์ ลีก)
ผมขอสมมุติ สถานการณ์ตอนจบซีซั่น เป็นแบบนี้นะครับ
- แมนฯ ซิตี้ ได้แชมป์ชปล. (10 แต้ม)
- อาร์เซน่อล ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ชปล. (4 แต้ม)
- แมนฯ ยูไนเต็ด ตกรอบแบ่งกลุ่ม ชปล. (1 แต้ม)
- นิวคาสเซิล ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ชปล. (2 แต้ม)
- ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ยูโรป้าลีก (10 แต้ม)
- เวสต์แฮม เข้ารอบรองยูโรป้าลีก (6 แต้ม)
- ไบรท์ตันตกรอบแบ่งกลุ่มยูโรป้าลีก (1 แต้ม)
- แอสตัน วิลล่า ตกรอบแบ่งกลุ่มคอนเฟอเรนซ์ลีก (1 แต้ม)
ทีนี้เมื่อจบฤดูกาลแล้ว ยูฟ่าก็จะเอาผลงานจากทั้ง 8 ทีมมาบวกกัน ถ้าตามที่ผมสมมุติตัวอย่างมาก็คือ 10+4+1+2+10+6+1+1 อังกฤษจะได้แต้มทั้งหมด 35 แต้ม จากนั้นเอา 35 มาหาร 8 ตามจำนวนทีม อังกฤษก็จะได้คะแนน 4.375 แต้ม
แต่สมมติประเทศอื่นๆ ที่มีตัวแทนน้อยกว่า เช่น ตุรกี มีตัวแทนทั้งหมด 4 ทีม ได้แก่ กาลาตาซาราย (ชปล.) และ เบซิคตัส, เฟเนบาร์เช่, เดมิสปอร์ (คอนเฟอเรนซ์ลีก)
สมมุติแบบสุดโต่งเลยนะครับ ถ้า กาลาตาซารายได้แชมป์ชปล. (10 แต้ม), เฟเนบาร์เช่ ได้แชมป์คอนเฟอเรนซ์ลีก (10 แต้ม), เบซิคตัส ได้รองแชมป์คอนเฟอเรนซ์ลีก (8 แต้ม) และ เดมิสปอร์ ตกรอบเพลย์ออฟ (0 แต้ม)
ตุรกี 4 ทีม จะได้คะแนน 10+10+8+0 = 28 เอาไปหาร 4 ตามจำนวนทีม พวกเขาจะได้คะแนนจากยูฟ่า 7 แต้ม มากกว่าอังกฤษที่ได้ 4.375 แต้มครับ
1
จริงๆ เรื่องแต้มของยูฟ่า มันมีการคำนวณตัวเลขที่ซับซ้อน แต่ผมยกตัวอย่างเลขกลมๆ จะได้เห็นภาพให้เข้าใจง่ายที่สุดนะครับ
เมื่อจบซีซั่น ยูฟ่า จะเอาคะแนนของทุกสโมสรในประเทศนั้นมารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวนทีมที่เข้าแข่ง ประเทศไหนได้คะแนนเฉลี่ยมากที่สุด อันดับ 1 และ 2 ก็จะได้สล็อตยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 ที่นั่งพิเศษไปครองครับ
------------------------
ตอนนี้ยังไม่คอนเฟิร์มนะครับ ว่าพรีเมียร์ลีกจะได้โควต้า 5 ทีม คือเรายังไม่รู้ได้ จนกว่าฤดูกาลนี้จะสิ้นสุดลงครับ แต่ก็ถือว่ามีโอกาสสูง
3
เพราะคู่แข่งโดยตรงอย่างสเปน เสียคะแนนไปแล้ว เนื่องจากโอซาซูน่า ตกรอบเพลย์ออฟในคอนเฟอเรนซ์ลีก โดนหารแต้มไปอีก แต่อังกฤษทั้ง 8 ทีม เข้ารอบแบ่งกลุ่มได้ทั้งหมด มีโอกาสไปได้ไกล
ถ้าอยากลุ้นให้อังกฤษ มีโควต้า 5 ทีมในแชมเปี้ยนส์ลีก คุณก็ต้องเชียร์ให้ทีมในอังกฤษทั้ง 8 ทีม ทำผลงานให้ดีที่สุดครับในเวทียุโรป
ดังนั้นเราอาจเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ เช่น แฟนหงส์อาจต้องเชียร์ผี แฟนผีอาจต้องเชียร์หงส์ แฟนสเปอร์สอาจต้องเชียร์อาร์เซน่อล แฟนเชลซีอาจต้องเชียร์เวสต์แฮม เพราะยิ่งทีมจากอังกฤษเข้ารอบลึกเท่าไหร่ ทั้งพรีเมียร์ลีกก็จะได้อานิสงส์มากเท่านั้นครับ
1
------------------------
นี่ล่ะครับ คือภาพรวม ของการเปลี่ยนโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จาก 32 ทีม เป็น 36 ทีม
แน่นอน จำนวนเกมเพิ่มขึ้น ก็นำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นของสโมสร แต่ก็ไม่แปลก ที่จะมีแฟนบอลหลายคนไม่ชอบ เพราะรู้สึกมันซับซ้อนเกินไป มี 32 ทีมกำลังพอดี 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 หารลงตัว ดูเข้าใจง่าย
อันนี้ 36 ทีม มีความซับซ้อนอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วฟุตบอลก็คือธุรกิจ เมื่อมีโอกาสทำให้ทุกๆ สโมสรมีรายได้มากขึ้น ก็ไม่มีใครคิดจะปฏิเสธหรอกครับ
สุดท้ายนี้ เรื่องโควต้าที่เปลี่ยนแปลงไปในซีซั่นหน้า ผมพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว ไม่แน่ใจว่าอ่านแล้วงงหรือเปล่า ถ้าติดขัด สงสัยตรงไหน หรือผมเขียนไม่เคลียร์ตรงจุดใด บอกได้เลยนะครับ
#UCLNEWERA
โฆษณา